กรุงเทพ--10 มิ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2548 ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์วิทยุ เกี่ยวกับการพบกับนายไซอิด กาซิม อัลมัสรี (Sayed Gasim Almasri) อดีตผู้ช่วยเลขาธิการองค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conference - OIC) และหัวหน้าคณะผู้แทนจาก OIC ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเยือนไทยในลักษณะคณะสันถวไมตรีและรับทราบข้อเท็จจริง (Goodwill and Orientation Visit) ในวันเดียวกัน สรุปสาระได้ดังนี้
คณะผู้แทน OIC ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่กระทรวงการต่างประเทศ และได้ขอบคุณรัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศที่จัดกำหนดการให้อย่างดี ทำให้คณะได้มีโอกาสเห็นสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์ในภาคใต้ ซึ่งก่อนหน้าการเยือนไทย OIC ได้รับข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่หลังจากได้เข้าพบบุคคลฝ่ายต่างๆ ตามที่ได้ร้องขอและฝ่ายไทยได้จัดให้พบทุกฝ่ายอย่างโปร่งใสโดยไม่มีการปกปิดแล้ว คณะก็สามารถสรุปได้ว่า สถานการณ์ในภาคใต้ของไทยไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งทางศาสนา แต่ปัญหามาจากคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งใช้ศาสนามาเป็นข้ออ้างในการก่อการไม่สงบ และทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์บางส่วนหลงเชื่อว่าเป็นการต่อสู้ทางศาสนา
หลังจากได้รับทราบข้อเท็จจริงแล้ว คณะก็เข้าใจดีว่าประเทศไทยเป็นสังคมที่เปิดกว้าง มีความอดทน มีขันติธรรม ยอมรับต่อศาสนาต่างๆ และวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป
หัวหน้าคณะผู้แทน OIC ได้ย้ำว่า OIC มีหลักการไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน ไม่สนับสนุนการก่อการร้าย และยืนยันว่าจะเคารพในบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย กับมีความเห็นว่านโยบายของรัฐบาลไทยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการตอนนี้คือ บุคคลที่มีหลักฐานว่าใช้ความรุนแรง ก็จะมีการดำเนินตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนประชาชนผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ไปหลงเชื่อข้ออ้างทางศาสนา ก็ต้องทำความเข้าใจและนำกลับสู่สังคม โดยรัฐบาลไทยย้ำว่าจะมีการแก้ปัญหาในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันแก่ทุกคน นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ย้ำด้วยว่าชาวมุสลิมในประเทศไทยไม่ใช่ประชาชนชั้นสอง ในสังคมไทยประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกันหมด
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเยือนครั้งนี้คือ การที่คณะ OIC ได้รับทราบข้อเท็จจริงแล้วและองค์การ OIC จะประสานงานกับรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิด โดยมีกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินงานต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาด้วยความยุติธรรมและสันติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางไปเยือนประเทศมุสลิมต่างๆ อาทิเช่น อินโดนิเซีย เพื่อชี้แจงแนวทางของรัฐบาล นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ติดตามนายกรัฐมนตรีเดินทางไปจอร์แดน เพื่อเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ และหารือถึงเรื่องความสำคัญของมุสลิมสายกลาง ซึ่งเป็นมุสลิมส่วนใหญ่ในโลก ที่จะมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขความรุนแรง ทั้งในภาคใต้ของไทยและในเวทีโลก
สำหรับในกรณีตากใบ ซึ่งรัฐบาลไทยถูกกล่าวหาว่าทำให้มีผู้เสียชีวิต 78 คนอย่างไร้มนุษยธรรมนั้น ฝ่ายไทยได้ชี้แจงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำในระดับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ในขณะนั้น มิใช่นโยบายของรัฐบาล ซึ่งได้มีการไต่สวนหาข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน ว่าเป็นเรื่องในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติโดยเฉพาะ และได้ย้ำว่า ไม่ได้เป็นการกระทำในฐานะประเทศไทยหรือรัฐบาลไทย แต่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เนื่องจากหากมีการใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่ก็อาจมีความกลัว ความเครียด หรืออาจมีการดำเนินการเกินเหตุหรือไม่เหมาะสม ทั้งนี้ กระบวนการยุติธรรมยังดำเนินอยู่ และหากพบว่า เจ้าหน้าที่ผู้ใดดำเนินการไม่เหมาะสม รัฐบาลก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างโปร่งใสต่อไป
