1. สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 1 ของโลก ในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.48)มีมูลค่าการนำเข้า รวม 380,849,916,798 เหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.69 2. แหล่งผลิตสำคัญที่สหรัฐอเมริกานำเข้าในปี 2548 (ม.ค.-มี.ค.) ได้แก่ - แคนาดา ร้อยละ 17.73 มูลค่า 67,539.113 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.04 - จีน ร้อยละ 13.40 มูลค่า 51,026.836 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.20 - เม็กซิโก ร้อยละ 10.21 มูลค่า 38,883.300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.97 - ญี่ปุ่น ร้อยละ 8.92 มูลค่า 33,988.786 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.66 ส่วนการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 17 สัดส่วนร้อยละ 1.16 มูลค่า 4,433.615 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.42 3. อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา สมาคมนักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชน แห่งชาติ (เอ็นเอบีอี) ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2548 คาดว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะเติบโต 3.6% จาก 4.4% ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว 4. สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดนี้ (ม.ค.-เม.ย.2548) มูลค่า 5,025.46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วนร้อยละ 15.03 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.31 หรือคิดเป็นร้อยละ 29.44 ของเป้าหมายการส่งออก 5. การค้าระหว่างประเทศไทย-สหรัฐฯ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ 2545 2546 2547 2547 2548 อัตราการขยายตัว (ร้อยละ) 2545 2546 2547 2548 (ม.ค.-เม.ย.) (ม.ค.-เม.ย) (ม.ค.-เม.ย) มูลค่าการค้า 19,656.45 20,688.79 22,732.18 7,051.40 7,872.42 -3.45 5.25 9.88 11.64สินค้าออก 13,509.42 13,596.19 15,516.81 4,727.09 5,025.46 2.35 0.64 14.13 5.31สินค้าเข้า 6,147.03 7,092.60 7,215.37 2,324.31 2,846.96 -14.14 15.38 1.73 22.49ดุลการค้า 7,362.39 6,503.59 8,301.44 2,402.79 2,178.50 21.89 -11.66 27.64 -9.33 6. สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกา (ม.ค.-เม.ย. 2548) 25 อันดับแรกมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 77.53 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมไปตลาดนี้ สินค้าสำคัญที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ ร้อยละ 50 มี 3 รายการ สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 30 มี 2 รายการและสินค้าที่มีมูลค่าลดลงเกินกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการสถิติการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูงมูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาด อันดับที่ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการ % เปลี่ยนแปลง สัดส่วน ร้อยละ 2548 ม.ค.-เม.ย47 ม.ค.-เม.ย48 เปลี่ยนแปลง ม.ค.-เม.ย 2547 ม.ค.-เม.ย 1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงมากกว่าร้อยละ 50 มี 3 รายการ (1) เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ 8 101.56 154.40 52.84 52.02 2.32 3.07 (2) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 15 57.39 97.81 40.42 70.43 2.11 1.95 (3) ผลิตภัณฑ์พลาสติก 16 57.51 92.34 34.83 60.56 1.29 1.84 2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงมากกว่าร้อยละ 30 มี 2 รายการ (1) เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ 3 308.94 401.82 92.88 30.06 7.71 8.00 (2) อัญมณีและเครื่องประดับ 4 218.07 312.59 94.52 43.35 4.63 6.22 3. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการ (1) เครื่องวีดีโอ เครื่องเสียงอุปกรณ์และส่วนประกอบ 17 102.91 79.79 -23.12 -22.47 2.04 1.59 (2) ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน 20 175.23 70.28 -104.95 -59.89 2.25 1.40 รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศจากสถิติการส่งออกดังกล่าวมีข้อสังเกต ดังนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ (HS. 85) Electrical Machinery สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 9 มูลค่า 1,119.876 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 2.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.77 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 44,970.360 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.08 นำเข้าจาก จีน เม็กซิโก ญี่ปุ่น เป็นหลัก (ม.ค.-มี.ค. 2548)เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ (HS. 72) Iron And Steel สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 25 มูลค่า 42.726 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 0.67 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,347.01 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 6,419.248 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 95.36 นำเข้าจาก แคนาดา บราซิล เม็กซิโก เป็นหลัก (ม.ค-มี.ค 2548) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (HS. 3924) Tableware, Kitchenware, Other Household Articles and Toilet Articles of Plastic สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยอันดับที่ 8 มูลค่า 7.090 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 1.13 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.15 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 627.428 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.37 นำเข้าจาก จีน เม็กซิโก ไต้หวัน เป็นหลัก (ม.ค.-มี.ค. 2548)เครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบ (HS 8527) Radio Broadcst Recvers สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 6 มูลค่า 49.703 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 3.61 ลดลงร้อยละ 21.45 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 1,376.366 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.88 นำเข้าจาก จีน เม็กซิโก มาเลเซีย เป็นหลัก (ม.ค.-มี.