พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ข่าวการเมือง Thursday May 31, 2001 09:53 —รัฐสภา

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย นับเป็นเวลาถึง 69 ปี แล้ว ที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขการได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยของไทย ในขณะนั้นเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีการเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด เพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้แก่ปวงชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรม ตลอดระยะเวลา 9 ปีเศษ ในรัชกาล พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองหลายประการ ทรงห่วงใยถึงทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ โดยเฉพาะประชาชนในท้องถิ่น อาทิ เมื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงเกษตราธิการจัดสร้างการชลประทานขึ้นที่บริเวณเชียงรากน้อยและบางบ่อ ในปี พ.ศ. 2467 ได้มีราษฎรทั้งในและนอกท้องที่ขอจองที่ดินในอำเภอบางบ่อบางพลี และบางปะกง เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดปัญหาในการพิจารณา แต่พระองค์ทรงเห็นว่า ควรจะตั้งข้าหลวงพิเศษออกไปจัดแบ่งที่ทำกินให้กับราษฎร โดยจัดให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ทำกินได้รับการจับจองก่อน เพื่อเป็นการคุ้มครองและส่งเสริมให้กับประชาชนที่มีกำลังทรัพย์น้อยได้มีโอกาสตั้งตนให้ทำมาหากินได้ นอกจากนี้ทรงวางรากฐานการบริหารงานบุคคลของชาติไว้ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 เดิมนั้นการบริหารงานบุคคลของแต่ละกระทรวง ทบวง กรม มีมาตรฐานไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ ความพอใจของหัวหน้าส่วนราชการที่จะรับหรือไม่รับราชการ เรียกว่าการฝากเข้ารับราชการ เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดขึ้นได้มีการนำระบบคุณธรรมเข้ามาใช้ในระบบราชการ โดยมีการสอบแข่งขันรับราชการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่ดีและนำมาใช้จนถึงปัจจุบัน ในด้านการปกครองพระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นมาหลายฉบับด้วยกันในรัชสมัยของพระองค์ อาทิเช่น พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2470 ซึ่งเป็นการวางระเบียบกำกับตรวจตราคนต่างด้าวเข้ามาสู่ประเทศสยาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการค้าหญิงและเด็กหญิง พ.ศ. 2471 เพื่อเป็นการปราบปรามการค้าหญิงและเด็กหญิง ซึ่งมี ผู้นำเข้ามาหรือนำออกไปจากประเทศสยาม เป็นการเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญาให้รัดกุม ยิ่งขึ้น พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้ เพื่อแสดงสิทธิของรัฐบาลสยาม ในการที่จะส่งตัวบุคคลที่ต้องหาหรือพิจารณาว่ากระทำผิดมีโทษอาญาภายในเขตอำนาจของต่างประเทศให้แก่ประเทศนั้น ๆ แม้จะไม่มีสัญญาทางพระราชไมตรีกำหนดให้ส่ง ทั้งเพื่อกำหนดวิธีการอันจะพึงปฏิบัติในเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดนทั้งหลายให้ดำเนินเป็นระเบียบเดียวกันสืบไป พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2473 ทรงมีพระราชดำริว่า กฎหมายว่าด้วย การพนันขันต่อ อันตราไว้ในพระราชบัญญัติหลายฉบับนั้น สมควรแก้ไขเพิ่มเติมและรวบรวมไว้ในที่เดียวกัน พระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ.2473 โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควรควบคุมการทำและฉายภาพยนตร์ เพื่อป้องกันการฝ่าฝืนความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้เพราะภาพยนตร์เริ่มเป็นสื่อสารมวลชนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจนำไปใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมีย เพื่อสร้างค่านิยมให้ชายมีภรรยาถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียว และพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและ ศิลปกรรมซึ่งก็คือพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติการพิมพ์ ในปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าพระราชบัญญัติเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานของกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแทบทั้งสิ้น เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่งในวันที่ 30 พฤษภาคม 2544 นี้ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณและแสดงกตัญญูกตเวที ต่อพระองค์ผู้ทรงบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ประเทศชาตินานัปการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จึงขอเชิญชวนให้ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ องค์กรอิสระสถาบันการศึกษา พรรคการเมือง และประชาชน วางพวงมาลาถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา 1 ถนนอู่ทองใน เขตดุสิตกรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 นาฬิกากองการประชาสัมพันธ์สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เอกสารอ้างอิง : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับการปกครองระบบรัฐสภา กรุงเทพฯ : ฝ่ายพิมพ์ กองการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา 2523

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