ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงษ์ศักดิ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายงบรายจ่ายปี 2549 โดยตั้งฉายางบประมาณฉบับนี้ว่า “งบจอมเสี่ยง” เนื่องจากความเสี่ยง 3 ประการ คือ
1. งบจอมฝัน เป็นความเสี่ยงในการเก็บรายได้ไม่ถึงเป้า เพราะตั้งงบไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจ มหภาค จึงไม่มีทางที่เศรษฐกิจจะโตเหมือนที่รัฐบาลฝัน เพราะรัฐบาลตั้งงบจาก 4 สมมุติฐานซึ่งเป็นไปไม่ได้ คือ
1.รัฐบาลคิดฐานราคาน้ำมันที่ 42 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาเรล แต่แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะสูงกว่า 50 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาเรลและอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2. การส่งออกที่รัฐบาลบอกจะขยายตัวร้อยละ 18 เป็นไปได้ยาก เพราะการส่งออก 4 เดือนแรกขยายตัวแค่ 10.9% นั่นหมายความว่าอีก 8 เดือนที่เหลือต้องเค้นให้โตขยายเฉลี่ย 27.78% ซึ่งทำได้ยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะเศรษฐกิจโลกก็ชะลอตัว
3. รายได้จากนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 12.57 ล้านคน เป็นไปไม่ได้เพราะ นักท่องเที่ยวจะเข้าไทยไตรมาสแรกแค่ 2.59 ล้านคน ลดลงจากปีที่แล้ว 13% ประธานอนุกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดว่าในไตรมาสที่ 2 จะมีนักท่องเที่ยว 2.7 ล้านคน ถ้าจะทำตามเป้าอีก 6 เดือนต้องได้จำนวนนักท่องเที่ยว 7.26 ล้านคน คือทุกเดือนนักท่องเที่ยวจะต้องเพิ่มขึ้น 200,000 คน รัฐบาลจะทำได้หรือไม่
4. การเบิกจ่ายงบประมาณ รัฐบาลต้องเร่งล้างท่องบประมาณที่เบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 งบเพิ่มเติมปี 48 50,000 ล้านบาท งบประมาณปี 46 และ 47 ยังค้างอยู่อีก 4.8 หมื่นล้าน หมายความว่าถ้าจะเบิกให้ได้ร้อยละ 80 ตามเป้า ต้องเร่งเต็มที่ แต่ยากมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นงบลงทุน
ดร.เกรียงศักดิ์กล่าวต่อว่า สัดส่วนของรายได้ต่อจีดีพี รัฐบาลกำหนดไว้ 17.3% ของจีดีพีในปี 49 แต่ทุกปีที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจจะดีที่สุดตัวเลขก็อยู่ที่ไม่เกินประมาณนี้ ถ้าตั้งเป้า 17.3% ยอดรายได้ก็จะไม่ถึงอย่างที่ต้องการ เพราะปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เก็บภาษีได้ยากมาก ถ้าต้องการให้งบสมดุลก็ต้องใช้วิธีการขูดรีดภาษี ซึ่งจะทำความเดือดร้อนแก่ประชาชน
ส่วนความเสี่ยงประการที่ 2 คือ “งบอีแอบ” เพราะรัฐบาลเอาสิ่งที่จะเป็นหนี้ไปซ่อนไว้ในรูปแบบต่างๆในภาระผูกพัน เช่น ให้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยกู้ตามนโยบายของรัฐ นโยบายกองทุนหมู่บ้านต้องใช้หนี้ให้ธนาคารออมสินปีละ 10,000 ล้านบาท การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและกองทุนต่างๆ คือย้ายหนี้ภาครัฐออกจากบัญชีหนี้สาธารณะ เป็นต้น ซึ่งตนคำนวณแล้วว่าจะมีภาระหนี้ในอนาคตซ่อนไว้ 5.46 แสนล้านบาท
และความเสี่ยงสุดท้ายคือ ความเสี่ยงคอร์รัปชั่น เรียกว่า “งบจอมฮั้ว” รัฐตั้งงบเมกะโปรเจ็ค 94,600 ล้านบาท ทำให้ต้องเร่งผลักดันโครงการเต็มเหยียด เพื่อจะทำให้ทัน ทำให้ไม่มีแผนในการลงทุนที่ชัดเจน ไม่มีการศึกษาให้รอบคอบ ทำให้ต้องจ้างเอกชนในลักษณะของการเหมาเบ็ดเสร็จ ซึ่งค่าก่อสร้างมักจะสูงกว่าความเป็นจริง เพราะต้องตั้งประกันความเสี่ยงไว้ การควบคุมตรวจสอบก็ยาก ดังนั้นจึงเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการฮั้วกันง่ายมาก
