ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ครม.เห็นชอบหลักการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน รมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม.ได้ให้
ความเห็นชอบหลักการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน ตามที่ ก.คลังได้นำเสนอ ขณะนี้ ก.คลังอยู่ระหว่างรอข้อมูล
ที่ครบถ้วนจากกรมบัญชีกลาง แต่จากข้อมูลเบื้องต้นคาดว่า จะมีลูกหนี้ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการปรับโครงสร้าง
หนี้ภาคประชาชนประมาณ 100,000 ราย หรือคิดเป็นมูลค่าเงินต้นคงค้างประมาณ 7,000 ล.บาท ซึ่ง ก.คลังได้
ลงนามในบันทึกความร่วมมือในการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวกับสถาบันการเงินที่ร่วมโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่เข้าร่วม ประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์
ธนาคารเฉพาะกิจ บริษัทเงินทุน และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. คาดว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 นายคณิศ แสงสุพรรณ ผอ.
สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 48 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ
5 เมื่อรวมกับครึ่งปีแรกที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 จะทำให้อัตราการขยายตัวทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.5 เป็นไปตามที่
ก.คลังประมาณการไว้ที่ร้อยละ 4.1-4.6 โดยถือว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาสแรก ทั้ง
นี้ สาเหตุที่เศรษฐกิจฟื้นตัวเนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากมูลค่าการส่งออกในครึ่งปีหลัง จำนวน 5.9 หมื่นล้าน
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกที่มีมูลค่า 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ทำให้ทั้งปีมูลค่าการส่งออกสูงถึง
1.1 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. คิดเป็นเงินกว่า 5 ล้านล้านบาท ขณะที่ปริมาณการส่งออกในครึ่งปีหลังขยายตัวกว่า
ร้อยละ 5 เทียบกับที่ขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกเพียงร้อยละ 1 ส่วนการนำเข้าในครึ่งปีแรกมีมูลค่า 5.9 หมื่นล้าน
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 และครึ่งปีหลังมีมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 6.1 ลด
ลงตามการสูงขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลดีทำให้การขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีลดน้อยลง (โพสต์ทูเดย์)
3. ตัวเลขการหักบัญชีระหว่างธนาคารในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ สิ้นเดือน ก.ย.48 ลดลง
4.2% เทียบต่อเดือน ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ฝ่ายระบบการชำระ
เงินรายงานตัวเลขการหักบัญชีระหว่างธนาคารในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ณ สิ้นเดือน ก.ย.48 ว่ามีจำนวนทั้ง
สิ้น 5,402,771 ฉบับ ลดลงจากเดือน ส.ค.ที่มีจำนวน 5,737,833 ฉบับ หรือลดลง 4.2% ขณะที่มีมูลค่า
2,272,617 ล.บาท เพิ่มขึ้น 79,348.28 ล.บาท สำหรับเช็คเรียกเก็บเฉลี่ยต่อวันทำการมีมูลค่า 103,300 ล.
บาท ลดลง 2.0% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้น 15.5% โดยมีปัจจัยสำคัญจากการเพิ่ม
ขึ้นของราคาสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคและสินค้าเพื่อการผลิต ในส่วนของปริมาณเช็คคืนมีจำนวนทั้งสิ้น 121,325
ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 15,714 ล.บาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่มีจำนวน 134,452 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 17,855 ล.
