กรุงเทพฯ--14 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
1. เงินยูโรคืออะไร ความเป็นมา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 เป็นต้นมา ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 12 ประเทศ ได้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการจัดตั้งสหภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน (Economic and Monetary Union: EMU) และเริ่มใช้เงินสกุลเดียวกัน เรียกว่า เงินยูโร (Euro) โดยที่ผ่านมาเป็นการใช้ในทางระบบบัญชีตราสาร และการโอนเงินเท่านั้น และยังไม่มีเหรียญกษาปณ์และธนบัตรยูโรออกใช้จริงในชีวิตประจำวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 ธนาคารกลางยุโรปจะนำธนบัตรมูลค่ารวม หนึ่งหมื่น สี่พันห้าร้อยล้านยูโร และเหรียญกษาปณ์มูลค่าห้าหมื่นล้านยูโรออกใช้จริง และจะยกเลิกการใช้เงินสกุลเดิมของประเทศทั้ง 12 ประเทศ ประเทศที่เข้าร่วมระบบเงินยูโร สหภาพยุโรปมีสมาชิก 15 ประเทศ แต่ขณะนี้ มี 12 ประเทศที่เข้าร่วมระบบเงินยูโร ได้แก่ เบลเยี่ยม เยอรมนี กรีซ สเปน ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย โปรตุเกส และฟินแลนด์ ซึ่งหมายความว่า เงินฟรังก์เบลเยี่ยม มาร์กเยอรมัน ดรักม่าของกรีซ ฟรังก์ ฝรั่งเศส ลีร์อิตาลี เป็นต้น จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป อีก 3 ประเทศที่ยังไม่ได้เข้าร่วม ได้แก่ เดนมาร์ก สวีเดน และสหราชอาณาจักร ประเภทเงินยูโร เงินยูโรมีใช้ทั้งธนบัตรและเหรียญ ธนบัตรยูโร มี 7 ประเภท ได้แก่ ฉบับละ 5 ยูโร 10 ยูโร 20 ยูโร 50 ยูโร 100 ยูโร 200 ยูโร และ 500 ยูโร และมีลักษณะเหมือนกันในทั้ง 12 ประเทศ เหรียญยูโร มี 8 ประเภท ได้แก่ 1 เซนต์ 2 เซนต์ 5 เซนต์ 10 เซนต์ 20 เซนต์ 50 เซนต์ 1 ยูโร และ 2 ยูโร โดยเหรียญ จะมี 2 ด้าน ด้านหนึ่งจะเหมือนกันในทั้ง 12 ประเทศ เป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นยุโรป และอีกด้านหนึ่งจะต่างกันไปในแต่ละประเทศสมาชิก แต่ใช้ได้ในทั้ง 12 ประเทศ
2. ผลกระทบต่อเงินสกุลเดิม (National Currency Unit: NCU) 12 สกุล เงินสกุลเดิมจะใช้ได้ถึงเมื่อใด โดยหลักการ เมื่อมีเงินยูโรที่เป็นธนบัตรและเหรียญใช้แล้ว เงินสกุลเดิมของทั้ง 12 ประเทศ เช่น เงินมาร์กเยอรมัน ฟรังก์เบลเยี่ยม ฟรังก์ฝรั่งเศส ปอนด์ไอริช เป็นต้น จะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป แต่เพื่อให้ช่วงเปลี่ยนผ่านจากการใช้เงินประจำชาติมาใช้เงินยูโรเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ละประเทศจึงได้กำหนดให้มีช่วงเวลาผ่อนผันให้ประชาชนของตนสามารถใช้เงินยูโร และเงินสกุลเดิมเฉพาะการใช้เงินสดควบคู่กันได้ (dual circulation period) กล่าวโดยรวม จะผ่อนผันให้ใช้เงินสกุลเดิมได้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวแล้ว เงินสกุลเดิมจะถูกเรียกเก็บออกจากตลาดทั้งหมด จะแลกเปลี่ยนเงินสกุลเดิมในประเทศยูโรโซนได้ถึงเมื่อใด ถึงแม้ว่าเงินสกุลเดิมจะไม่สามารถใช้ได้หลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 แล้ว แต่ ประชาชน ยังสามารถแลกเปลี่ยนเงินสกุลเดิมของประเทศสมาชิกเป็นเงินยูโรได้ทั้งที่ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารกลางของประเทศสมาชิก ซึ่งแต่ละประเทศจะมีกำหนดเวลาแตกต่างกัน โดยรวมธนาคารพาณิชย์จะปิดรับแลกเงินสกุลเดิมภายในปี 2545 และจะไม่คิดค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนเงินจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 สำหรับธนาคารกลาง จะรับแลกเปลี่ยนเงินสกุลเดิมที่เป็นธนบัตรจนถึงไม่เกินปี 2555 และที่เป็นเหรียญกษาปณ์ไม่เกินปี 2545 โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ในขณะที่บางประเทศไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดการรับแลกเปลี่ยน (รายละเอียดปรากฏในตารางดังแนบ)
3. ผลกระทบต่อไทย ไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากเงินยูโร หากเงินยูโรสามารถพัฒนาเป็นเงินสกุลหลักในระบบการเงินระหว่างประเทศได้ในอนาคต ประเทศไทยจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นนอกจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ การค้า และการลงทุน ซึ่งจะลดและกระจายความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย ด้านการเงิน และการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ (exchange rate policy) ทั้งนี้ การที่เงินยูโร จะเป็น “ทางเลือกใหม่” ในระบบเศรษฐกิจโลกนั้น ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของประชาคมโลกที่มีต่อเงินยูโร ในด้านการค้า การใช้เงินยูโรของประเทศที่เข้าร่วมในระบบเงินยูโร (Euro Zone) จะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการทางการค้าและการลงทุนทั้งในยูโรโซน และระหว่างไทยและประเทศในยูโรโซนด้วย ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกและการนำเข้าระหว่างไทย และประเทศในยูโรโซนง่ายขึ้น ลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนเทียบราคาสินค้าและบริการในยูโรโซนได้ง่ายขึ้น สำหรับประชาชนทั่วไป หากจะเดินทางเข้ายูโรโซนเพื่อการติดต่อค้าขาย และการ ท่องเที่ยว จะสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่าง ๆ เนื่องจากแลกเป็นเงินยูโรครั้งเดียวเท่านั้น การทำธุรกรรมเป็นเงินยูโรของธนาคารพาณิชย์ไทย ตามข้อมูลที่ได้รับจากธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2544 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของไทย มีกำหนดเวลาในการดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวกับเงินยูโรต่างกัน สรุปได้ดังนี้
1. การขายและรับซื้อธนบัตรของเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศในยูโรโซน ส่วนใหญ่ จะขายจนถึงสิ้นปี 2544 และจะรับซื้อจนถึงสิ้นปี 2544 หรือต้นปี 2545
2. การขายและรับซื้อตราสารต่างประเทศในสกุลเงินท้องถิ่น (เช็คเดินทาง ดราฟท์ และเช็ค) ส่วนใหญ่ ขณะนี้ไม่ขายเป็นเงินสกุลท้องถิ่นแล้ว และจะรับซื้อจนถึงสิ้นปี 2544 หรือต้นปี 2545 3. บัญชีเงินฝากต่างประเทศในสกุลเงินท้องถิ่น (Foreign currency deposit account) ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนบัญชีเงินสกุลท้องถิ่นเป็นสกุลยูโรให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2544 สำหรับกำหนดเวลาที่ชัดเจน ควรตรวจสอบแนวปฏิบัติจากธนาคารพาณิชย์ อีกครั้ง
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax 643-5106-7 E-mail : [email protected] จบ--
