1.                  กรอบท่าทีไทยในการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ 4          คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบกรอบท่าทีไทยสำหรับเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรี          องค์การการค้าโลก ครั้งที่ 4  ในวันที่ 9-13 พฤศจิกายน 2544  ณ เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ ดังนี้            1.         ให้การสนับสนุนการเจรจารอบใหม่ที่ sufficiently broad based  มีความสมดุล มีความยืดหยุ่น  และคำนึงถึงความสามารถของประเทศสมาชิกตามระดับการพัฒนาประเทศ          1.1              เรื่องที่ประเทศไทยให้ความสนใจ  ได้แก่              1)                  เกษตร          (1)               ให้มีการปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรอย่างจริงจัง  โดยนำไปสู่การยก          เลิกการอุดหนุนการส่งออกทุกชนิดในที่สุด  ลดการอุดหนุนภายในลงให้มาก และเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้กว้างขึ้นอีก                                    (2)        ต้องมีการให้แต้มต่อ (Special and Differential Treatment : S&D)  สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ชัดเจน จริงจัง  และขยายเพิ่มขึ้นจากเดิม          (2)               มีความชัดเจนเรื่องการกำหนดเวลาในแต่ละขั้นตอนการเจรจา          2)                  กฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้ว  สนับสนุนให้มีการเจรจาปรับปรุงความตกลงเกี่ยวกับ          กฎ ระเบียบการค้า (Rules)  ที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์และเป็นธรรมแก่สมาชิกโดยรวม ประกอบด้วย  เรื่องการทุ่มตลาด  การอุดหนุน  และอากรตอบโต้ การอุดหนุนประมง และมาตรการปกป้อง                        3)         ขบวนการยุติข้อพิพาท  ให้มีการปรับปรุงกระบวนการระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement )  ของ WTO ให้เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น                        4)         การปฏิบัติตามพันธกรณี  (Implementation)  ที่ควรมีการแก้ไขเรื่องการปฏิบัติตามพันธกรณีเพื่อให้ประโยชน์แก่ประเทศสมาชิก  รวมทั้งประเทศไทยมากขึ้น เช่น  สิ่งทอ มาตรการสุขอนามัย  มาตรการปกป้อง  อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้าและการทุ่มตลาด                          5)         การปฏิบัติเป็นพิเศษแก่ประเทศกำลังพัฒนา(S&D) ต้องการให้มีการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว  เช่น การปฏิบัติเป็นพิเศษและแตกต่าง (S&D)  สำหรับประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยที่สุด                        6)         สิทธิบัตรยา  สนับสนุนให้มีเรื่อง Trade-Related Aspects of Intellectual Property Right : TRIPS & Public Health  ในการประชุมรัฐมนตรี WTO  ครั้งที่ 4  เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหา  access to essential drugs  และความสัมพันธ์ระหว่าง  TRIPS  และ  Convention on Biological Diversity (CBD)          1.2              เรื่องที่รับให้มีการเจรจาได้          1)                  บริการ  เข้าร่วมเจรจาต่อไป รวมทั้งผลักดันให้ประเทศที่เปิดตลาดบริการ          สามารถใช้มาตรการคุ้มกันหรือปกป้องได้   ในกรณีมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามากเกินไป  จนทำให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ (Emergency Safeguard Measures : ESMs)                        2)         สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า  เข้าร่วมเจรจาในเรื่องสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์                        3)         การลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรม ผลักดันให้มีเงื่อนไขพิเศษหรือแต้มต่อสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในเรื่องระยะยาวและอัตราภาษีที่จะลด                        4)         พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  สนับสนุนในหลักการเรื่องการจัดทำ  Work Programme  พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่อไป  ขยายเวลาการยกเว้นการเก็บภาษี  Electronic Transmission (moratorium)  