อดีต รมช.คมนาคม ‘ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์’ ออกโรงแจงข้อเท็จจริง กรณีการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ระบุ เป็นโครงการต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน ชี้เรื่องนี้เป็นการดิสเครดิตตนก่อนเลือกตั้ง ยืนยัน พร้อมชี้แจงทุกเวที
กรณีที่รัฐบาลภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำเรื่องการก่อสร้างรถไฟรางคู่เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีการกล่าวหานายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ว่ามีการดำเนินการโดยไม่สุจริตนั้น
วันนี้(25 ม.ค.48) เวลา 15.40น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงถึงกรณีดังล่าวว่า ตนได้รับเอกสารดังกล่าว นอกจากเป็นเอกสารเร่งรีบลงนามโดยนายโภคิน พลกุล ประธานกรรมการเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนและติดตามการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี ( ป.ท.) มีลายมือลงนามว่าลับมาก/การเมืองและเป็นการนำเข้าวาระจร เพื่อทราบเพิ่มเติมวาระทื่ 14 ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า มีเจตนาทางการเมืองหรือไม่ เพราะขณะนี้กำลังเข้าสู่สถานการณ์การหาเสียงเลือกตั้งในปัจจุบัน
‘ความจริงเรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2545 นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตส.ส.ของ ไทยรักไทย ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากฎหมายของพรรคไทยรักไทยได้กล่าวหาผมว่า กระทำการไม่สุจริต โครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ผมได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาและแพ่งในวันที่ 12 มิถุนายน 2545 ครั้นต่อมาในระหว่างต่อสู้คดี นายวิชิตฯ ได้กลับคำว่าไม่เคยพูดกล่าวหาผมแต่อย่างใดและเจรจาขอยอมความด้วยการ ขอลงประกาศว่า ไม่เคยกล่าวหาผมตามประกาศในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับลงวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมืองซึ่งรัฐบาลต้องการดิสเครดิตทางการเมืองผม ผมก็พร้อมจะเล่าข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่สาธารณชน เพื่อจะได้รับทราบกันให้ชัดเจนไปเลยว่า ใครควรเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้กันแน่’ นายประดิษฐ์กล่าว
อดีตรมช.คมนาคมกล่าวว่า ใน ปีพ.ศ. 2536 มีการอนุมัติหลักการสร้างรถไฟรางคู่ ซึ่งต่อมามีการลงนามว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในวันที่ 6 สิงหาคม 2539 ในครั้งนั้นมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชื่อนายวันมูหะมัดนอร์มาะทา มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นรองนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นในวันที่ 16 ตุลาคม 2540 การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดประกวดราคาตามที่ขออนุมัติจากครม.ชุด พล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี , พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ปรากฎว่าทั้งหมดเกิดจากในรัฐบาลที่รัฐมนตรีในขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่เพียงแต่สลับตำแหน่งเท่านั้น ผมไม่มีหลักฐานไปกล่าวหาใครว่าในการอนุมัติโครงการนั้น ใครทุจริตหรือไม่อย่างไร แต่เมื่อผมเข้ารับตำแหน่งรมช.กระทรวงคมนาคมเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 และได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยลำดับจนกระทั่งปลัดกระทรวงคมนาคมสมัยนั้นสรุปเรื่องเสนอผมพิจารณาและวันที่ 10 สิงหาคม 2541 ตนได้สั่งการตรวจสอบเรื่องการประกวดราคาใน 3 ประเด็นคือ 1. ให้ตรวจสอบขั้นตอนการประกวดราคาว่ามีการสมยอมราคาหรือไม่ 2.ให้ตรวจสอบและรายงานถึงข้อปฏิบัติในอดีตสมัยรัฐบาลที่ผ่านมาเสนอเรื่องไว้และชี้แจงให้ละเอียด 3. ให้ตรวจสอบถึงวงเงินขออนุมัติซึ่งสูงมากและงบฯที่ต้องกู้ว่า สำนักงานเศรฐกิจการคลัง , สภาพัฒน์ (ศสช.) และกรมบัญชีกลาง มีความเห็นเป็นอย่างไร และ 4.ให้การรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำเอกสารเปิดเผยต่อสาธารณชน และให้สื่อมวลชนเข้าร่วมฟังการประชุมทุกนัดอย่างโปร่งใส