ค. 2548)อัณมณีและเครื่องประดับ (HS.7102) DIAMONS ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 10 ของโลก ผู้ส่งออกหลักคือ เบลเยี่ยม สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 14 มูลค่า 10.087 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 0.27 เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.52 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 3,760.536 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.18 นำเข้าจาก อิสราเอล อินเดีย เบลเยี่ยม เป็นหลัก (ม.ค.-มี.ค. 2548) (HS 7103) Precious And Semiprecious stone ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 4 ของโลกรองจาก ฮ่องกง สหรัฐฯ สวิสเซอร์แลนด์ สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 1 มูลค่า 52.550 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 25.84 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.29 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 203.350 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.99 นำเข้าจาก ไทย อินเดีย ศรีลังกา เป็นหลัก (ม.ค.-มี.ค. 2548)เครื่องวีดีโอ เครื่องเสียงอุปกรณ์และส่วนประกอบ (HS. 8521) Video Recording or Reproducing Apparatus, Whether or Not Incorporating a Video Tuner สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 8 มูลค่า 14.260 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 2.16ลดลงร้อยละ 70.66 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 659.753 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 27.47 นำเข้าจาก จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เป็นหลัก (ม.ค.-มี.ค. 2548)ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์ (HS.8803) Parts of Balloons, Pirigibles, Gliders, Airplanes, Other Aircraft, Spacecraft And Spacecraft Launch สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 35 มูลค่า 0.480 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 0.04 เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.15 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 1,207.634 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.48 นำเข้าจาก ญี่ปุ่น แคนาดา สหราชอาณาจักร เป็นหลัก (ม.ค.-มี.ค. 2548) 8. ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ สหรัฐฯ ประสบภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ประมาณร้อยละ 5.70 ของ GDP และขาดดุลงบประมาณประมาณร้อยละ 3.60 ของ GDP จากปัญหาดังกล่าวมีผลให้นักลงทุนเริ่มขาดความมั่นใจ ในเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงลดการถือครองสิทธิ์หรือตราสารทางการเงินในสกุลเงินสหรัฐ และได้ปรับสัดส่วนการลงทุนมาถือครองสินทรัพย์ในสกุลเงินยูโรมากขึ้น ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค้าลง เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ได้ตกลงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นจาก 0.2% เป็น 3.00% ตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ซึ่งนับว่าเฟดได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าอัตราเงินกู้ระยะสั้นในสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นต่อไป ทั้งนี้ผลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่านักเศรษฐศาสตร์ 18 คนจากทั้งหมด 19 คนคาดการณ์ว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมระว่างวันที่ 29-30 มิถุนายน 2548 การประกาศของเฟดที่ระบุถึงอัตราการเติบโตของค่าใช้จ่ายที่กำลังจะชะลอตัวลงเริ่มมีแรงกระแทกแล้ว นักค้าเงินหลายรายเทขายเงินดอลลาร์ออกมาทำให้เงินสหรัฐอ่อนตัวลงต่ำ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มปรากฎเค้าแห่งภาวะอ่อนแอในหลายจุด อย่างไรก็ตามเฟดยังคงดำเนินนโยบายคุมเข้มสินเชื่อต่อไปขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคหดตัวลง ผนวกกับเงินเฟ้อที่ยังขยับตัวขึ้นและตลาดแรงงานที่ใกล้จะถึงจุดทรงตัว อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ประสบปัญหาในอนาคต และอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทางเศรษฐกิจ สหรัฐฯ กำลังเร่งแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งมีอยู่มาก โดยการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะขาดดุลจากประเทศในภูมิภาคเอเซีย เช่น จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งไทยด้วย จะเห็นได้จากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังกดดันจีนให้เพิ่มค่าเงินหยวน การจำกัดนำเข้าสินค้าสิ่งทอจากจีนเพื่อลดปัญหาการขาดดุลการค้า แต่คาดว่าจีนยังไม่ปรับค่าเงินหยวนในเร็วๆ นี้เพราะหากจีนปรับค่าเงินหยวนขึ้นก็จะมีผลให้การส่งออกของจีนลดลง แต่ในทางกลับกันแม้จะใช้นโยบายเลิกผูกค่าเงินหยวนกับดอลลาร์ก็จะไม่ช่วยบรรเทาการขาดดุลการค้าได้ เพราะเมื่อสินค้าจากจีนมีราคาสูงขึ้น ผู้นำเข้าก็จะหันไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่น เช่น ไทย มาเลเซีย เป็นต้น มากกว่าจะหันไปหาผู้ผลิตภายในประเทศของสหรัฐฯ เอง อย่างไรก็ตามประเทศในแถบภูมิภาคเอเซียที่มีดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลจากสหรัฐฯ นั้น จะต้องระวังและเตรียมพร้อมกับมาตรการที่สหรัฐฯ จะแก้ไขด้วย ซึ่งไทยจะต้องเตรียมพร้อมพยายามที่จะลดบทบาทหรือพึ่งการส่งออกให้น้อยลง และหันมากระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ แทน สำหรับการค้าระหว่างไทย — สหรัฐฯ ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลสหรัฐฯ มาโดยตลอด ดังนั้นสหรัฐฯ จึงพยายามที่จะใช้นโยบายการเจรจาเขตการค้าเสรีเป็นกลยุทธ์สำคัญในการต่อรอง เนื่องจากไทยต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ ไม่ต้องพึ่งพาตลาดไทย ซึ่งสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากไทย ก็น่าที่จะนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นการเจรจาตกลงระหว่างกันจะต้องทำอย่างรอบคอบเนื่องจากสหรัฐฯ มีอำนาจในการต่อรองสูง อย่างไรก็ตามภาครัฐของไทย ได้ดำเนินการเร่งเมกะโปรเจกต์ ซึ่งเป็นการลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนของภาคเอกชนจะต้องปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อออกสู่ตลาดใหม่ๆ ทดแทนสหรัฐฯ ที่มา: http://www.depthai.go.th