4.3 สหภาพยุโรป
4.3.1 ผักกระป๋องและแปรรูป
ในปี 2539 สหภาพยุโรปมีการนำเข้าผักกระป๋องและแปรรูปจากตลาดโลกเป็นมูลค่า 64,013.48ล้านบาท (3,158.9 ล้านเหรียญ ECU) ลดลงจากปี 2538 ที่มีมูลค่า 62,080.31 ล้านบาท (3,268.0ล้านเหรียญ ECU) หรือลดลงร้อยละ 5.3 โดยประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าผักกระป๋องและแปรรูปที่สำคัญของสหภาพยุโรป ก็คือกลุ่มประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปด้วยกัน ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ อิตาลี เบลเยี่ยม-ลักเซมเบอร์ก และฝรั่งเศส
4.3.2 พืชผักแห้ง
ปี 2539 สหภาพยุโรปมีการนำเข้าพืชผักแห้งจากตลาดโลกมูลค่า 6,059.08 ล้านบาท (299.0ล้านเหรียญ ECU) เพิ่มขึ้นจากปี 2538 ที่มีมูลค่า 5,347.49 ล้านบาท (281.5 ล้านเหรียญ ECU) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 โดยมีการนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 รองลงมาได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฝรั่งเศส และเยอรมนี
4.3.3 ผลไม้อบแห้งและแช่อิ่ม
ปี 2539 สหภาพยุโรปมีการนำเข้าผลไม้อบแห้งและแช่อิ่มจากตลาดโลก เป็นมูลค่า 1,246.26ล้านบาท (61.5 ล้านเหรียญ ECU) เพิ่มขึ้นจากปี 2538 เพียงร้อยละ 0.4 ทั้งนี้เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปด้วยกันเอง เป็นอันดับ 1 โดยมีประเทศอิตาลีเป็นแหล่งนำเข้าของกลุ่มประเทศนี้มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ กรีซ และเบลเยี่ยม-ลักเซมเบอร์ก ในส่วนของประเทศไทยนั้น มีการส่งผลไม้อบแห้งและแช่อิ่มเข้าไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรปเป็นอันดับที่ 7 ด้วยมูลค่า30.40 ล้านบาท (1.5 ล้านเหรียญ ECU) หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.4 ของมูลค่าการนำเข้าผลไม้อบแห้งและแช่อิ่มทั้งหมดของสหภาพยุโรป
ศักยภาพและโอกาสสำหรับการแข่งขันในตลาดโลก
1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป กลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป อันประกอบด้วย ผลไม้แห้ง/อบแห้งผลไม้ดองและผลไม้แช่อิ่ม เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการส่งออกที่ดี มีอัตราการขยายตัวค่อนข้างสูง โดยในปี2538 ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถส่งออกผลไม้แปรรูปได้มากเป็นอันดับ 6 ของโลก เป็นมูลค่าถึง 14,217.62 ล้านบาท และยังเป็นประเทศที่ส่งออกผลไม้แปรรูปเป็นมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศเอเชียอีกด้วย โดยมีคู่แข่งที่สำคัญคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปที่พบ คือ ปัญหาในเรื่องวัตถุดิบ ซึ่งมักจะประสบปัญหาในเรื่องของปริมาณและคุณภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สามารถดำเนินการโดยการนำเทคโนโลยีการเกษตรแบบก้าวหน้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น และสามารถควบคุมวัตถุดิบให้ได้คุณภาพตรงตามความต้องการของผู้บริโภค การพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้เหนือกว่าคู่แข่งขันเท่านั้นประเทศไทยจึงจะมีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลกได้
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกกวาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกกวาดจัดเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพรองลงมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป โดยในปี 2538 ประเทศไทยสามารถส่งออกลูกกวาดได้เป็นอันดับที่ 25 ของโลกและเป็นอันดับ 5 ของผู้ส่งออกกลุ่มประเทศในเอเชียรองจาก ประเทศฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย การส่งออกลูกกวาดของไทยที่ผ่านมา เน้นการส่งออกประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก อาทิ พม่าลาว กัมพูชา แม้ว่าจะได้มีการขยายการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปบ้าง แต่ก็มีปริมาณเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีการผลิตตลอดจนคุณภาพสินค้าของไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ แต่หากมีการปรับปรุงกรรมวิธีการผลิต นำเครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อีกทั้งควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้คงที่สม่ำเสมอ คาดว่าประเทศไทยน่าจะขยายตลาดได้เพิ่มขึ้น และยังสามารถใช้วัตถุดิบ ได้แก่ น้ำตาลทราย ที่ประเทศไทยมีความพร้อมอยู่แล้วด้านการผลิต มาเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลกได้
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักแปรรูป กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักแปรรูป ประกอบด้วย ผักแห้ง/อบแห้ง ผักดองและผักกระป๋อง แม้ว่าจะมีการขยายตัวในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มแรก แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญสามารถนำเงินตราเข้าสู่ประเทศได้ปีละจำนวนมาก โดยเฉพาะผักกระป๋องเป็นประเภทผลิตภัณฑ์ผักแปรรูปที่มีมูลค่าการส่งออกสูงกว่าผักแปรรูปทุกประเภท โดยมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี ในปี 2538 ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถส่งออกผักแปรรูปได้เป็นอันดับที่ 8 ของโลกและของผู้ส่งออกกลุ่มประเทศในเอเชีย โดยมีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก รองลงมาได้แก่ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับแม้ว่าประเทศไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก แต่เมื่อพิจารณาการขยายตัวพบว่ามีการขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 8.2 ขณะที่ประเทศคู่แข่งขันในเอเชียมีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 35.3 ประเทศอินเดียอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 22.0 17.2 และ 14.7 ตามลำดับ
การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันที่สำคัญคือ การจัดระบบการปลูกผักเป็นแบบอุตสาหกรรม โดยปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้เป็นอย่างดี เนื่องจากผลผลิตของไทยที่ผ่านมานั้นมีแหล่งผลิตค่อนข้างกระจัดกระจายและมีการปลูกในรูปแบบอุตสาหกรรมค่อนข้างน้อยทำให้คุณภาพของผลผลิตไม่สม่ำเสมอ ประการสำคัญต่อมาคือ การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผลิตภัณฑ์ผักแปรรูป เพื่อสามารถแข่งขันด้านราคาและคุณภาพในตลาดโลกได้
4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมหวานแบบไทย จากการประมวลความเห็นของผู้ประกอบการมีความเห็นว่าขนมหวานแบบไทยมีอัตราการขยายตัวด้านการส่งออกค่อนข้างต่ำ เนื่องจากข้อจำกัดของรสชาดและรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในต่างประเทศ ประเภทผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกจึงมีเพียงไม่กี่ชนิด โดยมีรูปแบบการแปรรูปเป็นขนมหวานสำเร็จรูป ทั้งแบบแช่แข็ง และบรรจุกระป๋อง ตลาดหลักของการส่งออกขนมหวานแบบไทยอยู่ในเขตประเทศทางเอเชียอาทิ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ส่วนประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีรูปแบบผลิตภัณฑ์ พฤติกรรมการบริโภค วัตถุดิบ ตลอดจนรสชาดอาหารที่ใกล้เคียงกันกับประเทศไทย การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันที่สำคัญ คือ การสร้างภาพพจน์และชื่อเสียงของขนมหวานไทยควบคู่กับอาหารไทย ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งศึกษารูปแบบของผลิตภัณฑ์ รสชาดที่ผู้บริโภคแต่ละตลาดต้องการทั้งนี้เพื่อปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการผู้บริโภคมากที่สุด