ในวันที่ 30 เมษายน 2542 กระทรวงคมนาคมได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาตรวจสอบว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ทั้งนี้ทางอัยการสูงสุดได้เห็นชอบดำเนินการได้เพราะคู่สัญญาเป็นคนไทย จากนั้นจึงได้เสนอส่งเรื่องให้สภาพัฒน์ ฯ ตรวจสอบและเห็นชอบในวันที่ 24 พฤษภาคม 2542
วันที่ 11 เมษายน คณะรัฐมนตรีจึงอนุมัติเห็นชอบดครงการก่อส้รางรถไฟรางคู่เพิ่มเติม สรุปราคาตามที่เสนอปรับปรุงลดจากราคาเสนอ 10,272 ล้านบาท เป็น 9,239 ล้านบาท ซึ่งฝสามารถลดจากราคาเดิมถึง 1,033 ล้านบาท
กล่าวได้ว่าการดำเนินการโครงการรฤไฟรางคู่สายแรก รังสิต-ภาชี ดำเนิน การในสมัยนายวันมูหมัดนอร์ มะทา และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีพ.ต.ท.ทักษฺณ ชินวัตร เป็นรองนายกฯทั้งสองสมัยรัฐบาลในเวลานั้น ซึ่งกล่าวคือทั้งนายกฯและรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นผู้กำหนดกฎกติกา การประกวดราคาและดำเนินการมาแต่ต้น ส่วนในช่วงสาย 2 และ 3 ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องโดยการรฤไฟแห่งประเทศไทยในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็ได้ใช้เวลาดำเนินการตรวจสอบอย่างรอบคอบกว่า 2 ปี จึงอนุมัติ
การตรวจสอบขั้นตอนการประกวดราคาตลอดคนเปรียบเทียบราคาก่อสร้างนั้น ได้ดำเนินการอย่างดปร่งใสมาโดยตลอด แต่น่าแปลกใจที่ คระกรรมการกลั่นกรองชุด นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2547 ได้แต่งตั้งดร.ประพันธ์ศักดิ์ บูรรประภา เป็นประธานอนุกรรมการด้วยนั้น ก็มีเป็นผู้มีบทบาทเป็นประธานคณะกรรมการกลั่นกรองด้วยทั้งนี้โดยตนซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมขณะนั้น ได้สั่งการให้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบราคาก่อสร้างทางรถไฟและกรมทางหลวง นำเข้าครม.เพื่อพิจารณาแต่ปรากฎว่านายประพันธ์ศักดิ์ ไม่ให้ความร่วมมือ
ในตอนท้าย นายประดิษฐ์ได้กล่าวว่า ‘เมื่อมีการกล่าวหาผมเรื่องนี้อีกครั้ง ผมพร้อมสู่โดยจะขอชี้แจงข้อเท็จจริงทุกเวที’
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ม.ค.2548--จบ--
-ดท-
กรณีที่รัฐบาลภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำเรื่องการก่อสร้างรถไฟรางคู่เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีการกล่าวหานายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ว่ามีการดำเนินการโดยไม่สุจริตนั้น
วันนี้(25 ม.ค.48) เวลา 15.40น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงถึงกรณีดังล่าวว่า ตนได้รับเอกสารดังกล่าว นอกจากเป็นเอกสารเร่งรีบลงนามโดยนายโภคิน พลกุล ประธานกรรมการเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนและติดตามการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี ( ป.ท.) มีลายมือลงนามว่าลับมาก/การเมืองและเป็นการนำเข้าวาระจร เพื่อทราบเพิ่มเติมวาระทื่ 14 ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า มีเจตนาทางการเมืองหรือไม่ เพราะขณะนี้กำลังเข้าสู่สถานการณ์การหาเสียงเลือกตั้งในปัจจุบัน
‘ความจริงเรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2545 นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตส.ส.ของ ไทยรักไทย ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากฎหมายของพรรคไทยรักไทยได้กล่าวหาผมว่า กระทำการไม่สุจริต โครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ผมได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาและแพ่งในวันที่ 12 มิถุนายน 2545 ครั้นต่อมาในระหว่างต่อสู้คดี นายวิชิตฯ ได้กลับคำว่าไม่เคยพูดกล่าวหาผมแต่อย่างใดและเจรจาขอยอมความด้วยการ ขอลงประกาศว่า ไม่เคยกล่าวหาผมตามประกาศในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับลงวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมืองซึ่งรัฐบาลต้องการดิสเครดิตทางการเมืองผม ผมก็พร้อมจะเล่าข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่สาธารณชน เพื่อจะได้รับทราบกันให้ชัดเจนไปเลยว่า ใครควรเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้กันแน่’ นายประดิษฐ์กล่าว