บาท ลดลง 2,141 ล.บาท โดยสัดส่วนและปริมาณเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บอยู่ที่ 2.2% และ 0.7% ตามลำดับ
สำหรับเช็คคืนด้วยเหตุผลไม่มีเงินมีจำนวน 76,900 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 7,888 ล.บาท ลดลง 1,479 ล.บาท
(โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การปฏิรูปเศรษฐกิจของเยอรมนีสร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุน รายงานจากกรุงเบอร์ลิน
ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 18 ต.ค.48 ZEW สถาบันวิจัยชั้นนำทางเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่า ความเชื่อ
มั่นของนักลงทุนเยอรมนีในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ สาเหตุจากความกังวลว่า อัตราการ
เคลื่อนไหวในการปฏิรูปเศรษฐกิจของเยอรมนีอาจจะไม่สามารถชดเชยกับปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง
รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็นบริษัทเยอรมนี 25,000 แห่ง ของหอการค้าและอุตสาหกรรม
(DIHK) ที่ชี้ว่าทัศนคติของบริษัทปรับตัวดีขึ้น แต่มุมมองในแง่การเติบโตของเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก ทั้งนี้ รายงานดัง
กล่าวมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากที่เริ่มต้นมีการเจรจาต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมและ
พรรคสังคมนิยม ซึ่งในระยะหลังนี้ได้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นว่า รัฐบาลผสมหลายพรรคจะสามารถผลักดันการปฏิรูป
เศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการแก้ไข
ปัญหาการว่างงานให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนวิตกว่าการปฏิรูปทางการเมืองที่ล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อ
การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ต่อปี รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 18
ต.ค.48 สถาบันนโยบายเศรษฐกิจมหภาค หรือ IMK ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากองค์การการค้าของเยอรมนีและเริ่ม
ก่อตั้งเมื่อเดือน ม.ค. 48 คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ในปีนี้และร้อยละ 1.4 ในปีหน้า โดย
มีสาเหตุมาจากการจ้างงานและการใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบันยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่ยังไม่สูงพอที่จะทำให้
เศรษฐกิจขยายตัว โดยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีเกิดภาวะถดถอยแต่อย่างไร อย่างไรก็ดี
หากราคาน้ำมันในปีนี้ไม่สูงขึ้นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว IMK คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้จะขยายตัวระหว่าง
ร้อยละ 1.5 ถึง 2.0 ต่อปี นอกจากนี้ยังคาดว่าความต้องการในประเทศในปีนี้จะยังอยู่ในภาวะซบเซาแต่คาดว่าจะ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในปีหน้า โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะลดลงร้อยละ 0.5 ในปีนี้และลดลงร้อยละ 0.2 ในปี
หน้า และดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 1.6 และ 1.4 ในปีนี้และปีหน้าตามลำดับ นอกจากนี้ IMK
คาดว่าจำนวนคนว่างงานโดยเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 4.833 ล้านคน และจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 4.657 ล้านคนในปี
หน้า (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน ก.ย.48 เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ
2.5 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 18 ต.ค.48 สำนักงานสถิติอังกฤษ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษใน
เดือน ก.ย.48 เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน ส่งผลให้อัตรา
เงินเฟ้อปี 48 อยู่ที่ร้อยละ 2.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.4 ในเดือน ส.ค.48 และอยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึก
ข้อมูลมาในปี 40 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2.0 ติดต่อกันเป็น
เดือนที่ 3 แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนด
นโยบายการเงิน ธ.กลางอังกฤษ คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษยังคงอยู่ในระดับเหนือกว่าเป้าหมายที่
กำหนดไว้ต่อไปอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นเนื่อง
จาก ราคาเชื้อเพลิงและน้ำมันที่มีสัดส่วนร้อยละ 0.14 ของดัชนีราคาผู้บริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.8 จาก
ร้อยละ 3.2 ในเดือนก่อนหน้า โดยราคาน้ำมันเฉลี่ยในเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.6 เพนนีต่อลิตร เทียบกับที่เพิ่ม
ขึ้นเพียง 0.1 เพนนีต่อลิตรในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาขายปลีก ซึ่งเป็นฐานของดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ที่ร้อย
ละ 2.7 ลดลงจากร้อยละ 2.8 ในเดือนก่อน (รอยเตอร์)
4. รายได้ภาษีของเยอรมนีในปีนี้อาจสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 18 ต.ค.48 ตัว
เลขจากรายงานของ ก.คลังเยอรมนีประจำเดือน ต.ค.48 ที่รอยเตอร์ได้เห็นก่อนที่รายงานฉบับจริงจะถูกเผยแพร่
แสดงให้เห็นว่ารายได้ภาษีของรัฐบาลกลางและของรัฐต่าง ๆ ในเยอรมนีในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ระหว่าง
เดือน ม.ค.ถึง ก.ย.48 สูงกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือน พ.ค.48 ร้อยละ 0.3 โดยหากเปรียบเทียบกับเดือน ก.