-อน-
1. เงินยูโรคืออะไร ความเป็นมา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 เป็นต้นมา ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 12 ประเทศ ได้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการจัดตั้งสหภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน (Economic and Monetary Union: EMU) และเริ่มใช้เงินสกุลเดียวกัน เรียกว่า เงินยูโร (Euro) โดยที่ผ่านมาเป็นการใช้ในทางระบบบัญชีตราสาร และการโอนเงินเท่านั้น และยังไม่มีเหรียญกษาปณ์และธนบัตรยูโรออกใช้จริงในชีวิตประจำวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 ธนาคารกลางยุโรปจะนำธนบัตรมูลค่ารวม หนึ่งหมื่น สี่พันห้าร้อยล้านยูโร และเหรียญกษาปณ์มูลค่าห้าหมื่นล้านยูโรออกใช้จริง และจะยกเลิกการใช้เงินสกุลเดิมของประเทศทั้ง 12 ประเทศ ประเทศที่เข้าร่วมระบบเงินยูโร สหภาพยุโรปมีสมาชิก 15 ประเทศ แต่ขณะนี้ มี 12 ประเทศที่เข้าร่วมระบบเงินยูโร ได้แก่ เบลเยี่ยม เยอรมนี กรีซ สเปน ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย โปรตุเกส และฟินแลนด์ ซึ่งหมายความว่า เงินฟรังก์เบลเยี่ยม มาร์กเยอรมัน ดรักม่าของกรีซ ฟรังก์ ฝรั่งเศส ลีร์อิตาลี เป็นต้น จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป อีก 3 ประเทศที่ยังไม่ได้เข้าร่วม ได้แก่ เดนมาร์ก สวีเดน และสหราชอาณาจักร ประเภทเงินยูโร เงินยูโรมีใช้ทั้งธนบัตรและเหรียญ ธนบัตรยูโร มี 7 ประเภท ได้แก่ ฉบับละ 5 ยูโร 10 ยูโร 20 ยูโร 50 ยูโร 100 ยูโร 200 ยูโร และ 500 ยูโร และมีลักษณะเหมือนกันในทั้ง 12 ประเทศ เหรียญยูโร มี 8 ประเภท ได้แก่ 1 เซนต์ 2 เซนต์ 5 เซนต์ 10 เซนต์ 20 เซนต์ 50 เซนต์ 1 ยูโร และ 2 ยูโร โดยเหรียญ จะมี 2 ด้าน ด้านหนึ่งจะเหมือนกันในทั้ง 12 ประเทศ เป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นยุโรป และอีกด้านหนึ่งจะต่างกันไปในแต่ละประเทศสมาชิก แต่ใช้ได้ในทั้ง 12 ประเทศ
2. ผลกระทบต่อเงินสกุลเดิม (National Currency Unit: NCU) 12 สกุล เงินสกุลเดิมจะใช้ได้ถึงเมื่อใด โดยหลักการ เมื่อมีเงินยูโรที่เป็นธนบัตรและเหรียญใช้แล้ว เงินสกุลเดิมของทั้ง 12 ประเทศ เช่น เงินมาร์กเยอรมัน ฟรังก์เบลเยี่ยม ฟรังก์ฝรั่งเศส ปอนด์ไอริช เป็นต้น จะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป แต่เพื่อให้ช่วงเปลี่ยนผ่านจากการใช้เงินประจำชาติมาใช้เงินยูโรเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ละประเทศจึงได้กำหนดให้มีช่วงเวลาผ่อนผันให้ประชาชนของตนสามารถใช้เงินยูโร และเงินสกุลเดิมเฉพาะการใช้เงินสดควบคู่กันได้ (dual circulation period) กล่าวโดยรวม จะผ่อนผันให้ใช้เงินสกุลเดิมได้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวแล้ว เงินสกุลเดิมจะถูกเรียกเก็บออกจากตลาดทั้งหมด จะแลกเปลี่ยนเงินสกุลเดิมในประเทศยูโรโซนได้ถึงเมื่อใด ถึงแม้ว่าเงินสกุลเดิมจะไม่สามารถใช้ได้หลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 แล้ว แต่ ประชาชน ยังสามารถแลกเปลี่ยนเงินสกุลเดิมของประเทศสมาชิกเป็นเงินยูโรได้ทั้งที่ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารกลางของประเทศสมาชิก ซึ่งแต่ละประเทศจะมีกำหนดเวลาแตกต่างกัน