หัวหน้าคณะผู้แทน OIC ให้ความเห็นว่าหลายประเทศก็มีปัญหาเดียวกัน คือ เมื่อเจ้าหน้าที่มีความตึงเครียดก็จะมีการใช้กำลังต่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม จากการที่ทางรัฐบาลไทยมีความชัดเจนในการดำเนินการในเรื่อง ทาง OIC ก็สบายใจ และหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินการป้องกันมิให้เกิดเหตุทำนองเดียวกันอีก ขณะเดียวกัน OIC ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรี OIC ช่วงปลายเดือนนี้ ณ ประเทศเยเมน ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ OIC ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะพิจารณาเข้าร่วมหากไม่ติดภารกิจอื่นๆ
ส่วนในเรื่องของการจัดตั้งวิทยาลัยอิสลามนั้น ดร. กันตธีร์ฯ กล่าวว่า คณะผู้แทน OIC ไม่ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นหารือเป็นการเฉพาะในครั้งนี้ แต่ได้มีการหารือในกรอบกว้างเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่างๆ รวมทั้งด้านการศึกษาทางศาสนา ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาที่ไม่ได้เน้นเรื่องศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการศึกษาเชิงวิชาชีพประกอบกันไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงต่อฝ่าย OIC ว่าฝ่ายไทยต้องการให้นักศึกษาไทยมุสลิมมีโอกาสไปศึกษาในสถาบันการศึกษาในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ยึดแนวมุสลิมสายกลาง เช่น ในอินโดนีเซีย บรูไน และประเทศอื่นๆ แต่ในทางกลับกัน หากมีการจัดตั้งสถานศึกษาศาสนาอิสลามในประเทศไทยเพิ่มเติม เราก็ยินดี
โดยสรุป ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า การเยือนประเทศไทยครั้งนี้เป็นประโยชน์ และจากผลการเยือนครั้งนี้ซึ่งคณะผู้แทน OIC ได้รับทราบข้อเท็จจริงต่างๆ ก็จะนำไปปรับปรุงรายงานเกี่ยวกับประเทศไทยเสียใหม่ เนื่องจากรายงานฉบับเดิมไม่ได้สะท้อนสภาพความเป็นจริงในประเทศไทย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2548 ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์วิทยุ เกี่ยวกับการพบกับนายไซอิด กาซิม อัลมัสรี (Sayed Gasim Almasri) อดีตผู้ช่วยเลขาธิการองค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conference - OIC) และหัวหน้าคณะผู้แทนจาก OIC ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเยือนไทยในลักษณะคณะสันถวไมตรีและรับทราบข้อเท็จจริง (Goodwill and Orientation Visit) ในวันเดียวกัน สรุปสาระได้ดังนี้
คณะผู้แทน OIC ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่กระทรวงการต่างประเทศ และได้ขอบคุณรัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศที่จัดกำหนดการให้อย่างดี ทำให้คณะได้มีโอกาสเห็นสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์ในภาคใต้ ซึ่งก่อนหน้าการเยือนไทย OIC ได้รับข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่หลังจากได้เข้าพบบุคคลฝ่ายต่างๆ ตามที่ได้ร้องขอและฝ่ายไทยได้จัดให้พบทุกฝ่ายอย่างโปร่งใสโดยไม่มีการปกปิดแล้ว คณะก็สามารถสรุปได้ว่า สถานการณ์ในภาคใต้ของไทยไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งทางศาสนา แต่ปัญหามาจากคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งใช้ศาสนามาเป็นข้ออ้างในการก่อการไม่สงบ และทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์บางส่วนหลงเชื่อว่าเป็นการต่อสู้ทางศาสนา
หลังจากได้รับทราบข้อเท็จจริงแล้ว คณะก็เข้าใจดีว่าประเทศไทยเป็นสังคมที่เปิดกว้าง มีความอดทน มีขันติธรรม ยอมรับต่อศาสนาต่างๆ และวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป
หัวหน้าคณะผู้แทน OIC ได้ย้ำว่า OIC มีหลักการไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน ไม่สนับสนุนการก่อการร้าย และยืนยันว่าจะเคารพในบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย กับมีความเห็นว่านโยบายของรัฐบาลไทยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการตอนนี้คือ บุคคลที่มีหลักฐานว่าใช้ความรุนแรง ก็จะมีการดำเนินตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนประชาชนผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ไปหลงเชื่อข้ออ้างทางศาสนา ก็ต้องทำความเข้าใจและนำกลับสู่สังคม โดยรัฐบาลไทยย้ำว่าจะมีการแก้ปัญหาในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันแก่ทุกคน นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ย้ำด้วยว่าชาวมุสลิมในประเทศไทยไม่ใช่ประชาชนชั้นสอง ในสังคมไทยประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกันหมด
