(ต่อ1) ปาฐกถา เรื่อง “แนวโน้มเศรษฐกิจไทยใน 4 ปีข้างหน้า” โดย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday July 5, 2005 11:11 —กระทรวงการคลัง

          สิ่งเหล่านี้คือความคิดซึ่งท่านต้องระดมสมองคิดกันเอง  ผมถือว่าหน้าที่ผม คือเอาไม้ขีดไฟมาจุดให้ท่าน แล้วท่านก็จุดต่อๆ ไปให้มันเกิดเป็นเพลิงนี้ลุกขึ้นมา  ตรงนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง  ผมบอกแล้วว่าผมมาเชียงรายหลายครั้ง จังหวัดนี้จริงๆ แล้วอีกหน่อยต้องรวยที่สุดอีกจังหวัดหนึ่ง มีครบทุกอย่างเลย  แล้วผมเชื่อว่าถ้าท่านผู้ว่าฯ ทุ่มเทเต็มที่ ทางมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วย ประชาชนเข้ามาช่วย อบต. อบจ. เข้ามาช่วย  สร้าง OTOP Village ท่านเข้าใจคำว่า OTOP Village ไหมครับ  ผมเรียกมันว่าหมู่บ้าน OTOP
เวลาเราไปต่างประเทศนี้นะ ผมเคยไปเนเธอร์แลนด์เมื่อ 10 ปีมาแล้ว เขาจะกวาดต้อนนักท่องเที่ยวไปดูที่ทำเนย แต่ว่าถ้าไปซื้อเนยบนหิ้งอย่างมากผมก็ซื้อ 2 เหรียญ แต่เขาพาท่านไปดูกระบวนการทำเนย โอ้โห มันไม่ได้ทำง่ายนะ ทำยากนะ สุดท้ายก็มีรสชาติหลากหลายเต็มไปหมดเลย คนที่ดูจะยินดีจ่ายเงินมากขึ้น จากโรงทำเนยเขาพาไปดูที่โรงทำรองเท้า เป็นรองเท้าไม้ ที่เป็น Dutch รองเท้าแบบ Dutch เป็นไม้ วิธีการกลึงไม้ วิธีการทาสีไม้ ถึงจุดนั้นต่อให้คนไม่ได้อยากจะซื้อไปใส่เพราะมันใส่ไม่ได้ มันหนามาก เขาก็ซื้อไปเป็นที่ระลึกที่บ้าน เขาพาไปที่ร้านเจียระไนเพชร ให้ดูเพชรทีละเม็ดๆๆ เม็ดเล็กๆ สุดท้ายเขาก็มาถึง Climax บอกว่าสามีทั้งหลายไปยืนข้างหลัง ภรรยามายืนข้างหน้า อันนี้เขาเรียกว่า Teardrop หรือหยาดน้ำตา มันเหมือนหยาดน้ำตาเลย เขาบอกว่าอันนี้สวยงามมาก ใช้เวลาในการเจียระไนนานมาก แล้วตั้งชื่อว่าหยาดน้ำต เพราะว่าสามีเวลาควักเงินจ่ายนั้นร้องไห้ตลอดเวลา เขาเรียกว่า Teardrop คนดูนี้เพลินถึงเวลาจ่ายเงินซื้อ
ของเราเวลานักท่องเที่ยวมา ผมไม่ได้ต้องการให้นักท่องเที่ยวมาอาบแดดแล้วกลับบ้าน ไม่ได้จ่ายอะไรเลย ต้องดูสิว่าเขามาแล้วเขาจะซื้ออะไร ทำที่ไหน ทำที่หมู่บ้านนั่นแหละ พัฒนาขึ้นมาให้มันดีขึ้น มีบรรยากาศของท้องถิ่น เขาก็จะซื้อสินค้าจากหมู่บ้าน OTOP ควักเงินเข้ามา ตรงนี้ผมเคยบอกผู้ว่าแล้วว่าหาหลายๆ แห่ง แล้วมันจะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว คนจีนเวลามา ภาษาก็อ่านไม่รู้เรื่อง มัคคุเทศก์ภาษาจีนต้องเตรียมไว้ มหาวิทยาลัยต้องผลิตขึ้นมา ป้ายบอกทาง แผ่นพับ โบรชัวร์ ทุกอย่างทำไว้พร้อมเสร็จ สิ่งเหล่านี้สิ คือสิ่งซึ่งจะพัฒนาเชียงรายได้
สิ่งที่รัฐบาลจะทำอีกคืออะไร Mega projects เรื่องของน้ำเรารู้ว่าชาวนานั้นปีหนึ่งปลูกข้าว 4-5 เดือน แล้วก็ปลูกไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำ ก็จะลงทุนในเรื่องน้ำ ลงทุนในเรื่องของการศึกษา แล้วก็จะใช้ระบบผู้ว่า CEO นี่แหละที่จะเป็นตัวทะลุทะลวงอนาคตข้างหน้า