กลยุทธ์ในการขยายการส่งออก
1. ด้านการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) : นับเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งสำหรับสินค้าส่งออกทุกประเภท ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในด้านการผลิตตลอดจนการควบคุมด้านสุขอนามัย (Sanitary Control) ให้มีความสะอาดและปราศจากสิ่งเจือปนปลอมแปลงในอาหาร การควบคุมด้านคุณภาพนั้นผู้ประกอบการต้องมีการควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนตั้งแต่คุณภาพของวัตถุดิบ จนถึงการทดสอบคุณภาพของสินค้าระหว่างผลิตและการตรวจสอบคุณภาพเมื่อผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึง คือ กฎระเบียบและมาตรฐานสินค้าของตลาดต่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เนื่องจากเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถผลิตสินค้าให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของลูกค้า
2. ด้านการวิจัยตลาด (Marketing Research) : ผู้ประกอบการควรมีการสำรวจศึกษาข้อมูลด้านการตลาดของตลาดต่างประเทศก่อนทำการส่งสินค้าไปจำหน่าย ทั้งนี้เพื่อสามารถผลิตสินค้า ตลอดจนการกำหนดราคา วิธีการส่งเสริมการขาย และช่องทางการจำหน่ายได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด การวิจัยตลาดที่สำคัญสำหรับสินค้าประเภทอาหาร คือ การสำรวจทัศนคติความพึงพอใจของผู้บริโภค (Survey of Consumer Preferences) เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน จึงควรศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อสินค้าเช่นรสชาด รูปแบบและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อสามารถสนองความพึงพอใจของผู้บริโภคได้สูงสุด
แหล่งข้อมูลด้านการตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่ง คือ ผู้นำเข้า (Importer)ในตลาดประเทศนั้นๆเนื่องจากเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดลูกค้าและเห็นความเคลื่อนไหวของตลาด (Market Movement) จึงให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยแก่ผู้ประกอบการ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ด้านการขนส่ง (Delivery) : การส่งมอบสินค้าตรงเวลา นับเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งในการส่งออก ผู้ส่งออกไทยจึงควรนำระบบการขนส่งแบบทันเวลา (Just-in-time deliverysystems) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการส่งออก นั่นคือการส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าในปริมาณที่พอดีและภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งการจะนำระบบนี้มาใช้ผู้ส่งออกไทยจะต้องมีการวางแผนร่วมกับทางบริษัทผู้นำเข้า ถึงปริมาณที่สั่งซื้อสินค้าแต่ละงวด และระยะเวลาการส่งมอบสินค้าที่ลูกค้าต้องการ
4. ด้านบรรจุภัณฑ์ (Packaging) : การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากการวางสินค้าจำหน่ายตามร้านค้าต่างๆ สิ่งที่ผู้บริโภคพิจารณาเปรียบเทียบก่อนเลือกซื้อสินค้าคือตัวบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ควรพิจารณาเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีความตื่นตัวกับกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก ดังนั้นการออกแบบบรรจุภัณฑ์จึงควรเน้นการใช้งานที่ก่อให้เกิดอรรถประโยชน์สูงสุดเช่น การนำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) หรือการนำมาผ่านกระบวนการผลิตใหม่ (Recycle) เป็นต้น
5. ด้านการส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) : จุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลสินค้าผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม ลูกกวาด และขนมหวานแบบไทยแก่ตลาดต่างประเทศ โดยเน้นการสร้างภาพพจน์และเอกลักษณ์ของสินค้าไทย ซึ่งมีวิธีการต่างๆ ดังนี้
1) การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ ควรจัดทำเป็นแผนระยะยาวด้วยการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน การโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ทำให้ผู้ซื้อในตลาดต่างประเทศได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวด้านกิจกรรมทางการตลาดของผู้ส่งออกไทย และสร้างความสัมพันธ์ตลอดจนความเชื่อถือในตัวสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย
2) การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เช่น งาน FOODEX ที่จัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น งาน ANUGA ที่ประเทศเยอรมนี และงาน SIAL ที่ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น
3) การจัดคณะผู้แทนการค้า (Selling Mission) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐบาลและภาคเอกชนไปยังประเทศต่าง ๆ และการนำคณะผู้แทนการค้าจากต่างประเทศมายังประเทศไทย
6. ด้านการบริการ (Service) : ผู้ส่งออกควรที่จะให้ความสำคัญต่อการบริการในด้านต่างๆ ดังนี้
- การส่งมอบสินค้าให้ตรงต่อเวลา
- การอำนวยความสะดวกด้านข้อมูล/เอกสารต่างๆ ที่ลูกค้าต้องการ เช่น ใบรับรอง
(Certificate) คุณภาพอาหาร
- การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอย่างรวดเร็ว (Quick Response) ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลง
เกี่ยวกับสินค้า กำหนดการส่ง หรือปัญหาอื่นๆ ผู้ส่งออกต้องแจ้งแก่ผู้ซื้อโดยทันที
- จัดทีมงานที่มีประสิทธิภาพและสามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาต่างประเทศได้ดี คอยแนะนำให้
ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าก่อนการเสนอขายและติดตามผลหลังการขาย เพื่อนำข้อ
บกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขต่อไป
ข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของประเทศไทยข้อได้เปรียบ
1. คุณภาพ ประเทศไทยยังมีข้อได้เปรียบทางด้านคุณภาพ ตั้งแต่การมีวัตถุดิบคุณภาพดี ตลอดจน
สามารถนำมาแปรรูปด้วยกรรมวิธีที่ถูกต้องและได้มาตรฐานทำให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพสูง
2. วัตถุดิบ ประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบของผักผลไม้เมืองร้อน ซึ่งสามารถผลิตได้ในปริมาณ
มาก นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมีหลากหลายชนิด ทำให้สามารถนำมาแปรรูปสินค้าได้
หลากหลายประเภท การที่ประเทศไทยมีแหล่งวัตถุดิบเอง ทำให้มีความคล่องตัวในการผลิต
และมีวัตถุดิบป้อนโรงงานตลอดปี
3. เทคโนโลยี เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในแถบเอเซียด้วยกัน ประเทศไทยมีการพัฒนา
รูปแบบและเทคโนโลยีการผลิตที่เหนือกว่า สามารถพัฒนารูปแบบของสินค้าได้รวดเร็ว
ตรงตามความต้องการของลูกค้า เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศไทยอยู่ในธุรกิจเป็นเวลานาน
จึงมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการจัดการด้านวัตถุดิบและเครื่องจักรอุปกรณ์
4. ความน่าเชื่อถือ ผู้ผลิตในประเทศไทยได้รับความเชื่อถือจากประเทศคู่ค้าค่อนข้างสูง
เนื่องจากผู้ผลิตของไทยได้แสดงให้เห็นถึง
- ความตรงต่อเวลา สามารถส่งสินค้าได้ตามเวลานัดเสมอ
- ความรับผิดชอบต่อคุณภาพของสินค้าหรือการชำรุดเสียหาย
- ในประเทศที่เป็นคู่ค้าของไทยไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรป
ล้วนเป็นประเทศที่มีความเอาใจใส่ต่อสินค้าประเภทอาหารสูงมาก การนำเข้า
สินค้าประเภทอาหารจะต้องได้มาตรฐานที่กำหนดก่อน เมื่อผู้ผลิตในประเทศไทย