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเยือนครั้งนี้คือ การที่คณะ OIC ได้รับทราบข้อเท็จจริงแล้วและองค์การ OIC จะประสานงานกับรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิด โดยมีกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินงานต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาด้วยความยุติธรรมและสันติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางไปเยือนประเทศมุสลิมต่างๆ อาทิเช่น อินโดนิเซีย เพื่อชี้แจงแนวทางของรัฐบาล นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ติดตามนายกรัฐมนตรีเดินทางไปจอร์แดน เพื่อเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ และหารือถึงเรื่องความสำคัญของมุสลิมสายกลาง ซึ่งเป็นมุสลิมส่วนใหญ่ในโลก ที่จะมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขความรุนแรง ทั้งในภาคใต้ของไทยและในเวทีโลก
สำหรับในกรณีตากใบ ซึ่งรัฐบาลไทยถูกกล่าวหาว่าทำให้มีผู้เสียชีวิต 78 คนอย่างไร้มนุษยธรรมนั้น ฝ่ายไทยได้ชี้แจงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำในระดับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ในขณะนั้น มิใช่นโยบายของรัฐบาล ซึ่งได้มีการไต่สวนหาข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน ว่าเป็นเรื่องในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติโดยเฉพาะ และได้ย้ำว่า ไม่ได้เป็นการกระทำในฐานะประเทศไทยหรือรัฐบาลไทย แต่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เนื่องจากหากมีการใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่ก็อาจมีความกลัว ความเครียด หรืออาจมีการดำเนินการเกินเหตุหรือไม่เหมาะสม ทั้งนี้ กระบวนการยุติธรรมยังดำเนินอยู่ และหากพบว่า เจ้าหน้าที่ผู้ใดดำเนินการไม่เหมาะสม รัฐบาลก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างโปร่งใสต่อไป
หัวหน้าคณะผู้แทน OIC ให้ความเห็นว่าหลายประเทศก็มีปัญหาเดียวกัน คือ เมื่อเจ้าหน้าที่มีความตึงเครียดก็จะมีการใช้กำลังต่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม จากการที่ทางรัฐบาลไทยมีความชัดเจนในการดำเนินการในเรื่อง ทาง OIC ก็สบายใจ และหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินการป้องกันมิให้เกิดเหตุทำนองเดียวกันอีก ขณะเดียวกัน OIC ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรี OIC ช่วงปลายเดือนนี้ ณ ประเทศเยเมน ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ OIC ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะพิจารณาเข้าร่วมหากไม่ติดภารกิจอื่นๆ
ส่วนในเรื่องของการจัดตั้งวิทยาลัยอิสลามนั้น ดร. กันตธีร์ฯ กล่าวว่า คณะผู้แทน OIC ไม่ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นหารือเป็นการเฉพาะในครั้งนี้ แต่ได้มีการหารือในกรอบกว้างเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่างๆ รวมทั้งด้านการศึกษาทางศาสนา ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาที่ไม่ได้เน้นเรื่องศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการศึกษาเชิงวิชาชีพประกอบกันไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงต่อฝ่าย OIC ว่าฝ่ายไทยต้องการให้นักศึกษาไทยมุสลิมมีโอกาสไปศึกษาในสถาบันการศึกษาในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ยึดแนวมุสลิมสายกลาง เช่น ในอินโดนีเซีย บรูไน และประเทศอื่นๆ แต่ในทางกลับกัน หากมีการจัดตั้งสถานศึกษาศาสนาอิสลามในประเทศไทยเพิ่มเติม เราก็ยินดี
โดยสรุป ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า การเยือนประเทศไทยครั้งนี้เป็นประโยชน์ และจากผลการเยือนครั้งนี้ซึ่งคณะผู้แทน OIC ได้รับทราบข้อเท็จจริงต่างๆ ก็จะนำไปปรับปรุงรายงานเกี่ยวกับประเทศไทยเสียใหม่ เนื่องจากรายงานฉบับเดิมไม่ได้สะท้อนสภาพความเป็นจริงในประเทศไทย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-