เป็นการชั่วคราวถึงการประชุมรัฐมนตรี WTO  ครั้งที่ 5 และสนับสนุนให้มีการจัดทำแผนงานเพื่อเพิ่มสมรรถนะของประเทศกำลังพัฒนา                        5)         ความโปร่งใสในการจัดซื้อโดยรัฐ  ไทยควรเข้าร่วมในความตกลงนี้ภายใต้เงื่อนไขว่าประเทศกำลังพัฒนาควรมีเวลาในการปรับตัวด้วย          1.3              เรื่องที่ไม่ต้องการเจรจาจัดทำความตกลงใหม่          1)                  การค้ากับการลงทุน  และการค้ากับนโยบายการแข่งขัน  สนับสนุนให้คณะ          ทำงานใน WTO ดำเนินการศึกษาต่อไป  เพื่อให้ประเทศสมาชิกโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอย่างถ่องแท้ก่อน  จึงค่อยพิจารณาว่าควรจะมีการเจรจาทำความตกลงในเรื่องนี้หรือไม่ในโอกาสต่อไป                              2)         การอำนวยความสะดวกทางการค้า  สนับสนุนให้ปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยอำนวยความสะดวกด้านการค้า  แต่ไม่จำเป็นต้องจัดทำเป็นความตกลงฉบับใหม่                        3)         สิ่งแวดล้อม  สนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  แต่ต้องไม่นำไปเป็นเหตุผลในการกีดกันทางการค้า  จึงควรให้คณะกรรมการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมทำการศึกษาต่อไป          1.4              เรื่องที่คัดค้าน          -          แรงงานคัดค้านการนำเรื่องแรงงานเข้าไปเจรจาในองค์การการค้าโลก            2.         รับทราบความคืบหน้าการเตรียมการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ 4  ที่ดำเนินการเตรียมการที่นครเจนีวา  ว่าอยู่ในขั้นพิจารณาร่างปฏิญญารัฐมนตรีฯ ซึ่งมีแรงผลักดันจากประเทศสมาชิกหลายประเทศ  โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว  เช่น สหภาพยุโรป  ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา  ให้เปิดการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบใหม่  เพื่อรวมเรื่องอื่น ๆ ไว้ด้วย นอกเหนือจากเรื่องการค้าสินค้าเกษตร  และการค้าบริการ  ซึ่งตามข้อตกลงได้กำหนดให้เริ่มเจรจาตั้งแต่ปี 2543 อยู่แล้ว  โดยเรื่องอื่น ๆ  ที่มีการเสนอให้เปิดการเจรจา  เช่น การลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรม  เรื่องที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมรัฐมนตรี WTO  ครั้งที่ 1  ณ สิงคโปร์  ให้ทำการศึกษาว่าสมควรจะมีการเจรจาจัดทำความตกลงหรือไม่ใน 4 เรื่อง ได้แก่  ความสัมพันธ์ระหว่างการค้ากับการลงทุน   ความสัมพันธ์ระหว่างการค้ากับนโยบายการแข่งขัน  ความโปร่งใสในการจัดซื้อโดยรัฐ  และการอำนวยความสะดวกทางการค้า  ตลอดจนเรื่องที่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นผู้ผลักดัน  เช่น  การแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามพันธกรณีของการเจรจารอบอุรุกวัย  (Implementation)  และการแก้ไขปัญหาความยากจน  เป็นต้น          2.       ผลการดำเนินโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร                        กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดังนี้          2.1              โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี  ปีการผลิต 2543/2544  ธ.ก.ส. รับ          จำนำข้าวเปลือกโดยตรงจากเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่มียุ้งฉางเป็นของตนเอง  และรับจำนำข้าวเปลือก  ซึ่งฝากไว้ที่คลังสินค้าโดยสลักหลังประทวนสินค้าขององค์การคลังสินค้า (อคส.)หรือองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)  กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนภายใน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่จำนำ          2.2              โครงการรับจำนำข้าวสาร  ปีการผลิต 2543/2544   ธ.ก.ส. รับจำนำ          ข้าวสารจากเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร  โดยเกษตรกรนำข้าวเปลือกนาปรังฤดูการผลิต 2543/2544  ไปให้โรงสีที่เข้าร่วมโครงการแปรสภาพเป็นข้าวสารแล้ว  ส่งมอบให้ อคส. เป็นผู้เก็บและออกประทวนสินค้าเพื่อเป็นประกันหนี้กับธนาคาร  โดยกำหนดราคารับจำนำตามราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปี  ปีการผลิต 2543/2544  ระยะเวลาไถ่ถอนภายใน 4 เดือน นับถัดจากเดือนที่จำนำ          2.3              โครงการรับจำนำผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง  ปีการผลิต 2543/2544             ธ.