สามารถเข้าสู่ตลาดทั้ง 3 นี้ได้แล้ว จึงมั่นใจได้ว่ามาตรฐานของสินค้าไทย สามารถ
แข่งขันได้ในตลาดนั้นๆ แน่นอน
ข้อเสียเปรียบ
1. อัตราค่าแรง อุตสาหกรรมผักผลไม้แห้ง ดอง แช่อิ่ม และขนมหวานเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้
แรงงานในการผลิตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลด้านโครงสร้างต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรม
นี้จะพบว่าค่าแรงงานคิดเป็นร้อยละ 10-20 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ดังนั้นค่าแรงที่สูง
ย่อมมีผลต่อต้นทุนโดยรวมให้สูงขึ้นซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้าทำให้ต้องจำหน่าย
ในราคาสูงขึ้น
2. ราคาวัตถุดิบ วัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมแปรรูปผักผลไม้คือ ผักผลไม้สด ซึ่งส่วนใหญ่
ใช้เพื่อการบริโภคและส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ที่เหลือจึงส่งเข้าโรงงานอุตสาห-
กรรมแปรรูป ส่งผลให้วัตถุดิบมีระดับราคาไม่แน่นอน และถ้าหากตลาดนิยมการบริโภคสด
เพิ่มขึ้น ผลไม้สดที่จะเป็นวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานก็จะเกิดขาดแคลน เป็นผลให้ราคาวัตถุดิบ
ในประเทศสูงขึ้น ส่วนอุตสาหกรรมลูกกวาด และขนมหวาน วัตถุดิบหลักได้แก่ น้ำตาล
ซึ่งมีราคาจำหน่ายภายในประเทศสูงกว่าตลาดโลก เนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำตาลเป็น
อุตสาหกรรมที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ สำหรับวัตถุดิบบางตัวที่ต้องนำเข้าจาก
ต่างประเทศ ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสูง
และเกิดข้อเสียเปรียบด้านการแข่งขันในการส่งออก
3. ราคาสินค้า จากการที่ประเทศไทยเริ่มสูญเสียความได้เปรียบในด้านต่างๆ อาทิ ด้านวัตถุดิบ
มีราคาแพง รวมทั้งอัตราค่าแรงที่สูงทำให้ต้นทุนการผลิตของประเทศไทยสูงกว่าประเทศอื่น
จึงเป็นผลให้ราคาสินค้าผักผลไม้แปรรูป ลูกกวาด และขนมหวาน จากประเทศไทยอยู่ใน
ระดับสูงกว่าหลายๆ ประเทศจึงดึงดูดให้ลูกค้าต่างประเทศสนใจราคาสินค้าของประเทศคู่แข่ง
มากกว่าของไทย
4. ภาษา นักธุรกิจไทยมักมีปัญหาด้านภาษาในการเจรจาติดต่อสื่อสาร ขณะที่ประเทศคู่แข่ง
ส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง ทำให้ประเทศไทยขาดโอกาสหรือเสียเปรียบด้าน
การเจรจาการค้าและการเจาะตลาดใหม่ๆ
5. ระบบข้อมูล / ข่าวสาร ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งในด้านการผลิต อันได้แก่ ความรู้และ
เทคโนโลยีต่างๆ ตลอดจนข้อมูลข่าวสารในด้านการตลาดที่ทันเหตุการณ์และข้อมูลของ
ประเทศ คู่ค้าและคู่แข่งอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน
แต่ระบบข้อมูลข่าวสารของอุตสาหกรรมผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม และขนมหวานของไทย
ยังอยู่ในวงจำกัด แม้ว่าจะมีการดำเนินการทั้งจากภาครัฐบาลและเอกชน ในการ
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ แต่ก็ยังไม่กว้างขวางและทันต่อเหตุการณ์เท่าใดนัก
6. ขนาดของธุรกิจ อุตสาหกรรมผักผลไม้แห้ง ดอง แช่อิ่ม และขนมหวานของไทย
ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานในลักษณะของธุรกิจครอบครัว ขนาดของการดำเนินธุรกิจ
ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยังมีขนาดเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการที่ขยายไป
เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับ
ผู้ประกอบการทั้งหมดในอุตสาหกรรม การที่ธุรกิจมีขนาดเล็กทำให้ไม่สามารถ
ดำเนินการผลิตในลักษณะของ Mass Production ได้ รวมไปถึงข้อจำกัดในเรื่อง
ของการควบคุมคุณภาพ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
เพื่อพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
ปัญหาและอุปสรรค
แม้ว่าการผลิตและการตลาดส่งออกผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม และขนมหวานแบบไทยจะมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ปัจจุบันยังมีปัญหาอุปสรรคมากมายที่อุตสาหกรรมผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่มและขนมหวานแบบไทยต้องเผชิญอยู่ ซึ่งสามารถสรุปประเด็นปัญหาได้ดังนี้
1. ปัญหาค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอด อันเป็นผลมาจากค่าครองชีพสูงขึ้นตามภาวะ
เศรษฐกิจจึงเป็นเหตุให้ค่าใช้จ่ายด้านแรงงานสูงมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาการขาดแคลน
แรงงานในบางฤดูกาล ตลอดจนการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะความชำนาญงาน
2. ปัญหาด้านวัตถุดิบมีระดับราคาไม่แน่นอน และมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. ปัญหาด้านปริมาณของวัตถุดิบในประเทศ ซึ่งมีผลผลิตไม่แน่นอน การผลิตส่วนใหญ่ยังขึ้นอยู่
กับธรรมชาติบางฤดูกาลมีมากเกินความต้องการขณะที่บางฤดูกาลมีวัตถุดิบไม่พอป้อนโรงงาน
4. ปัญหาด้านกฎระเบียบของทางราชการและการขอคืนภาษี มีขั้นตอนการติดต่อยุ่งยากซับซ้อน
ทำให้เกิดความล่าช้า และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มต้นทุนด้านการตลาดของ
ผู้ประกอบการเพื่อการส่งออกเป็นอย่างมาก
5. ปัญหาด้านการแข่งขันในตลาดโลก ประเทศคู่แข่งมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนการผลิต
และราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาในตลาด
ต่างประเทศได้
6. ปัญหาด้านการกีดกันทางการค้าของกลุ่มประเทศต่างๆ ทั้งในด้านกฎระเบียบการนำเข้าและ
ด้านภาษี ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และลดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
ของประเทศไทยลง
7. ปัญหาค่าขนส่งที่มีราคาสูงเพิ่มขึ้น ทั้งการขนส่งทางรถยนต์ ทางอากาศ และทางเรือ
8. ปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนด้านดอกเบี้ย ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ปัญหาต้นทุนการผลิตสูงยังมีสาเหตุจากการเสียภาษีนำเข้าวัตถุดิบสูง ทำให้โอกาส
การแข่งขันน้อยลง
9. ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต อุตสาหกรรมผัก ผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม และขนมหวาน
โดยส่วนใหญ่มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตค่อนข้างน้อย ซึ่งการใช้เทคโนโลยีเก่าๆ
ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ทั้งยังมีผลกระทบทำให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานตาม
ความต้องการของตลาดอีกด้วย
10. ปัญหาด้านการกำหนดมาตรฐานสินค้า เป็นเพียงมาตรฐานภายในประเทศ ยังไม่ได้เป็น
การกำหนดมาตรฐานเพื่อการส่งออก และมิได้กำหนดสำหรับอาหารทุกชนิด จึงเป็นการ
ยากที่จะตรวจสอบหรือควบคุมคุณภาพได้
11. ปัญหาการขาดการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เนื่องจากสินค้าผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม
และขนมหวาน เป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคในหมู่ชาวเอเซียเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ตลาด
ของประเทศไทยยังไม่ขยายตัวออกไปมากนัก
12. ปัญหาด้านสาธารณูปโภคได้แก่ปัญหาด้านราคาค่าบริการสูง ทั้งไฟฟ้า ประปาและโทรศัพท์
13. ปัญหาด้านการเงิน ขาดแคลนแหล่งเงินทุนระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำ ที่จะช่วยสนับสนุนการ
ดำเนินงานหรือขยายกิจการ
14. การทำลายอนาคตทางการตลาด โดยผู้ประกอบการบางโรงส่งสินค้าคุณภาพต่ำไปจำหน่าย
ทำให้ลูกค้าลดความเชื่อถือคุณภาพสินค้าของไทยในภาพรวมด้วย
15. การขาดข้อมูลข่าวสารด้านการตลาด ทำให้ผู้ผลิตผลิตสินค้าไม่ตรงกับรสนิยมของตลาด