ย.47 รายได้ภาษีของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ต่อปีและของรัฐต่าง ๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ต่อปี โดยเป็น
ผลจากรายได้ของภาคธุรกิจในเยอรมนีในปีนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากส่งผลให้รัฐบาลเก็บภาษีได้สูงขึ้นจากปีก่อน ในทาง
ตรงข้ามรายได้ภาษีจากการขายกลับลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือน ก.ย.48 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 19 ต.ค. 48 18 ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.873 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.7130/41.0037 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.60389 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 695.18/ 11.37 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,150/9,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.6 53.95 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.34*/24.19 27.34*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 10 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ครม.เห็นชอบหลักการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน รมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม.ได้ให้
ความเห็นชอบหลักการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน ตามที่ ก.คลังได้นำเสนอ ขณะนี้ ก.คลังอยู่ระหว่างรอข้อมูล
ที่ครบถ้วนจากกรมบัญชีกลาง แต่จากข้อมูลเบื้องต้นคาดว่า จะมีลูกหนี้ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการปรับโครงสร้าง
หนี้ภาคประชาชนประมาณ 100,000 ราย หรือคิดเป็นมูลค่าเงินต้นคงค้างประมาณ 7,000 ล.บาท ซึ่ง ก.คลังได้
ลงนามในบันทึกความร่วมมือในการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวกับสถาบันการเงินที่ร่วมโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่เข้าร่วม ประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์
ธนาคารเฉพาะกิจ บริษัทเงินทุน และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. คาดว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 นายคณิศ แสงสุพรรณ ผอ.
สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 48 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ
5 เมื่อรวมกับครึ่งปีแรกที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 จะทำให้อัตราการขยายตัวทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.5 เป็นไปตามที่
ก.คลังประมาณการไว้ที่ร้อยละ 4.1-4.6 โดยถือว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาสแรก ทั้ง
นี้ สาเหตุที่เศรษฐกิจฟื้นตัวเนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากมูลค่าการส่งออกในครึ่งปีหลัง จำนวน 5.9 หมื่นล้าน
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกที่มีมูลค่า 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ทำให้ทั้งปีมูลค่าการส่งออกสูงถึง
1.1 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. คิดเป็นเงินกว่า 5 ล้านล้านบาท ขณะที่ปริมาณการส่งออกในครึ่งปีหลังขยายตัวกว่า
ร้อยละ 5 เทียบกับที่ขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกเพียงร้อยละ 1 ส่วนการนำเข้าในครึ่งปีแรกมีมูลค่า 5.9 หมื่นล้าน
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 และครึ่งปีหลังมีมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 6.1 ลด
ลงตามการสูงขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลดีทำให้การขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีลดน้อยลง (โพสต์ทูเดย์)
3. ตัวเลขการหักบัญชีระหว่างธนาคารในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ สิ้นเดือน ก.ย.48 ลดลง
4.2% เทียบต่อเดือน ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ฝ่ายระบบการชำระ
เงินรายงานตัวเลขการหักบัญชีระหว่างธนาคารในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ณ สิ้นเดือน ก.ย.48 ว่ามีจำนวนทั้ง
สิ้น 5,402,771 ฉบับ ลดลงจากเดือน ส.ค.ที่มีจำนวน 5,737,833 ฉบับ หรือลดลง 4.2% ขณะที่มีมูลค่า
2,272,617 ล.บาท เพิ่มขึ้น 79,348.28 ล.บาท สำหรับเช็คเรียกเก็บเฉลี่ยต่อวันทำการมีมูลค่า 103,300 ล.
บาท ลดลง 2.0% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้น 15.5% โดยมีปัจจัยสำคัญจากการเพิ่ม
ขึ้นของราคาสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคและสินค้าเพื่อการผลิต ในส่วนของปริมาณเช็คคืนมีจำนวนทั้งสิ้น 121,325
ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 15,714 ล.บาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่มีจำนวน 134,452 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 17,855 ล.