อดีตรมช.คมนาคมกล่าวว่า ใน ปีพ.ศ. 2536 มีการอนุมัติหลักการสร้างรถไฟรางคู่ ซึ่งต่อมามีการลงนามว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในวันที่ 6 สิงหาคม 2539 ในครั้งนั้นมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชื่อนายวันมูหะมัดนอร์มาะทา มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นรองนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นในวันที่ 16 ตุลาคม 2540 การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดประกวดราคาตามที่ขออนุมัติจากครม.ชุด พล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี , พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ปรากฎว่าทั้งหมดเกิดจากในรัฐบาลที่รัฐมนตรีในขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่เพียงแต่สลับตำแหน่งเท่านั้น ผมไม่มีหลักฐานไปกล่าวหาใครว่าในการอนุมัติโครงการนั้น ใครทุจริตหรือไม่อย่างไร แต่เมื่อผมเข้ารับตำแหน่งรมช.กระทรวงคมนาคมเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 และได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยลำดับจนกระทั่งปลัดกระทรวงคมนาคมสมัยนั้นสรุปเรื่องเสนอผมพิจารณาและวันที่ 10 สิงหาคม 2541 ตนได้สั่งการตรวจสอบเรื่องการประกวดราคาใน 3 ประเด็นคือ 1. ให้ตรวจสอบขั้นตอนการประกวดราคาว่ามีการสมยอมราคาหรือไม่ 2.ให้ตรวจสอบและรายงานถึงข้อปฏิบัติในอดีตสมัยรัฐบาลที่ผ่านมาเสนอเรื่องไว้และชี้แจงให้ละเอียด 3. ให้ตรวจสอบถึงวงเงินขออนุมัติซึ่งสูงมากและงบฯที่ต้องกู้ว่า สำนักงานเศรฐกิจการคลัง , สภาพัฒน์ (ศสช.) และกรมบัญชีกลาง มีความเห็นเป็นอย่างไร และ 4.ให้การรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำเอกสารเปิดเผยต่อสาธารณชน และให้สื่อมวลชนเข้าร่วมฟังการประชุมทุกนัดอย่างโปร่งใส
ในวันที่ 30 เมษายน 2542 กระทรวงคมนาคมได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาตรวจสอบว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ทั้งนี้ทางอัยการสูงสุดได้เห็นชอบดำเนินการได้เพราะคู่สัญญาเป็นคนไทย จากนั้นจึงได้เสนอส่งเรื่องให้สภาพัฒน์ ฯ ตรวจสอบและเห็นชอบในวันที่ 24 พฤษภาคม 2542
วันที่ 11 เมษายน คณะรัฐมนตรีจึงอนุมัติเห็นชอบดครงการก่อส้รางรถไฟรางคู่เพิ่มเติม สรุปราคาตามที่เสนอปรับปรุงลดจากราคาเสนอ 10,272 ล้านบาท เป็น 9,239 ล้านบาท ซึ่งฝสามารถลดจากราคาเดิมถึง 1,033 ล้านบาท
กล่าวได้ว่าการดำเนินการโครงการรฤไฟรางคู่สายแรก รังสิต-ภาชี ดำเนิน การในสมัยนายวันมูหมัดนอร์ มะทา และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีพ.ต.ท.ทักษฺณ ชินวัตร เป็นรองนายกฯทั้งสองสมัยรัฐบาลในเวลานั้น ซึ่งกล่าวคือทั้งนายกฯและรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นผู้กำหนดกฎกติกา การประกวดราคาและดำเนินการมาแต่ต้น ส่วนในช่วงสาย 2 และ 3 ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องโดยการรฤไฟแห่งประเทศไทยในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็ได้ใช้เวลาดำเนินการตรวจสอบอย่างรอบคอบกว่า 2 ปี จึงอนุมัติ
การตรวจสอบขั้นตอนการประกวดราคาตลอดคนเปรียบเทียบราคาก่อสร้างนั้น ได้ดำเนินการอย่างดปร่งใสมาโดยตลอด แต่น่าแปลกใจที่ คระกรรมการกลั่นกรองชุด นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2547 ได้แต่งตั้งดร.ประพันธ์ศักดิ์ บูรรประภา เป็นประธานอนุกรรมการด้วยนั้น ก็มีเป็นผู้มีบทบาทเป็นประธานคณะกรรมการกลั่นกรองด้วยทั้งนี้โดยตนซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมขณะนั้น ได้สั่งการให้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบราคาก่อสร้างทางรถไฟและกรมทางหลวง นำเข้าครม.เพื่อพิจารณาแต่ปรากฎว่านายประพันธ์ศักดิ์ ไม่ให้ความร่วมมือ
ในตอนท้าย นายประดิษฐ์ได้กล่าวว่า ‘เมื่อมีการกล่าวหาผมเรื่องนี้อีกครั้ง ผมพร้อมสู่โดยจะขอชี้แจงข้อเท็จจริงทุกเวที’
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ม.ค.2548--จบ--
-ดท-