รวมทั้งการตั้งราคาที่เสียเปรียบทางด้านการแข่งขัน
ข้อเสนอแนะเพื่อวางแผนพัฒนาและส่งเสริมการส่งออกด้านการผลิต
1. จัดระบบการพัฒนาฝีมือแรงงาน ด้วยการจัดตั้งสถาบันหรือโรงเรียนฝึกอบรมหรือฝึกงาน
หลักสูตรระยะสั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต
2. การจัดเตรียมและปรับปรุงด้านปริมาณและคุณภาพวัตถุดิบ โดยให้เกษตรกร โรงงานผู้ผลิต
ผู้ส่งออก และกรมส่งเสริมการเกษตรมาวางแผนร่วมกัน เพื่อจะได้กำหนดความต้องการ
ทางด้านวัตถุดิบให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด นอกจากนี้ควรแนะนำและส่งเสริม
ให้เกษตรกรได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเพาะปลูกและดูแลบำรุงรักษาพืชผักผลไม้
เพื่อให้มีคุณภาพมากขึ้น
3. รัฐควรพิจารณาปรับปรุงลดหย่อนราคาของปัจจัยการผลิตทางภาคการเกษตร และวัตถุดิบที่
สำคัญในการแปรรูป เช่น เคมีการเกษตร ปุ๋ย และน้ำตาลทราย เป็นต้น
4. รัฐควรเข้าช่วยเหลือกำหนดราคาประกันแก่ผลิตผลที่เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงาน ในขณะ
เดียวกันควรส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันทำสัญญาซื้อขายวัตถุดิบล่วงหน้ากับทางโรงงาน
5. รัฐควรพิจารณามาตรการลดหย่อนค่าบริการสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งไฟฟ้า ประปา และ
โทรศัพท์ ให้แก่โรงงานที่ผลิตเพื่อการส่งออก
6. ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ด้วยการจัดตั้งหน่วยงานที่ให้
บริการตั้งแต่การให้คำปรึกษาอบรมเทคนิคการผลิต การพัฒนารูปแบบและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
การตรวจสอบควบคุมคุณภาพ รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการผลิต
ตลอดจนศึกษาวิจัยทัศนคติ รสนิยมของผู้บริโภคในสินค้าแต่ละประเภทในแต่ละประเทศ
เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพทัดเทียม
หรือเหนือกว่าคู่แข่งขัน
ด้านการตลาด
1. การสร้างภาพพจน์ที่ดีให้แก่สินค้าไทย ด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างประเทศรู้จัก
ควรทำในรูปการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องกับผักผลไม้สด เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักผักผลไม้ไทยเมื่อ
นำมาทำในรูปของผักผลไม้แปรรูป รวมถึงเน้นเอกลักษณ์ของสินค้าไทย ที่มีรูปแบบและรสชาด
ไม่เหมือนกับประเทศใดในโลก
2. เพิ่มบทบาทของศูนย์ข้อมูลเพื่อการส่งออกมากยิ่งขึ้น โดยการจัดทำรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่
เกี่ยวข้องกับการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการพัฒนาการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างหน่วยงานราชการและเอกชน รวมถึงการรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเจาะ
ตลาดต่างประเทศ ศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ของกฏระเบียบในการนำเข้าสินค้าของ
ประเทศต่างๆ ตลอดจนวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่น่าสนใจ
3. หน่วยงานของรัฐต่างๆ ควรมีการเผยแพร่ข้อมูลแก่ผู้ส่งออก โดยวิธีการต่างๆ เช่น จัดพิมพ์
เป็นเอกสาร จัดส่งทางโทรสาร จัดอบรมสัมมนา หรือการให้บริการ On-Line ผ่านทาง
คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
4. ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ส่งออก ควรมีการรวมตัวกันในรูปของกลุ่มหรือสมาคม เพื่อแลกเปลี่ยน
ข้อมูลทางการค้าและเพื่อสร้างฐานการต่อรอง การซื้อ-ขายใดๆอาจจะเจรจาในรูปของผู้ซื้อ
กับสมาคม ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาด้านการตัดราคา
5. ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แห้ง ดอง แช่อิ่ม และขนมหวาน จะต้องให้ความสำคัญด้านคุณภาพ
และสุขอนามัยเป็นอย่างมาก ด้วยการควบคุมดูแลสินค้าที่ส่งออกให้มีคุณภาพตรงตามที่ลูกค้า
ต้องการ รวมทั้งต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่กำหนดโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ
6. ควรมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์สินค้า (Packaging) เพื่อประโยชน์ในการจำหน่าย
เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ทำให้สินค้าชวนมองและชวนซื้อยิ่งขึ้น เป็นการดึงดูดผู้บริโภคให้เกิดความ
ต้องการสินค้าได้วิธีหนึ่ง
7. ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น โดยการเปิด
โอกาสให้มีส่วนร่วมในงานแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการ
ช่วยอุดหนุนด้านเงินทุนและค่าใช้จ่ายให้กับผู้ที่ไปร่วมงานแสดงสินค้า หรืออาจพิจารณา
ลดหย่อนค่าใช้จ่ายให้ถูกเป็นพิเศษ
8. หน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคม
ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ควรเข้ามามีบทบาทในการประสานงานร่วมกันกับหน่วยงานของรัฐ
เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาทางการค้าที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้านกฏระเบียบและนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ
1. การปรับปรุงระบบภาษีให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
และการคืนภาษีตามมาตรา 19 ทวิ
2. ภาครัฐควรช่วยเหลือเรื่องเงินทุนหมุนเวียน โดยจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำ
หรือลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ด้วยการประสานงานกับธนาคารพาณิชย์ จัดทำนโยบายการให้
สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการส่งออก
3. ภาครัฐควรปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำตามสภาวะอุตสาหกรรม โดยมีเกณฑ์ค่าจ้างแบ่ง
ตามระดับฝีมือและตามภาคอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานระดับฝีมือสูง
เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ควรมีอัตราค่าจ้างที่สูงด้วยในขณะที่อุตสาหกรรม
ที่ใช้แรงงานประเภทกึ่งฝีมือ หรือแรงงานไร้ฝีมือ ก็ควรมีอัตราค่าจ้างที่ต่ำลง
4. การปรับปรุงระบบการทำงานในส่วนของภาครัฐบาล ซึ่งรวมถึงทุกๆ หน่วยงานที่มีความ
เกี่ยวข้อง โดยการลดขั้นตอนต่างๆ ที่มีการทำงานซ้ำซ้อนกันและลดระเบียบข้อบังคับต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการส่งออก เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และ
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น
5. คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ควรให้ความสำคัญและให้การส่งเสริมสนับสนุน
อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น และถึงแม้ว่าผู้ประกอบการบางราย
เป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตไม่ได้เป็นผู้ส่งออกโดยตรง แต่ก็ควรจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
ด้านการส่งเสริมการลงทุนด้วย
6. ภาครัฐควรมีมาตรการกำหนดราคาหรือควบคุมอัตราค่าขนส่งทั้งการขนส่งทางบก ทางเรือ
และทางอากาศ เนื่องจากอัตราค่าขนส่งต่างๆ มีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตส่วนหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระ
7. ควรมีการปรับปรุงแก้ไขมาตรฐานสินค้าของประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ขณะเดียวกันรัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนตื่นตัวในเรื่องมาตรฐานสินค้า โดยการเปิดโอกาส
ให้เข้าไปมีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าส่งออก รวมทั้งการสนับสนุนให้
ผู้ประกอบการจัดสร้างห้องทดลอง (ห้อง Lab) เพื่อตรวจสอบมาตรฐานสินค้าของตนเองด้วย