โดยรวมธนาคารพาณิชย์จะปิดรับแลกเงินสกุลเดิมภายในปี 2545 และจะไม่คิดค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนเงินจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 สำหรับธนาคารกลาง จะรับแลกเปลี่ยนเงินสกุลเดิมที่เป็นธนบัตรจนถึงไม่เกินปี 2555 และที่เป็นเหรียญกษาปณ์ไม่เกินปี 2545 โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ในขณะที่บางประเทศไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดการรับแลกเปลี่ยน (รายละเอียดปรากฏในตารางดังแนบ)
3. ผลกระทบต่อไทย ไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากเงินยูโร หากเงินยูโรสามารถพัฒนาเป็นเงินสกุลหลักในระบบการเงินระหว่างประเทศได้ในอนาคต ประเทศไทยจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นนอกจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ การค้า และการลงทุน ซึ่งจะลดและกระจายความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย ด้านการเงิน และการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ (exchange rate policy) ทั้งนี้ การที่เงินยูโร จะเป็น “ทางเลือกใหม่” ในระบบเศรษฐกิจโลกนั้น ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของประชาคมโลกที่มีต่อเงินยูโร ในด้านการค้า การใช้เงินยูโรของประเทศที่เข้าร่วมในระบบเงินยูโร (Euro Zone) จะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการทางการค้าและการลงทุนทั้งในยูโรโซน และระหว่างไทยและประเทศในยูโรโซนด้วย ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกและการนำเข้าระหว่างไทย และประเทศในยูโรโซนง่ายขึ้น ลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนเทียบราคาสินค้าและบริการในยูโรโซนได้ง่ายขึ้น สำหรับประชาชนทั่วไป หากจะเดินทางเข้ายูโรโซนเพื่อการติดต่อค้าขาย และการ ท่องเที่ยว จะสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่าง ๆ เนื่องจากแลกเป็นเงินยูโรครั้งเดียวเท่านั้น การทำธุรกรรมเป็นเงินยูโรของธนาคารพาณิชย์ไทย ตามข้อมูลที่ได้รับจากธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2544 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของไทย มีกำหนดเวลาในการดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวกับเงินยูโรต่างกัน สรุปได้ดังนี้
1. การขายและรับซื้อธนบัตรของเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศในยูโรโซน ส่วนใหญ่ จะขายจนถึงสิ้นปี 2544 และจะรับซื้อจนถึงสิ้นปี 2544 หรือต้นปี 2545
2. การขายและรับซื้อตราสารต่างประเทศในสกุลเงินท้องถิ่น (เช็คเดินทาง ดราฟท์ และเช็ค) ส่วนใหญ่ ขณะนี้ไม่ขายเป็นเงินสกุลท้องถิ่นแล้ว และจะรับซื้อจนถึงสิ้นปี 2544 หรือต้นปี 2545 3. บัญชีเงินฝากต่างประเทศในสกุลเงินท้องถิ่น (Foreign currency deposit account) ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนบัญชีเงินสกุลท้องถิ่นเป็นสกุลยูโรให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2544 สำหรับกำหนดเวลาที่ชัดเจน ควรตรวจสอบแนวปฏิบัติจากธนาคารพาณิชย์ อีกครั้ง
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax 643-5106-7 E-mail : [email protected] จบ--
-อน-