ถามว่าเศรษฐกิจอีก 4 ปีเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ แต่ว่ามันจะดีหรือเลวนั้นมันอยู่ที่เราในวันนี้ ถ้าเรามัวแต่คิดวันต่อวัน วันนี้ GDP แค่นี้นะ พรุ่งนี้ปรับตัวเลขนะ มะรืนนี้ปรับตัวเลขนะ แต่ไม่คิดทำอะไรเลยว่าเราจะพัฒนามันอย่างไร ไม่คิดว่าการศึกษาเราล้าหลังจะทำอย่างไร ไม่คิดว่าเรื่อง Internet, Computer นั้น เกาหลีใต้มีทุกบ้าน เรายังไม่มีเลย ทั้งประเทศมีเครื่องคอมฯ อยู่กี่เครื่อง ถ้าเราไม่พัฒนาตัวนี้ ไม่พัฒนาการศึกษา ไม่พัฒนาสินค้าให้แข่งขันได้ ไม่พัฒนาความสามารถจนถึงจุดแข่งขัน ไม่รื้อระบบราชการ ไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เราก็จะค่อยๆ ถดถอย อีกหน่อยเราจะแข่งกับเวียดนาม แข่งกับลาว แต่ถ้าเรายืนหยัดปฏิรูป ทำทุกอย่างให้แข็งแรง อย่ามัวแต่ตีกัน เราก็จะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะสินค้าที่ท่านมีอยู่ในวันนี้ในเมืองไทยตัวที่สร้างรายได้ให้เรานั้น สิ่งทอคุณกำลังจะเจอกับจีน อาหารเราเป็น “ครัวไทยสู่โลก” จริงหรือเปล่า? ผลิตทีไรก็ทุกปีก็มีม็อบทุกปีแหละ เพราะขายไม่ออก ขายให้ คชก. (คณะกรรมการนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร) แทนที่จะคิดว่าสินค้าตัวไหนต้องรุกประเทศไหน ตัวไหน Supply มากเกินไปต้องเปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่น ไม่คิด ไม่ทำ ปลูกเสร็จขายไม่ได้ร้อง คชก. แล้ว คชก. จะเอาเงินมาจากไหน วันนี้ติดลบด้วยซ้ำ ต้องขอเงินเพิ่มจาก ครม. แล้ว
เมื่อเช้าก่อนจะบินมาที่นี่ คุยกับคนจังหวัดระยอง เขาบอกว่าระยอง จันทบุรี ตราด ผลไม้เต็มไปหมด แต่ไม่มีโรงงานแปรรูปเลย พอใจเพียงแค่ว่าผลิตอะไรแล้วส่งออกขายแค่นั้น แล้วไปเที่ยวคุยบอกว่าการตลาดระหว่างประเทศเราเจ๋งมาก สินค้าเราตีตลาดโลก ขอโทษทีถึงเวลาตัดเสร็จแล้วก็ขาย พ่อค้าต่างประเทศรับซื้อไปขายต่อ ยี่ห้อของไทยไม่มีเลยแม้แต่ยี่ห้อเดียวที่แข็งแรง พูดถึงเกาหลี เขามี Samsung เขามี Daewoo เขามี LG เรามีอะไร เราตัดตอนขายผ่านฝรั่ง ขายผ่านญี่ปุ่น ขายผ่านคนอื่นเขา สินค้าไปขายให้อเมริกายังถูกเวียดนามตัดตอนเลย น้ำพริกศรีราชาขายบนโต๊ะที่นิวยอร์ก 7 ปี ที่แล้ว เขียนว่าศรีราชา Made in Sai Ngon นี่คือความเป็นจริง โชคดีนะ ฐานะพื้นฐานเราแข็งแกร่ง ยังไม่สายที่จะพลิกฟื้น อนาคตขึ้นอยู่กับพวกท่านนี่แหละ
ผมสรุปตรงนี้ ผมเชื่อว่าเมืองไทยไปได้ดี ถ้าเราตัดสินใจทำอะไรตั้งแต่วันนี้ ไม่จมปลักอยู่กับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ วันนี้คนนี้ด่าคนนั้น วันนั้นคนนั้นด่าคนนี้ อบต. อบจ. ต้องร่วมกับผู้ว่าฯ สมานฉันท์ สามัคคี หอการค้า สภาอุตสาหกรรมไทย ต้องมาร่วมกันทำแผนงบประมาณผู้ว่าฯ CEO ผมบอกได้เลยว่ามีแต่จะมากขึ้นไม่มีน้อยลง เพราะเรามาถูกทางแล้ว เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรผู้ว่าฯ ถึงจะมีทีมจากมหาวิทยาลัย ทีมจากเอกชนเข้ามาช่วยป้อนความคิดอ่าน ร่วมมือกับชาวบ้านในการทำงาน แล้วเงินจะมาที่นี่มากขึ้น ถ้าใช้ระบบเดิมไม่ผ่านผู้ว่าฯ มันก็ส่วนกลางอยู่ที่กระทรวง แล้วกระทรวงเวลาลงทุนก็ไม่ได้รู้ปัญหาของชาวบ้าน ฉะนั้นตรงนี้มหาวิทยาลัยเป็นกำลังสำคัญมากๆ แต่ละคณะ พยายามประกบติดทางผู้ว่าฯ เวลาผู้ว่าฯ ตัดสินใจ บางอย่างต้องใช้วิธี Study ศึกษา ก็ให้อาจารย์ทำ เป็นงบประมาณที่ช่วยอาจารย์ อาจารย์ก็มีเวลาที่จะสามารถทำงานวิจัยได้ ไม่อย่างนั้นอาชีพอาจารย์นั้นขมขื่นนะครับ