--กรมส่งเสริมการส่งออก กุมภาพันธ์ 2541--
4.3.1 ผักกระป๋องและแปรรูป
ในปี 2539 สหภาพยุโรปมีการนำเข้าผักกระป๋องและแปรรูปจากตลาดโลกเป็นมูลค่า 64,013.48ล้านบาท (3,158.9 ล้านเหรียญ ECU) ลดลงจากปี 2538 ที่มีมูลค่า 62,080.31 ล้านบาท (3,268.0ล้านเหรียญ ECU) หรือลดลงร้อยละ 5.3 โดยประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าผักกระป๋องและแปรรูปที่สำคัญของสหภาพยุโรป ก็คือกลุ่มประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปด้วยกัน ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ อิตาลี เบลเยี่ยม-ลักเซมเบอร์ก และฝรั่งเศส
4.3.2 พืชผักแห้ง
ปี 2539 สหภาพยุโรปมีการนำเข้าพืชผักแห้งจากตลาดโลกมูลค่า 6,059.08 ล้านบาท (299.0ล้านเหรียญ ECU) เพิ่มขึ้นจากปี 2538 ที่มีมูลค่า 5,347.49 ล้านบาท (281.5 ล้านเหรียญ ECU) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 โดยมีการนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 รองลงมาได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฝรั่งเศส และเยอรมนี
4.3.3 ผลไม้อบแห้งและแช่อิ่ม
ปี 2539 สหภาพยุโรปมีการนำเข้าผลไม้อบแห้งและแช่อิ่มจากตลาดโลก เป็นมูลค่า 1,246.26ล้านบาท (61.5 ล้านเหรียญ ECU) เพิ่มขึ้นจากปี 2538 เพียงร้อยละ 0.4 ทั้งนี้เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปด้วยกันเอง เป็นอันดับ 1 โดยมีประเทศอิตาลีเป็นแหล่งนำเข้าของกลุ่มประเทศนี้มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ กรีซ และเบลเยี่ยม-ลักเซมเบอร์ก ในส่วนของประเทศไทยนั้น มีการส่งผลไม้อบแห้งและแช่อิ่มเข้าไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรปเป็นอันดับที่ 7 ด้วยมูลค่า30.40 ล้านบาท (1.5 ล้านเหรียญ ECU) หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.4 ของมูลค่าการนำเข้าผลไม้อบแห้งและแช่อิ่มทั้งหมดของสหภาพยุโรป
ศักยภาพและโอกาสสำหรับการแข่งขันในตลาดโลก
1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป กลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป อันประกอบด้วย ผลไม้แห้ง/อบแห้งผลไม้ดองและผลไม้แช่อิ่ม เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการส่งออกที่ดี มีอัตราการขยายตัวค่อนข้างสูง โดยในปี2538 ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถส่งออกผลไม้แปรรูปได้มากเป็นอันดับ 6 ของโลก เป็นมูลค่าถึง 14,217.62 ล้านบาท และยังเป็นประเทศที่ส่งออกผลไม้แปรรูปเป็นมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศเอเชียอีกด้วย โดยมีคู่แข่งที่สำคัญคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปที่พบ คือ ปัญหาในเรื่องวัตถุดิบ ซึ่งมักจะประสบปัญหาในเรื่องของปริมาณและคุณภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สามารถดำเนินการโดยการนำเทคโนโลยีการเกษตรแบบก้าวหน้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น และสามารถควบคุมวัตถุดิบให้ได้คุณภาพตรงตามความต้องการของผู้บริโภค การพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้เหนือกว่าคู่แข่งขันเท่านั้นประเทศไทยจึงจะมีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลกได้
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกกวาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกกวาดจัดเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพรองลงมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป โดยในปี 2538 ประเทศไทยสามารถส่งออกลูกกวาดได้เป็นอันดับที่ 25 ของโลกและเป็นอันดับ 5 ของผู้ส่งออกกลุ่มประเทศในเอเชียรองจาก ประเทศฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย การส่งออกลูกกวาดของไทยที่ผ่านมา เน้นการส่งออกประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก อาทิ พม่าลาว กัมพูชา แม้ว่าจะได้มีการขยายการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปบ้าง แต่ก็มีปริมาณเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีการผลิตตลอดจนคุณภาพสินค้าของไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ แต่หากมีการปรับปรุงกรรมวิธีการผลิต นำเครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อีกทั้งควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้คงที่สม่ำเสมอ คาดว่าประเทศไทยน่าจะขยายตลาดได้เพิ่มขึ้น และยังสามารถใช้วัตถุดิบ ได้แก่ น้ำตาลทราย ที่ประเทศไทยมีความพร้อมอยู่แล้วด้านการผลิต มาเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลกได้
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักแปรรูป กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักแปรรูป ประกอบด้วย ผักแห้ง/อบแห้ง ผักดองและผักกระป๋อง แม้ว่าจะมีการขยายตัวในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มแรก แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญสามารถนำเงินตราเข้าสู่ประเทศได้ปีละจำนวนมาก โดยเฉพาะผักกระป๋องเป็นประเภทผลิตภัณฑ์ผักแปรรูปที่มีมูลค่าการส่งออกสูงกว่าผักแปรรูปทุกประเภท โดยมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี ในปี 2538 ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถส่งออกผักแปรรูปได้เป็นอันดับที่ 8 ของโลกและของผู้ส่งออกกลุ่มประเทศในเอเชีย โดยมีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก รองลงมาได้แก่ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับแม้ว่าประเทศไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก แต่เมื่อพิจารณาการขยายตัวพบว่ามีการขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 8.2 ขณะที่ประเทศคู่แข่งขันในเอเชียมีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 35.3 ประเทศอินเดียอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 22.0 17.2 และ 14.7 ตามลำดับ
การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันที่สำคัญคือ การจัดระบบการปลูกผักเป็นแบบอุตสาหกรรม โดยปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้เป็นอย่างดี เนื่องจากผลผลิตของไทยที่ผ่านมานั้นมีแหล่งผลิตค่อนข้างกระจัดกระจายและมีการปลูกในรูปแบบอุตสาหกรรมค่อนข้างน้อยทำให้คุณภาพของผลผลิตไม่สม่ำเสมอ ประการสำคัญต่อมาคือ การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผลิตภัณฑ์ผักแปรรูป เพื่อสามารถแข่งขันด้านราคาและคุณภาพในตลาดโลกได้
4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมหวานแบบไทย จากการประมวลความเห็นของผู้ประกอบการมีความเห็นว่าขนมหวานแบบไทยมีอัตราการขยายตัวด้านการส่งออกค่อนข้างต่ำ เนื่องจากข้อจำกัดของรสชาดและรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในต่างประเทศ ประเภทผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกจึงมีเพียงไม่กี่ชนิด โดยมีรูปแบบการแปรรูปเป็นขนมหวานสำเร็จรูป ทั้งแบบแช่แข็ง และบรรจุกระป๋อง ตลาดหลักของการส่งออกขนมหวานแบบไทยอยู่ในเขตประเทศทางเอเชียอาทิ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ส่วนประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีรูปแบบผลิตภัณฑ์ พฤติกรรมการบริโภค วัตถุดิบ ตลอดจนรสชาดอาหารที่ใกล้เคียงกันกับประเทศไทย การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันที่สำคัญ คือ การสร้างภาพพจน์และชื่อเสียงของขนมหวานไทยควบคู่กับอาหารไทย ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งศึกษารูปแบบของผลิตภัณฑ์ รสชาดที่ผู้บริโภคแต่ละตลาดต้องการทั้งนี้เพื่อปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการผู้บริโภคมากที่สุด