ก.ส. รับจำนำแป้งมันสำปะหลังและมันสำปะหลังอัดเม็ดโดยตรงจากเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร  โดยรับจำนำแป้งมันสำปะหลังและมันสำปะหลังอัดเม็ดเต็มมูลค่า  เมื่อคำนวณเป็นราคาหัวมันสำปะหลังสด ในราคากิโลกรัมละ 0.85 บาท  ที่เชื้อแป้ง 25%  กำหนดระยะเวลา          ไถ่ถอนภายใน 4 เดือน นับถัดจากเดือนที่จำนำ          2.4              โครงการรับจำนำลำไยอบแห้ง  ปีการผลิต 2543    ธ.ก.ส. รับจำนำ          ประทวนสินค้าลำไยอบแห้ง  ซึ่งเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรนำไปฝากไว้กับ อคส. หรือ อ.ก.ต. ในอัตราร้อยละ 70 ของราคาเป้าหมายนำตามเกรดของลำไยที่กำหนดไว้ในโครงการ  โดยมีระยะเวลาไถ่ถอนภายใน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่จำนำ                              2.5              โครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์   ปีการผลิต 2543/2544  ธ.ก.ส.           รับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยตรงจากเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่มียุ้งฉางของตนเองในราคาตันละ 3,900 บาทและรับจำนำข้าวโพดซึ่งฝากไว้ที่คลังสินค้า  โดยสลักหลังประทวนสินค้าของ อคส. หรือ อ.ต.ก. ในราคาตันละ 4,100 บาท  กำหนดไถ่ถอนและชำระคืนเงินกู้ภายใน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่จำนำ  รับจำนำเพิ่มเติมระหว่างเดือนมีนาคม 2544 | เมษายน 2544 กำหนดไถ่ถอนภายในเดือนกรกฎาคม 2544                          2.6              โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง  ปีการผลิต 2544  ธ.ก.ส.           รับจำนำประทวนสินค้าที่ อคส. หรือ อ.ก.ต. ออกให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรนำข้าวเปลือกไปฝากที่คลังสินค้าของ อคส. หรือ อ.ก.ต.  โดยเริ่มรับจำนำเมษายน 2544  ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2544  กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนภายใน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่จำนำ                                  3.       แนวทางการจัดการธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง                        คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแนวทางการจัดการธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ดังนี้          1.                  ด้านกฎหมาย          ดำเนินการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการค้าปลีกค้าส่งที่มุ่งเน้นให้ธุรกิจค้าปลีก          ค้าส่งทุกขนาด และทุกประเภท  รวมถึงการค้าบริการให้สามารถอยู่ร่วมกันได้  โดยให้มีสัดส่วนของร้านค้าขนาดต่าง ๆ ทั้งขนาดเล็ก  ขนาดกลาง  และขนาดใหญ่  ตามความจำเป็นของสภาพเศรษฐกิจและเมืองและชุมชน  ซึ่งขณะนี้ได้ยกร่างกฎหมายใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบหลักการของกฎหมาย  มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้                                    1.1       กำหนดให้ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง  เข้าข่ายควบคุมต้องปฏิบัติตามและอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กฎหมายจะกำหนด  เช่น การอนุญาตตั้ง  ขยายหรือย้ายสาขา กำหนดสถานที่หรือพื้นที่ตั้ง  จำนวนหรือขนาดของพื้นที่ การประกอบธุรกิจ กำหนดวัน เวลา และชั่วโมงในการเปิดปิด  กำหนดให้มีสัดส่วนพื้นที่จำหน่ายสินค้าที่ผลิตภายในประเทศต่อพื้นที่รวมของธุรกิจปลีกค้าส่งและเงื่อนไขอื่น ๆ ที่จำเป็น                                    1.2       โครงสร้างขององค์กรที่จะกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งประกอบด้วย คณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง  คณะกรรมการส่วนจังหวัดกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์                                    1.3       กำหนดมาตรฐานของร้านค้าปลีกค้าส่ง  เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในตัวกฎหมาย  เพื่อคุ้มครองมิให้ประชาชนซื้อสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ  หรือถูกหลอกลวงในเรื่องราคา                                    1.4       สำหรับโทษที่จะกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง  จะมีทั้งโทษทางปกครอง  เช่น การตำหนิต่อสาธารณะ  การปรับการปกครอง  โทษทางอาญา ได้แก่  จำคุกหรือปรับ          2.                  