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ก.ค. 2548--จบ--
1. งบจอมฝัน เป็นความเสี่ยงในการเก็บรายได้ไม่ถึงเป้า เพราะตั้งงบไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจ มหภาค จึงไม่มีทางที่เศรษฐกิจจะโตเหมือนที่รัฐบาลฝัน เพราะรัฐบาลตั้งงบจาก 4 สมมุติฐานซึ่งเป็นไปไม่ได้ คือ
1.รัฐบาลคิดฐานราคาน้ำมันที่ 42 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาเรล แต่แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะสูงกว่า 50 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาเรลและอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2. การส่งออกที่รัฐบาลบอกจะขยายตัวร้อยละ 18 เป็นไปได้ยาก เพราะการส่งออก 4 เดือนแรกขยายตัวแค่ 10.9% นั่นหมายความว่าอีก 8 เดือนที่เหลือต้องเค้นให้โตขยายเฉลี่ย 27.78% ซึ่งทำได้ยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะเศรษฐกิจโลกก็ชะลอตัว
3. รายได้จากนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 12.57 ล้านคน เป็นไปไม่ได้เพราะ นักท่องเที่ยวจะเข้าไทยไตรมาสแรกแค่ 2.59 ล้านคน ลดลงจากปีที่แล้ว 13% ประธานอนุกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดว่าในไตรมาสที่ 2 จะมีนักท่องเที่ยว 2.7 ล้านคน ถ้าจะทำตามเป้าอีก 6 เดือนต้องได้จำนวนนักท่องเที่ยว 7.26 ล้านคน คือทุกเดือนนักท่องเที่ยวจะต้องเพิ่มขึ้น 200,000 คน รัฐบาลจะทำได้หรือไม่
4. การเบิกจ่ายงบประมาณ รัฐบาลต้องเร่งล้างท่องบประมาณที่เบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 งบเพิ่มเติมปี 48 50,000 ล้านบาท งบประมาณปี 46 และ 47 ยังค้างอยู่อีก 4.8 หมื่นล้าน หมายความว่าถ้าจะเบิกให้ได้ร้อยละ 80 ตามเป้า ต้องเร่งเต็มที่ แต่ยากมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นงบลงทุน
ดร.เกรียงศักดิ์กล่าวต่อว่า สัดส่วนของรายได้ต่อจีดีพี รัฐบาลกำหนดไว้ 17.3% ของจีดีพีในปี 49 แต่ทุกปีที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจจะดีที่สุดตัวเลขก็อยู่ที่ไม่เกินประมาณนี้ ถ้าตั้งเป้า 17.3% ยอดรายได้ก็จะไม่ถึงอย่างที่ต้องการ เพราะปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เก็บภาษีได้ยากมาก ถ้าต้องการให้งบสมดุลก็ต้องใช้วิธีการขูดรีดภาษี ซึ่งจะทำความเดือดร้อนแก่ประชาชน
ส่วนความเสี่ยงประการที่ 2 คือ “งบอีแอบ” เพราะรัฐบาลเอาสิ่งที่จะเป็นหนี้ไปซ่อนไว้ในรูปแบบต่างๆในภาระผูกพัน เช่น ให้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยกู้ตามนโยบายของรัฐ นโยบายกองทุนหมู่บ้านต้องใช้หนี้ให้ธนาคารออมสินปีละ 10,000 ล้านบาท การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและกองทุนต่างๆ คือย้ายหนี้ภาครัฐออกจากบัญชีหนี้สาธารณะ เป็นต้น ซึ่งตนคำนวณแล้วว่าจะมีภาระหนี้ในอนาคตซ่อนไว้ 5.46 แสนล้านบาท
และความเสี่ยงสุดท้ายคือ ความเสี่ยงคอร์รัปชั่น เรียกว่า “งบจอมฮั้ว” รัฐตั้งงบเมกะโปรเจ็ค 94,600 ล้านบาท ทำให้ต้องเร่งผลักดันโครงการเต็มเหยียด เพื่อจะทำให้ทัน ทำให้ไม่มีแผนในการลงทุนที่ชัดเจน ไม่มีการศึกษาให้รอบคอบ ทำให้ต้องจ้างเอกชนในลักษณะของการเหมาเบ็ดเสร็จ ซึ่งค่าก่อสร้างมักจะสูงกว่าความเป็นจริง เพราะต้องตั้งประกันความเสี่ยงไว้ การควบคุมตรวจสอบก็ยาก ดังนั้นจึงเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการฮั้วกันง่ายมาก
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ก.ค. 2548--จบ--