กลยุทธ์ในการขยายการส่งออก
1. ด้านการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) : นับเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งสำหรับสินค้าส่งออกทุกประเภท ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในด้านการผลิตตลอดจนการควบคุมด้านสุขอนามัย (Sanitary Control) ให้มีความสะอาดและปราศจากสิ่งเจือปนปลอมแปลงในอาหาร การควบคุมด้านคุณภาพนั้นผู้ประกอบการต้องมีการควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนตั้งแต่คุณภาพของวัตถุดิบ จนถึงการทดสอบคุณภาพของสินค้าระหว่างผลิตและการตรวจสอบคุณภาพเมื่อผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึง คือ กฎระเบียบและมาตรฐานสินค้าของตลาดต่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เนื่องจากเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถผลิตสินค้าให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของลูกค้า
2. ด้านการวิจัยตลาด (Marketing Research) : ผู้ประกอบการควรมีการสำรวจศึกษาข้อมูลด้านการตลาดของตลาดต่างประเทศก่อนทำการส่งสินค้าไปจำหน่าย ทั้งนี้เพื่อสามารถผลิตสินค้า ตลอดจนการกำหนดราคา วิธีการส่งเสริมการขาย และช่องทางการจำหน่ายได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด การวิจัยตลาดที่สำคัญสำหรับสินค้าประเภทอาหาร คือ การสำรวจทัศนคติความพึงพอใจของผู้บริโภค (Survey of Consumer Preferences) เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน จึงควรศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อสินค้าเช่นรสชาด รูปแบบและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อสามารถสนองความพึงพอใจของผู้บริโภคได้สูงสุด
แหล่งข้อมูลด้านการตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่ง คือ ผู้นำเข้า (Importer)ในตลาดประเทศนั้นๆเนื่องจากเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดลูกค้าและเห็นความเคลื่อนไหวของตลาด (Market Movement) จึงให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยแก่ผู้ประกอบการ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ด้านการขนส่ง (Delivery) : การส่งมอบสินค้าตรงเวลา นับเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งในการส่งออก ผู้ส่งออกไทยจึงควรนำระบบการขนส่งแบบทันเวลา (Just-in-time deliverysystems) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการส่งออก นั่นคือการส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าในปริมาณที่พอดีและภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งการจะนำระบบนี้มาใช้ผู้ส่งออกไทยจะต้องมีการวางแผนร่วมกับทางบริษัทผู้นำเข้า ถึงปริมาณที่สั่งซื้อสินค้าแต่ละงวด และระยะเวลาการส่งมอบสินค้าที่ลูกค้าต้องการ
4. ด้านบรรจุภัณฑ์ (Packaging) : การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากการวางสินค้าจำหน่ายตามร้านค้าต่างๆ สิ่งที่ผู้บริโภคพิจารณาเปรียบเทียบก่อนเลือกซื้อสินค้าคือตัวบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ควรพิจารณาเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีความตื่นตัวกับกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก ดังนั้นการออกแบบบรรจุภัณฑ์จึงควรเน้นการใช้งานที่ก่อให้เกิดอรรถประโยชน์สูงสุดเช่น การนำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) หรือการนำมาผ่านกระบวนการผลิตใหม่ (Recycle) เป็นต้น
5. ด้านการส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) : จุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลสินค้าผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม ลูกกวาด และขนมหวานแบบไทยแก่ตลาดต่างประเทศ โดยเน้นการสร้างภาพพจน์และเอกลักษณ์ของสินค้าไทย ซึ่งมีวิธีการต่างๆ ดังนี้
1) การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ ควรจัดทำเป็นแผนระยะยาวด้วยการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน การโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ทำให้ผู้ซื้อในตลาดต่างประเทศได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวด้านกิจกรรมทางการตลาดของผู้ส่งออกไทย และสร้างความสัมพันธ์ตลอดจนความเชื่อถือในตัวสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย
2) การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เช่น งาน FOODEX ที่จัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น งาน ANUGA ที่ประเทศเยอรมนี และงาน SIAL ที่ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น
3) การจัดคณะผู้แทนการค้า (Selling Mission) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐบาลและภาคเอกชนไปยังประเทศต่าง ๆ และการนำคณะผู้แทนการค้าจากต่างประเทศมายังประเทศไทย
6. ด้านการบริการ (Service) : ผู้ส่งออกควรที่จะให้ความสำคัญต่อการบริการในด้านต่างๆ ดังนี้
- การส่งมอบสินค้าให้ตรงต่อเวลา
- การอำนวยความสะดวกด้านข้อมูล/เอกสารต่างๆ ที่ลูกค้าต้องการ เช่น ใบรับรอง
(Certificate) คุณภาพอาหาร
- การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอย่างรวดเร็ว (Quick Response) ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลง
เกี่ยวกับสินค้า กำหนดการส่ง หรือปัญหาอื่นๆ ผู้ส่งออกต้องแจ้งแก่ผู้ซื้อโดยทันที
- จัดทีมงานที่มีประสิทธิภาพและสามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาต่างประเทศได้ดี คอยแนะนำให้
ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าก่อนการเสนอขายและติดตามผลหลังการขาย เพื่อนำข้อ
บกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขต่อไป
ข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของประเทศไทยข้อได้เปรียบ
1. คุณภาพ ประเทศไทยยังมีข้อได้เปรียบทางด้านคุณภาพ ตั้งแต่การมีวัตถุดิบคุณภาพดี ตลอดจน
สามารถนำมาแปรรูปด้วยกรรมวิธีที่ถูกต้องและได้มาตรฐานทำให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพสูง
2. วัตถุดิบ ประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบของผักผลไม้เมืองร้อน ซึ่งสามารถผลิตได้ในปริมาณ
มาก นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมีหลากหลายชนิด ทำให้สามารถนำมาแปรรูปสินค้าได้
หลากหลายประเภท การที่ประเทศไทยมีแหล่งวัตถุดิบเอง ทำให้มีความคล่องตัวในการผลิต
และมีวัตถุดิบป้อนโรงงานตลอดปี
3. เทคโนโลยี เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในแถบเอเซียด้วยกัน ประเทศไทยมีการพัฒนา
รูปแบบและเทคโนโลยีการผลิตที่เหนือกว่า สามารถพัฒนารูปแบบของสินค้าได้รวดเร็ว
ตรงตามความต้องการของลูกค้า เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศไทยอยู่ในธุรกิจเป็นเวลานาน
จึงมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการจัดการด้านวัตถุดิบและเครื่องจักรอุปกรณ์
4. ความน่าเชื่อถือ ผู้ผลิตในประเทศไทยได้รับความเชื่อถือจากประเทศคู่ค้าค่อนข้างสูง
เนื่องจากผู้ผลิตของไทยได้แสดงให้เห็นถึง
- ความตรงต่อเวลา สามารถส่งสินค้าได้ตามเวลานัดเสมอ
- ความรับผิดชอบต่อคุณภาพของสินค้าหรือการชำรุดเสียหาย
- ในประเทศที่เป็นคู่ค้าของไทยไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรป
ล้วนเป็นประเทศที่มีความเอาใจใส่ต่อสินค้าประเภทอาหารสูงมาก การนำเข้า
สินค้าประเภทอาหารจะต้องได้มาตรฐานที่กำหนดก่อน เมื่อผู้ผลิตในประเทศไทย