ด้านการปฏิบัติ          2.1              มาตรการส่งเสริมร้านค้าปลีกค้าส่งขนาดกลางและขนาดเล็ก  และ          ร้านค้าชุมชน กระทรวงพาณิชย์เห็นว่า มีความจำเป็นจะต้องส่งเสริมให้ร้านค้าปลีกค้าส่งขนาดกลางและขนาดเล็กมีความแข็งแรง  เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับร้านประเภทดิสเคานท์สโตร์ รวมทั้งการจัดตั้งร้านค้าปลีกชุมชนตามหลักการดังต่อไปนี้                                                1)         สำรวจร้านค้าปลีกค้าส่งขนาดกลางและขนาดเล็กที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค  เพื่อทราบจำนวนและปัญหาที่แท้จริงจากผลกระทบของการขยายตัวของร้านค้าดิสเคานท์สโตร์  รวมทั้งสอบถามความต้องการที่จะให้ทางราชการช่วยเหลือ เช่น ด้านเงินทุน  ด้านบริหารการจัดการ  ด้านการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง  เป็นต้น  พร้อมกันนี้จะได้ขึ้นทะเบียนร้านค้าปลีกค้าส่งเหล่านี้  เพื่อเป็นข้อมูลในการช่วยเหลือต่อไป                                                2)         จัดตั้งและสนับสนุนร้านค้าปลีกชุมชน  โดยจะเริ่มจากชุมชนนอกเมืองก่อน แล้วขยายเข้ามาสู่ในเมืองของแต่ละจังหวัด  ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ร้านดิสเคานท์สโตร์เข้ามาแข่งขันในชุมชนได้  กระทรวงพาณิชย์จะจัดทำรูปแบบร้านค้าปลีกเป็น 2 ขนาดคือ ขนาดเล็กและขนาดกลาง  เพื่อรองรับในแต่ละชุมชน  โดยทางราชการอาจจัดหาแหล่งเงินทุนให้กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรืออาจเข้าร่วมถือหุ้นในร้านค้าปลีกชุมชนตามความเหมาะสม  และเมื่อร้านเหล่านี้มีความเข้มแข็งแล้ว  ก็สามารถซื้อหุ้นคืนไปได้ทั้งหมด                                                3)         ได้จัดอบรมให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการร้านค้าสมัยใหม่  และจัดทำคู่มือ “เคล็ดลับ สูตรสำเร็จร้านค้าปลีก”  เผยแพร่ให้ร้านค้าปลีกได้ปรับตัวให้มีการจัดการที่ทันสมัย  อนุญาตให้ร้านค้าที่มีมาตรฐานได้ใช้เครื่องหมายรับรองของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น                                                4)         สร้างเครือข่ายร้านค้าปลีก  โดยเชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้แทนจำหน่าย  ผู้ค้าส่งกับร้านค้าปลีกที่ขึ้นทะเบียนและร้านค้าปลีกชุมชนที่จัดตั้งขึ้น  เพื่อให้ได้สินค้าในราคาถูกสำหรับบริการแก่ผู้บริโภค                                    2.2       มาตรการสร้างความสมดุลย์ของธุรกิจ                                                1)         เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ในเรื่องการประกอบธุรกิจและการแข่งขันของร้านค้าปลีกค้าส่งทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง  และขนาดใหญ่  กระทรวงพาณิชย์จึงประสานงานโดยประชุมหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงมหาดไทย  เพื่อนำกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมาควบคุมการเปิดหรือขยายสาขาของธุรกิจดิสเคานท์สโตร์  โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทยในเรื่องการก่อสร้าง  ดัดแปลง  หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเปิดเป็นธุรกิจดิสเคานท์สโตร์  แต่ก็ให้สามารถเปิดสาขาใหม่ได้ในท้องที่ห่างจากตัวเมือง  ซึ่งจะไม่กระทบกระเทือนต่อร้านค้าปลีกค้าส่งขาดกลางและขนาดเล็ก  ประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ได้เพียง 1 ปีนับแต่วันที่ประกาศ                                                2)         ในระหว่างที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยตามข้อ 1) มีผลบังคับ  หากมีความจำเป็นต้องควบคุมการตั้งหรือขยายสาขาของธุรกิจดิสเคานท์สโตร์ต่อไปอีก  ก็ให้กระทรวงมหาดไทยใช้อำนาจตามมาตรา 8 (10) แห่งกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป          4.       