กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ (18 สิงหาคม 2543) นายนพดล ปัทมะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีอาคารเสียนเฉิงที่นครเสิ่นเจิ้นว่า เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2543 ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศได้มีหนังสือถึง นายถัง เจีย สวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน โดยขอความ ร่วมมือทางการจีนกดดันรัฐบาลท้องถิ่นนครเสิ่นเจิ้นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาใน 2 ประเด็น คือ
1) คืนทะเบียนการค้าให้กับบริษัทอาคารเสียนเฉิงซึ่งเป็นบริษัทที่ฝ่ายไทยและฝ่ายจีนร่วมลงทุน และ
2) ยกเลิกทะเบียนของบริษัทหงชังซึ่งนักลงทุนชาวจีนได้จดทะเบียนขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ครอบครองกรรมสิทธิ ในอาคารเสียนเฉิง อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ทางการจีนยังไม่ได้มีหนังสือตอบหนังสือฉบับ ดังกล่าว ประกอบกับเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 อนุญาโตตุลาการซึ่งนักลงทุนฝ่ายจีนเป็นผู้ฟ้องร้องไว้ได้มีผลการวินิจฉัยว่า ให้ยกเลิกทะเบียนของบริษัทหงชังและให้มีการชำระบัญชี ซึ่งเท่ากับเป็นการลดความสำคัญของคำพิพากษา ศาลฎีกา ซึ่งฝ่ายไทยต้องใช้เวลาถึง 8 ปีจนกว่าจะชนะคดีในศาลสูงสุดของจีน ฝ่ายเอกชนไทยได้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศหลายครั้ง และเพื่อไม่ให้เรื่องนี้ ยืดเยื้อต่อไป นายนพดลฯ ได้เสนอแนะต่อ ดร. สุรินทร์ฯ ให้พิจารณาส่งคณะผู้แทนไทยนำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเจรจาในเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องหารือกับทางการจีนเกี่ยวกับกำหนดเวลาที่เหมาะสมที่คณะฝ่ายไทยจะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อติดตามในเรื่องนี้ต่อไป เพราะมิฉะนั้นแล้ว ความสำคัญของคำพิพากษาคดีของศาลฎีกาจีนก็จะไร้ผล และนักลงทุนชาวไทยซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องนี้อย่างชัดเจน และได้ลงทุนในการก่อสร้างอาคารดังกล่าวไปจำนวนหลายร้อยล้านหยวนก็จะสูญเปล่า
ดังนั้น วัตถุประสงค์ของคณะผู้แทนไทยที่จะเดินทางไปจีนก็คือ เพื่อขอให้ทางการจีนดำเนินการให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งยังไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเด็นที่ให้ยกเลิกทะเบียนของบริษัทอาคารหงชัง พลาซ่า และให้คืนทะเบียนให้แก่บริษัทอาคารเสียนเฉิง พร้อมทั้งโอนกรรมสิทธิในที่ดินกลับคืนให้แก่บริษัทอาคารเสียนเฉิง นักลงทุนไทยมิได้ต้องการที่จะแบ่งกรรมสิทธิในอาคารแต่ต้องการได้รับค่าทดแทนกลับคืนมาอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ฝ่ายไทยจะมีหนังสือถึงฝ่ายจีนเพื่อขอความร่วมมือในเรื่องนี้เป็นฉบับที่สามในสัปดาห์หน้า (ฉบับแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2542 และฉบับที่สองเมื่อเดือนมิถุนายน 2543) พร้อมทั้งแจ้งเกี่ยวกับความประสงค์ที่ฝ่ายไทยจะส่งคณะผู้แทนไปติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : [email protected] จบ--
-อน-
วันนี้ (18 สิงหาคม 2543) นายนพดล ปัทมะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีอาคารเสียนเฉิงที่นครเสิ่นเจิ้นว่า เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2543 ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศได้มีหนังสือถึง นายถัง เจีย สวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน โดยขอความ ร่วมมือทางการจีนกดดันรัฐบาลท้องถิ่นนครเสิ่นเจิ้นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาใน 2 ประเด็น คือ
1) คืนทะเบียนการค้าให้กับบริษัทอาคารเสียนเฉิงซึ่งเป็นบริษัทที่ฝ่ายไทยและฝ่ายจีนร่วมลงทุน และ
2) ยกเลิกทะเบียนของบริษัทหงชังซึ่งนักลงทุนชาวจีนได้จดทะเบียนขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ครอบครองกรรมสิทธิ ในอาคารเสียนเฉิง อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ทางการจีนยังไม่ได้มีหนังสือตอบหนังสือฉบับ ดังกล่าว ประกอบกับเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 อนุญาโตตุลาการซึ่งนักลงทุนฝ่ายจีนเป็นผู้ฟ้องร้องไว้ได้มีผลการวินิจฉัยว่า ให้ยกเลิกทะเบียนของบริษัทหงชังและให้มีการชำระบัญชี ซึ่งเท่ากับเป็นการลดความสำคัญของคำพิพากษา ศาลฎีกา ซึ่งฝ่ายไทยต้องใช้เวลาถึง 8 ปีจนกว่าจะชนะคดีในศาลสูงสุดของจีน ฝ่ายเอกชนไทยได้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศหลายครั้ง และเพื่อไม่ให้เรื่องนี้ ยืดเยื้อต่อไป นายนพดลฯ ได้เสนอแนะต่อ ดร. สุรินทร์ฯ ให้พิจารณาส่งคณะผู้แทนไทยนำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเจรจาในเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องหารือกับทางการจีนเกี่ยวกับกำหนดเวลาที่เหมาะสมที่คณะฝ่ายไทยจะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อติดตามในเรื่องนี้ต่อไป เพราะมิฉะนั้นแล้ว ความสำคัญของคำพิพากษาคดีของศาลฎีกาจีนก็จะไร้ผล และนักลงทุนชาวไทยซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องนี้อย่างชัดเจน และได้ลงทุนในการก่อสร้างอาคารดังกล่าวไปจำนวนหลายร้อยล้านหยวนก็จะสูญเปล่า
ดังนั้น วัตถุประสงค์ของคณะผู้แทนไทยที่จะเดินทางไปจีนก็คือ เพื่อขอให้ทางการจีนดำเนินการให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งยังไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเด็นที่ให้ยกเลิกทะเบียนของบริษัทอาคารหงชัง พลาซ่า และให้คืนทะเบียนให้แก่บริษัทอาคารเสียนเฉิง พร้อมทั้งโอนกรรมสิทธิในที่ดินกลับคืนให้แก่บริษัทอาคารเสียนเฉิง นักลงทุนไทยมิได้ต้องการที่จะแบ่งกรรมสิทธิในอาคารแต่ต้องการได้รับค่าทดแทนกลับคืนมาอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ฝ่ายไทยจะมีหนังสือถึงฝ่ายจีนเพื่อขอความร่วมมือในเรื่องนี้เป็นฉบับที่สามในสัปดาห์หน้า (ฉบับแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2542 และฉบับที่สองเมื่อเดือนมิถุนายน 2543) พร้อมทั้งแจ้งเกี่ยวกับความประสงค์ที่ฝ่ายไทยจะส่งคณะผู้แทนไปติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : [email protected] จบ--
-อน-