สามารถเข้าสู่ตลาดทั้ง 3 นี้ได้แล้ว จึงมั่นใจได้ว่ามาตรฐานของสินค้าไทย สามารถ
แข่งขันได้ในตลาดนั้นๆ แน่นอน
ข้อเสียเปรียบ
1. อัตราค่าแรง อุตสาหกรรมผักผลไม้แห้ง ดอง แช่อิ่ม และขนมหวานเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้
แรงงานในการผลิตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลด้านโครงสร้างต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรม
นี้จะพบว่าค่าแรงงานคิดเป็นร้อยละ 10-20 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ดังนั้นค่าแรงที่สูง
ย่อมมีผลต่อต้นทุนโดยรวมให้สูงขึ้นซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้าทำให้ต้องจำหน่าย
ในราคาสูงขึ้น
2. ราคาวัตถุดิบ วัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมแปรรูปผักผลไม้คือ ผักผลไม้สด ซึ่งส่วนใหญ่
ใช้เพื่อการบริโภคและส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ที่เหลือจึงส่งเข้าโรงงานอุตสาห-
กรรมแปรรูป ส่งผลให้วัตถุดิบมีระดับราคาไม่แน่นอน และถ้าหากตลาดนิยมการบริโภคสด
เพิ่มขึ้น ผลไม้สดที่จะเป็นวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานก็จะเกิดขาดแคลน เป็นผลให้ราคาวัตถุดิบ
ในประเทศสูงขึ้น ส่วนอุตสาหกรรมลูกกวาด และขนมหวาน วัตถุดิบหลักได้แก่ น้ำตาล
ซึ่งมีราคาจำหน่ายภายในประเทศสูงกว่าตลาดโลก เนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำตาลเป็น
อุตสาหกรรมที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ สำหรับวัตถุดิบบางตัวที่ต้องนำเข้าจาก
ต่างประเทศ ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสูง
และเกิดข้อเสียเปรียบด้านการแข่งขันในการส่งออก
3. ราคาสินค้า จากการที่ประเทศไทยเริ่มสูญเสียความได้เปรียบในด้านต่างๆ อาทิ ด้านวัตถุดิบ
มีราคาแพง รวมทั้งอัตราค่าแรงที่สูงทำให้ต้นทุนการผลิตของประเทศไทยสูงกว่าประเทศอื่น
จึงเป็นผลให้ราคาสินค้าผักผลไม้แปรรูป ลูกกวาด และขนมหวาน จากประเทศไทยอยู่ใน
ระดับสูงกว่าหลายๆ ประเทศจึงดึงดูดให้ลูกค้าต่างประเทศสนใจราคาสินค้าของประเทศคู่แข่ง
มากกว่าของไทย
4. ภาษา นักธุรกิจไทยมักมีปัญหาด้านภาษาในการเจรจาติดต่อสื่อสาร ขณะที่ประเทศคู่แข่ง
ส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง ทำให้ประเทศไทยขาดโอกาสหรือเสียเปรียบด้าน
การเจรจาการค้าและการเจาะตลาดใหม่ๆ
5. ระบบข้อมูล / ข่าวสาร ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งในด้านการผลิต อันได้แก่ ความรู้และ
เทคโนโลยีต่างๆ ตลอดจนข้อมูลข่าวสารในด้านการตลาดที่ทันเหตุการณ์และข้อมูลของ
ประเทศ คู่ค้าและคู่แข่งอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน
แต่ระบบข้อมูลข่าวสารของอุตสาหกรรมผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม และขนมหวานของไทย
ยังอยู่ในวงจำกัด แม้ว่าจะมีการดำเนินการทั้งจากภาครัฐบาลและเอกชน ในการ
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ แต่ก็ยังไม่กว้างขวางและทันต่อเหตุการณ์เท่าใดนัก
6. ขนาดของธุรกิจ อุตสาหกรรมผักผลไม้แห้ง ดอง แช่อิ่ม และขนมหวานของไทย
ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานในลักษณะของธุรกิจครอบครัว ขนาดของการดำเนินธุรกิจ
ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยังมีขนาดเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการที่ขยายไป
เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับ
ผู้ประกอบการทั้งหมดในอุตสาหกรรม การที่ธุรกิจมีขนาดเล็กทำให้ไม่สามารถ
ดำเนินการผลิตในลักษณะของ Mass Production ได้ รวมไปถึงข้อจำกัดในเรื่อง
ของการควบคุมคุณภาพ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
เพื่อพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
ปัญหาและอุปสรรค
แม้ว่าการผลิตและการตลาดส่งออกผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม และขนมหวานแบบไทยจะมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ปัจจุบันยังมีปัญหาอุปสรรคมากมายที่อุตสาหกรรมผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่มและขนมหวานแบบไทยต้องเผชิญอยู่ ซึ่งสามารถสรุปประเด็นปัญหาได้ดังนี้
1. ปัญหาค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอด อันเป็นผลมาจากค่าครองชีพสูงขึ้นตามภาวะ
เศรษฐกิจจึงเป็นเหตุให้ค่าใช้จ่ายด้านแรงงานสูงมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาการขาดแคลน
แรงงานในบางฤดูกาล ตลอดจนการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะความชำนาญงาน
2. ปัญหาด้านวัตถุดิบมีระดับราคาไม่แน่นอน และมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. ปัญหาด้านปริมาณของวัตถุดิบในประเทศ ซึ่งมีผลผลิตไม่แน่นอน การผลิตส่วนใหญ่ยังขึ้นอยู่
กับธรรมชาติบางฤดูกาลมีมากเกินความต้องการขณะที่บางฤดูกาลมีวัตถุดิบไม่พอป้อนโรงงาน
4. ปัญหาด้านกฎระเบียบของทางราชการและการขอคืนภาษี มีขั้นตอนการติดต่อยุ่งยากซับซ้อน
ทำให้เกิดความล่าช้า และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มต้นทุนด้านการตลาดของ
ผู้ประกอบการเพื่อการส่งออกเป็นอย่างมาก
5. ปัญหาด้านการแข่งขันในตลาดโลก ประเทศคู่แข่งมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนการผลิต
และราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาในตลาด
ต่างประเทศได้
6. ปัญหาด้านการกีดกันทางการค้าของกลุ่มประเทศต่างๆ ทั้งในด้านกฎระเบียบการนำเข้าและ
ด้านภาษี ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และลดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
ของประเทศไทยลง
7. ปัญหาค่าขนส่งที่มีราคาสูงเพิ่มขึ้น ทั้งการขนส่งทางรถยนต์ ทางอากาศ และทางเรือ
8. ปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนด้านดอกเบี้ย ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ปัญหาต้นทุนการผลิตสูงยังมีสาเหตุจากการเสียภาษีนำเข้าวัตถุดิบสูง ทำให้โอกาส
การแข่งขันน้อยลง
9. ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต อุตสาหกรรมผัก ผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม และขนมหวาน
โดยส่วนใหญ่มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตค่อนข้างน้อย ซึ่งการใช้เทคโนโลยีเก่าๆ
ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ทั้งยังมีผลกระทบทำให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานตาม
ความต้องการของตลาดอีกด้วย
10. ปัญหาด้านการกำหนดมาตรฐานสินค้า เป็นเพียงมาตรฐานภายในประเทศ ยังไม่ได้เป็น
การกำหนดมาตรฐานเพื่อการส่งออก และมิได้กำหนดสำหรับอาหารทุกชนิด จึงเป็นการ
ยากที่จะตรวจสอบหรือควบคุมคุณภาพได้
11. ปัญหาการขาดการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เนื่องจากสินค้าผักผลไม้แห้ง ดองแช่อิ่ม
และขนมหวาน เป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคในหมู่ชาวเอเซียเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ตลาด
ของประเทศไทยยังไม่ขยายตัวออกไปมากนัก
12. ปัญหาด้านสาธารณูปโภคได้แก่ปัญหาด้านราคาค่าบริการสูง ทั้งไฟฟ้า ประปาและโทรศัพท์
13. ปัญหาด้านการเงิน ขาดแคลนแหล่งเงินทุนระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำ ที่จะช่วยสนับสนุนการ
ดำเนินงานหรือขยายกิจการ
14. การทำลายอนาคตทางการตลาด โดยผู้ประกอบการบางโรงส่งสินค้าคุณภาพต่ำไปจำหน่าย
ทำให้ลูกค้าลดความเชื่อถือคุณภาพสินค้าของไทยในภาพรวมด้วย
15. การขาดข้อมูลข่าวสารด้านการตลาด ทำให้ผู้ผลิตผลิตสินค้าไม่ตรงกับรสนิยมของตลาด