การปรับเปลี่ยนสำนักงานส่งเสริมการค้าต่างประเทศตามนโยบายการส่งออกไป          ตลาดใหม่                        คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการส่งออก ครั้งที่ 3/2544  ในการย้ายสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศจากประเทศบรูไน  ไปยังประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีประชากรมากถึง 66 ล้านคน  และเป็นตลาดที่ต้องการสินค้านำเข้าหลากหลายและนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นทุกปี  จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถเจาะขยายตลาดได้ นอกจากนี้ อียิปต์ยังเป็นประตูการค้าที่สำคัญ (gateway)    ที่จะกระจายสินค้าไทยไปยังภาคเหนือและตะวันออกของทวีปแอฟริกา          5.       การประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์  ครั้งที่ 22 ณ อุรุกวัย          คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 22  ณ เมือง          ปุนต้า เดล เอสเต้ ประเทศอุรุกวัย ดังนี้                        1.         รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  ได้นำคณะผู้แทนไทย  ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กระทรวงพาณิชย์  และกระทรวงการต่างประเทศ  เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มเคร์นส์  ครั้งที่ 22  ณ เมือง Punta del Este ประเทศอุรุกวัย ระหว่างวันที่ 3 | 5 กันยายน 2544                        2.         ในการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ครั้งนี้  ประเทศสมาชิกได้พร้อมใจกันประกาศจุดยืนของกลุ่มในเรื่องการเจรจา WTO รอบใหม่ที่กรุงโดฮา  ประเทศกาต้าร์ว่าโอกาสในการเปิดเจรจารอบใหม่จะขึ้นอยู่กับสมาชิกมีความทะเยอทะยานและมุ่งปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรมากเพียงใด  และได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ที่ประชุม WTO   ที่โดฮา กาต้าร์  ตกลงในเรื่องเกษตรดังนี้            1)   ยุติการเลือกปฏิบัติกับสินค้าเกษตร            2)   ปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรอย่างจริงจัง  โดยการยกเลิกการอุดหนุนส่งออก           (export subsidies) ทุกชนิด ลดการอุดหนุนภายในลงให้มาก และเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้กว้างขึ้นอีก                                    3)  เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการค้า (non-trade concerns) จะต้องเป็นเรื่องรองและต้องไม่มีผลกระทบบิดเบือนการค้า  รวมทั้งไม่เป็นข้ออ้างให้นำมาตรการกีดกันใหม่ ๆ มาใช้ด้วย                                    4)  มีการให้แต้มต่อสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ชัดเจน  จริงจังและขยายเพิ่มขึ้นจากเดิม                                    5)  มีความชัดเจนในเรื่องกำหนดเวลา  กำหนดเป้าหมายในแต่ละขั้นตอนและรูปแบบโครงสร้างการเจรจาการค้าสินค้าเกษตร                        3.         ในการประชุมครั้งนี้  นาย Robert Zoellick  ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และนาง Anne Veneman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ  ได้รับเชิญมาพบสมาชิกกลุ่มเคร์นส์ด้วย  และเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีแข็งขันในการสนับสนุนการเจรจาเกษตร  รวมทั้งแสดงจุดยืนซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่มเคร์นส์  เช่น  ต้องการให้ยกเลิกการอุดหนุนส่งออกและการมีกำหนดเวลาในการเจรจาที่แน่ชัด                        4.         สำหรับประเทศไทยได้ผลักดันประเด็นที่เป็นปัญหาของไทยในแถลงการณ์ด้วย  เช่น ปัญหาการกีดกันการนำเข้าโดยการใช้มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช  ปัญหาที่ประเทศพัฒนาแล้วให้การอุดหนุนจำนวนมากจนประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตไม่สามารถแข่งขันได้  โดยได้พูดกรณีที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกในปีหนึ่งส่งออกประมาณ 6 ล้านตัน  แต่การที่ประเทศพัฒนาแล้วให้การอุดหนุนการผลิตทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันได้  หากการอุดหนุนเหล่านี้ลดลงไทยก็จะสามารถขยายการส่งออกทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น  ดังนั้น จึงได้มีการแถลงการณ์ร่วมกันให้ลดการช่วยเหลือภายในของสินค้าเกษตรลงอย่างมาก  ยกเลิกการอุดหนุนส่งออกและในขณะเดียวกันก็มีการปฏิบัติที่พิเศษและแตกต่าง (S&D)  แก่ประเทศกำลังพัฒนา(ยังมีต่อ)