ผมมีอาชีพอาจารย์เก่า ถามว่าทำไม่ผมถึงลาออกจากอาจารย์ เพราะว่าผมต้องการเป็นอาจารย์ ต้องการทำงานวิจัย ผมไม่ต้องการปิ้งข้าวเกรียบว่าว ท่านเข้าใจคำว่า “ข้าวเกรียบว่าว” ไหม? สมัยก่อนไม่มีนะคอมพิวเตอร์อย่างนี้ ปิ้งแผ่นใส ปิ้งจนกระทั่งให้มันกรอบเป็นข้าวเกรียบว่าว คือไม่สามารถทำงานวิจัย ไม่มีความรู้ใหม่เกิดขึ้น เอาในหนังสือสอนนักศึกษา รายได้ไม่พอใช้จึงจำเป็นต้องสอน สอน Mini MBA สอน Micro MBA, Mini Micro จนกระทั่งถึงอะไรก็ไม่รู้ ก็คืออันเก่าๆ แล้วก็สอน อุตส่าห์ไปเรียนแทบตาย กลับมาถึงไม่สามารถทำงานวิจัยได้ แต่ถ้าเชื่อมโยงภาครัฐเข้ากับมหาวิทยาลัย เอกชนเข้ากับมหาวิทยาลัย อาจารย์ก็จะมีเงินที่จะทำวิจัย เป็นที่ปรึกษา รายได้เขาเพิ่มขึ้น มีวัตถุดิบมาสอนนักศึกษา มันก็เกิดการจรรโลงทั้งภาคเอกชน รัฐบาล ภาควิชาการ ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ 15 ปี จะหางานวิจัยทำชิ้นหนึ่งยากแสนยาก รู้ว่าถ้าทำต่อไปก็คือการเดินถอยหลัง ตัดสินลาออก และก็ตั้งใจว่าวันหนึ่งมีโอกาสช่วยมหาวิทยาลัยจะช่วยให้เต็มที่ เพราะว่าสมองอยู่ที่มหาวิทยาลัย ถ้าไม่ใช้สมองให้เต็มที่ สมองก็จะค่อยๆ ฝ่อ ที่เหลือก็เลยไม่รู้ว่าใช้อะไรคิด
วันนี้ผมตั้งใจมาพูดเท่านี้นะครับ ประมาณชั่วโมงหนึ่งแล้ว ก็อยากให้สบายใจว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านตั้งใจทำงาน ในขณะนี้เสถียรภาพทางการเงินก็ค่อนข้างแข็งแรง รัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด ผมในฐานะที่ยืนอยู่ในกระทรวงการคลังจะดูแลเศรษฐกิจให้ดี จะเป็นหลักให้ ยังไงจะไม่พยายามทำให้เกิดความสั่นคลอนทางเศรษฐกิจ เรารู้ว่าเรากำลังเจอสรสุมเป็นลูกๆ แต่เราต้องเจอมรสุมอย่างมีสติ ไม่ใช่อย่างขลาดกลัว ถ้าเรามีสติมันไม่มีอะไรร้ายแรงกว่า 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมันจะเจ๊งแล้ว ฉะนั้นขอให้สบายใจ ท่านที่เป็นนักธุรกิจทำธุรกิจไป ท่านที่เป็นนักศึกษาขอให้เป็นนักศึกษาที่ตื่นตัว ทำกิจกรรมสังคม ออกไปดูว่าชาวบ้านเป็นอย่างไร จะได้รู้ว่าประเทศไทยคืออะไร อีกหน่อยเป็นใหญ่เป็นโตจะได้ไม่ลืมประชาชนตาดำๆ
ขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่งนะครับ ที่ให้เกียรติเชิญมาในวันนี้ หมดแรงที่จะพูดนะครับ เดี๋ยวผมต้องไปต่อที่พะเยา ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งที่ให้เกียรติ ขอบคุณมากครับ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ภาพข่าวกระทรวงการคลังวันที่ 13 มิถุนายน 2548
กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
สุรีย์พร ชัยยะรุ่งสกุล : ถอดเทป
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : Edit

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