บาท ลดลง 2,141 ล.บาท โดยสัดส่วนและปริมาณเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บอยู่ที่ 2.2% และ 0.7% ตามลำดับ
สำหรับเช็คคืนด้วยเหตุผลไม่มีเงินมีจำนวน 76,900 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 7,888 ล.บาท ลดลง 1,479 ล.บาท
(โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การปฏิรูปเศรษฐกิจของเยอรมนีสร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุน รายงานจากกรุงเบอร์ลิน
ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 18 ต.ค.48 ZEW สถาบันวิจัยชั้นนำทางเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่า ความเชื่อ
มั่นของนักลงทุนเยอรมนีในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ สาเหตุจากความกังวลว่า อัตราการ
เคลื่อนไหวในการปฏิรูปเศรษฐกิจของเยอรมนีอาจจะไม่สามารถชดเชยกับปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง
รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็นบริษัทเยอรมนี 25,000 แห่ง ของหอการค้าและอุตสาหกรรม
(DIHK) ที่ชี้ว่าทัศนคติของบริษัทปรับตัวดีขึ้น แต่มุมมองในแง่การเติบโตของเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก ทั้งนี้ รายงานดัง
กล่าวมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากที่เริ่มต้นมีการเจรจาต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมและ
พรรคสังคมนิยม ซึ่งในระยะหลังนี้ได้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นว่า รัฐบาลผสมหลายพรรคจะสามารถผลักดันการปฏิรูป
เศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการแก้ไข
ปัญหาการว่างงานให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนวิตกว่าการปฏิรูปทางการเมืองที่ล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อ
การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ต่อปี รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 18
ต.ค.48 สถาบันนโยบายเศรษฐกิจมหภาค หรือ IMK ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากองค์การการค้าของเยอรมนีและเริ่ม
ก่อตั้งเมื่อเดือน ม.ค. 48 คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ในปีนี้และร้อยละ 1.4 ในปีหน้า โดย
มีสาเหตุมาจากการจ้างงานและการใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบันยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่ยังไม่สูงพอที่จะทำให้
เศรษฐกิจขยายตัว โดยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีเกิดภาวะถดถอยแต่อย่างไร อย่างไรก็ดี
หากราคาน้ำมันในปีนี้ไม่สูงขึ้นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว IMK คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้จะขยายตัวระหว่าง
ร้อยละ 1.5 ถึง 2.0 ต่อปี นอกจากนี้ยังคาดว่าความต้องการในประเทศในปีนี้จะยังอยู่ในภาวะซบเซาแต่คาดว่าจะ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในปีหน้า โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะลดลงร้อยละ 0.5 ในปีนี้และลดลงร้อยละ 0.2 ในปี
หน้า และดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 1.6 และ 1.4 ในปีนี้และปีหน้าตามลำดับ นอกจากนี้ IMK
คาดว่าจำนวนคนว่างงานโดยเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 4.833 ล้านคน และจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 4.657 ล้านคนในปี
หน้า (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน ก.ย.48 เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ
2.5 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 18 ต.ค.48 สำนักงานสถิติอังกฤษ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษใน
เดือน ก.ย.48 เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน ส่งผลให้อัตรา
เงินเฟ้อปี 48 อยู่ที่ร้อยละ 2.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.4 ในเดือน ส.ค.48 และอยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึก
ข้อมูลมาในปี 40 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2.0 ติดต่อกันเป็น
เดือนที่ 3 แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนด
นโยบายการเงิน ธ.กลางอังกฤษ คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษยังคงอยู่ในระดับเหนือกว่าเป้าหมายที่
กำหนดไว้ต่อไปอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นเนื่อง
จาก ราคาเชื้อเพลิงและน้ำมันที่มีสัดส่วนร้อยละ 0.14 ของดัชนีราคาผู้บริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.8 จาก
ร้อยละ 3.2 ในเดือนก่อนหน้า โดยราคาน้ำมันเฉลี่ยในเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.6 เพนนีต่อลิตร เทียบกับที่เพิ่ม
ขึ้นเพียง 0.1 เพนนีต่อลิตรในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาขายปลีก ซึ่งเป็นฐานของดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ที่ร้อย
ละ 2.7 ลดลงจากร้อยละ 2.8 ในเดือนก่อน (รอยเตอร์)
4. รายได้ภาษีของเยอรมนีในปีนี้อาจสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 18 ต.ค.48 ตัว
เลขจากรายงานของ ก.คลังเยอรมนีประจำเดือน ต.ค.48 ที่รอยเตอร์ได้เห็นก่อนที่รายงานฉบับจริงจะถูกเผยแพร่
แสดงให้เห็นว่ารายได้ภาษีของรัฐบาลกลางและของรัฐต่าง ๆ ในเยอรมนีในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ระหว่าง
เดือน ม.ค.ถึง ก.ย.48 สูงกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือน พ.ค.48 ร้อยละ 0.3 โดยหากเปรียบเทียบกับเดือน ก.
ย.47 รายได้ภาษีของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ต่อปีและของรัฐต่าง ๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ต่อปี โดยเป็น
ผลจากรายได้ของภาคธุรกิจในเยอรมนีในปีนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากส่งผลให้รัฐบาลเก็บภาษีได้สูงขึ้นจากปีก่อน ในทาง
ตรงข้ามรายได้ภาษีจากการขายกลับลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือน ก.ย.48 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 19 ต.ค. 48 18 ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.873 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.7130/41.0037 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.60389 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 695.18/ 11.37 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,150/9,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.6 53.95 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.34*/24.19 27.34*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 10 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--