รวมทั้งการตั้งราคาที่เสียเปรียบทางด้านการแข่งขัน
ข้อเสนอแนะเพื่อวางแผนพัฒนาและส่งเสริมการส่งออกด้านการผลิต
1. จัดระบบการพัฒนาฝีมือแรงงาน ด้วยการจัดตั้งสถาบันหรือโรงเรียนฝึกอบรมหรือฝึกงาน
หลักสูตรระยะสั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต
2. การจัดเตรียมและปรับปรุงด้านปริมาณและคุณภาพวัตถุดิบ โดยให้เกษตรกร โรงงานผู้ผลิต
ผู้ส่งออก และกรมส่งเสริมการเกษตรมาวางแผนร่วมกัน เพื่อจะได้กำหนดความต้องการ
ทางด้านวัตถุดิบให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด นอกจากนี้ควรแนะนำและส่งเสริม
ให้เกษตรกรได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเพาะปลูกและดูแลบำรุงรักษาพืชผักผลไม้
เพื่อให้มีคุณภาพมากขึ้น
3. รัฐควรพิจารณาปรับปรุงลดหย่อนราคาของปัจจัยการผลิตทางภาคการเกษตร และวัตถุดิบที่
สำคัญในการแปรรูป เช่น เคมีการเกษตร ปุ๋ย และน้ำตาลทราย เป็นต้น
4. รัฐควรเข้าช่วยเหลือกำหนดราคาประกันแก่ผลิตผลที่เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงาน ในขณะ
เดียวกันควรส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันทำสัญญาซื้อขายวัตถุดิบล่วงหน้ากับทางโรงงาน
5. รัฐควรพิจารณามาตรการลดหย่อนค่าบริการสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งไฟฟ้า ประปา และ
โทรศัพท์ ให้แก่โรงงานที่ผลิตเพื่อการส่งออก
6. ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ด้วยการจัดตั้งหน่วยงานที่ให้
บริการตั้งแต่การให้คำปรึกษาอบรมเทคนิคการผลิต การพัฒนารูปแบบและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
การตรวจสอบควบคุมคุณภาพ รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการผลิต
ตลอดจนศึกษาวิจัยทัศนคติ รสนิยมของผู้บริโภคในสินค้าแต่ละประเภทในแต่ละประเทศ
เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพทัดเทียม
หรือเหนือกว่าคู่แข่งขัน
ด้านการตลาด
1. การสร้างภาพพจน์ที่ดีให้แก่สินค้าไทย ด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างประเทศรู้จัก
ควรทำในรูปการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องกับผักผลไม้สด เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักผักผลไม้ไทยเมื่อ
นำมาทำในรูปของผักผลไม้แปรรูป รวมถึงเน้นเอกลักษณ์ของสินค้าไทย ที่มีรูปแบบและรสชาด
ไม่เหมือนกับประเทศใดในโลก
2. เพิ่มบทบาทของศูนย์ข้อมูลเพื่อการส่งออกมากยิ่งขึ้น โดยการจัดทำรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่
เกี่ยวข้องกับการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการพัฒนาการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างหน่วยงานราชการและเอกชน รวมถึงการรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเจาะ
ตลาดต่างประเทศ ศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ของกฏระเบียบในการนำเข้าสินค้าของ
ประเทศต่างๆ ตลอดจนวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่น่าสนใจ
3. หน่วยงานของรัฐต่างๆ ควรมีการเผยแพร่ข้อมูลแก่ผู้ส่งออก โดยวิธีการต่างๆ เช่น จัดพิมพ์
เป็นเอกสาร จัดส่งทางโทรสาร จัดอบรมสัมมนา หรือการให้บริการ On-Line ผ่านทาง
คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
4. ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ส่งออก ควรมีการรวมตัวกันในรูปของกลุ่มหรือสมาคม เพื่อแลกเปลี่ยน
ข้อมูลทางการค้าและเพื่อสร้างฐานการต่อรอง การซื้อ-ขายใดๆอาจจะเจรจาในรูปของผู้ซื้อ
กับสมาคม ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาด้านการตัดราคา
5. ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แห้ง ดอง แช่อิ่ม และขนมหวาน จะต้องให้ความสำคัญด้านคุณภาพ
และสุขอนามัยเป็นอย่างมาก ด้วยการควบคุมดูแลสินค้าที่ส่งออกให้มีคุณภาพตรงตามที่ลูกค้า
ต้องการ รวมทั้งต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่กำหนดโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ
6. ควรมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์สินค้า (Packaging) เพื่อประโยชน์ในการจำหน่าย
เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ทำให้สินค้าชวนมองและชวนซื้อยิ่งขึ้น เป็นการดึงดูดผู้บริโภคให้เกิดความ
ต้องการสินค้าได้วิธีหนึ่ง
7. ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น โดยการเปิด
โอกาสให้มีส่วนร่วมในงานแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการ
ช่วยอุดหนุนด้านเงินทุนและค่าใช้จ่ายให้กับผู้ที่ไปร่วมงานแสดงสินค้า หรืออาจพิจารณา
ลดหย่อนค่าใช้จ่ายให้ถูกเป็นพิเศษ
8. หน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคม
ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ควรเข้ามามีบทบาทในการประสานงานร่วมกันกับหน่วยงานของรัฐ
เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาทางการค้าที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้านกฏระเบียบและนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ
1. การปรับปรุงระบบภาษีให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
และการคืนภาษีตามมาตรา 19 ทวิ
2. ภาครัฐควรช่วยเหลือเรื่องเงินทุนหมุนเวียน โดยจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำ
หรือลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ด้วยการประสานงานกับธนาคารพาณิชย์ จัดทำนโยบายการให้
สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการส่งออก
3. ภาครัฐควรปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำตามสภาวะอุตสาหกรรม โดยมีเกณฑ์ค่าจ้างแบ่ง
ตามระดับฝีมือและตามภาคอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานระดับฝีมือสูง
เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ควรมีอัตราค่าจ้างที่สูงด้วยในขณะที่อุตสาหกรรม
ที่ใช้แรงงานประเภทกึ่งฝีมือ หรือแรงงานไร้ฝีมือ ก็ควรมีอัตราค่าจ้างที่ต่ำลง
4. การปรับปรุงระบบการทำงานในส่วนของภาครัฐบาล ซึ่งรวมถึงทุกๆ หน่วยงานที่มีความ
เกี่ยวข้อง โดยการลดขั้นตอนต่างๆ ที่มีการทำงานซ้ำซ้อนกันและลดระเบียบข้อบังคับต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการส่งออก เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และ
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น
5. คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ควรให้ความสำคัญและให้การส่งเสริมสนับสนุน
อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น และถึงแม้ว่าผู้ประกอบการบางราย
เป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตไม่ได้เป็นผู้ส่งออกโดยตรง แต่ก็ควรจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
ด้านการส่งเสริมการลงทุนด้วย
6. ภาครัฐควรมีมาตรการกำหนดราคาหรือควบคุมอัตราค่าขนส่งทั้งการขนส่งทางบก ทางเรือ
และทางอากาศ เนื่องจากอัตราค่าขนส่งต่างๆ มีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตส่วนหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระ
7. ควรมีการปรับปรุงแก้ไขมาตรฐานสินค้าของประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ขณะเดียวกันรัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนตื่นตัวในเรื่องมาตรฐานสินค้า โดยการเปิดโอกาส
ให้เข้าไปมีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าส่งออก รวมทั้งการสนับสนุนให้
ผู้ประกอบการจัดสร้างห้องทดลอง (ห้อง Lab) เพื่อตรวจสอบมาตรฐานสินค้าของตนเองด้วย
--กรมส่งเสริมการส่งออก กุมภาพันธ์ 2541--