ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครึ่งแรกปี 48 ประสบภาวะชะลอตัว รายงานข่าวจากธนาคารแห่ง
ประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งแรกของปี 48 ค่อนข้างชะลอตัวลง โดยใน
ครึ่งปีแรกมีมูลค่าการซื้อขายที่ดินทั้งประเทศอยู่ที่ 292,735 ล.บาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.6% ขณะ
ที่ไตรมาสที่ 2 มูลค่าการซื้อขายที่ดินทั้งประเทศลดลง 0.8% นอกจากนี้ พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัย
ในเขตเทศบาลทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวน 6,823 พัน ตรม. ลดลง 8.8% ส่วนพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง
ประเภทที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวน 4,191 พัน ตรม. ลดลง 11.6% นอกจากนี้ ที่อยู่อาศัย
สร้างเสร็จและจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวน 32,400 หน่วย ขยายตัว 24.3% แต่ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็น
เดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 2 มีจำนวนที่อยู่อาศัยจดทะเบียนเพิ่มลดลง 2.1% โดยเฉพาะในส่วนของบ้านจัดสรรที่ลด
ลงถึง 24.4% ทั้งนี้ เป็นผลจากผู้ประกอบการส่วนหนึ่งเริ่มปรับลดสัดส่วนของบ้านสร้างเสร็จก่อนขายเพื่อลดภาระ
เนื่องจากความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง จากราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้น ด้านราคาที่อยู่
อาศัย พบว่า ในไตรมาสที่ 2 ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินขยายตัว 7.8% ขณะที่ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์พร้อมที่ดิน
ขยายตัว 5.3% ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัว 1.8% (มติชน, ไทยโพสต์)
2. ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ รายงานข่าวเปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้น
ไทยเริ่มฟื้นตัวจากระดับ 660 จุดในกลางเดือน ส.ค. และพุ่งสู่ระดับ 700 จุดอยู่ 3-4 รอบ ก่อนจะมาทะลุ 700
จุดเมื่อวันที่ 1 ก.ย.48 ที่ผ่านมา โดยปิดที่ระดับ 710 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขาย 2.88 หมื่น ล.บาท นับตั้งแต่
วันที่ 2 มี.ค.48 ซึ่งมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 2.9 หมื่น ล.บาท สำหรับแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทย
คึกคักขึ้นคือ การที่นักลงทุนต่างชาติโหมเข้าซื้อหุ้นไทย ซึ่งจากความเห็นของนักวิเคราะห์หลายสำนักระบุตรงกันว่า
เป็นเม็ดเงินที่เคลื่อนย้ายจากประเทศอินโดนีเซีย หลังจากค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลงต่อเนื่องจนน่าวิตกในวันที่ 29 ส.
ค.48 ที่ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปี ประกอบกับการที่เอสแอนด์พีออกมาระบุว่า ความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจ
อินโดนีเซียกำลังลดลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอาจจะเป็นภาวะชั่ว
คราว เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (ผู้จัดการรายวัน)
3. รัฐบาลเตรียมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รอง
นรม. และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
และเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน 5 ปี โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลปรับแนวทาง
การส่งเสริมการลงทุน ทำให้กลุ่มนักลงทุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามลงทุนในประเทศไทย
มากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้มีการลงทุนในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ การทำเขตการค้าเสรี (เอ
ฟทีเอ) กับญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเตรียมการส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงขยายตัวอยู่เหนือระดับร้อยละ 4.0 ในปีนี้และปีหน้า แม้
ว่าจะมีความเสี่ยงจากภาวะราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 3 ก.ย. 48 Managing
Director ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มั่นใจว่า แนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ของโลกจะยังคงอยู่เหนือระดับร้อยละ 4.0 ในปีนี้และปีหน้า แต่ก็ได้กล่าวเตือนถึงระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อ
เนื่องว่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลกในอนาคต ซึ่งก่อนหน้านี้ในรายงานฉบับเดือน เม.ย.48 ของ
ไอเอ็มเอฟชี้ว่า ในปี 48 จะลดลงเหลือร้อยละ 4.3 จากร้อยละ 5.1 ในปี 47 นอกจากนี้ MD ของไอเอ็มเอฟยัง
ให้ความเห็นอีกว่า จากเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาถล่มชายฝั่งทะเลของ สรอ. อาจก่อให้เกิดภาวะการขาด
แคลนพลังงานตามมา ส่งผลให้ สรอ.ต้องเพิ่มขึ้นกำลังการผลิตน้ำมันในระยะยาว ซึ่งระดับราคาน้ำมันในสัปดาห์ก่อน
พุ่งทะยานสูงขึ้นในระดับเกือบ 71 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถประมาณความเสียหาย
ของเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนได้ในขณะนี้ แต่ที่ผ่านมาเศรษฐกิจ สรอ.ในไตรมาส 2 ปี 48 ขยายตัวร้อยละ 3.3
เทียบต่อปี ลดลงจากร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเยอรมนีจะขาดดุล งปม. ปีนี้ 22 พันล้านยูโร หรือร้อยละ 3.7 ของจีดีพี รายงาน
จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 ก.ย.48 นสพ. Financial Times รายงานว่า เยอรมนีจะขาด
ดุลในการจัดทำ งปม.กลางปีนี้อย่างต่ำ 13 พันล้านยูโร (16.32 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) มากกว่าที่ รมว.คลัง
ของเยอรมนีคาดการณ์ไว้ และคาดว่าการขาดดุล งปม. ทั้งหมดที่รวมถึง งปม.กลาง งปม.ของแต่ละรัฐ และ
งปม.เทศบาล จะมียอดรวม 22 พันล้านยูโร หรือคิดเป็นร้อยละ 3.7 ของจีดีพีในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขาดดุล งปม.
ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 และเป็นการละเมิดกฎของสหภาพยุโรปที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องรักษาการขาดดุล งปม.
ประจำปีได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของจีดีพี ในขณะที่โฆษก ก.คลังกล่าวว่าจะพยายามทำให้การขาดดุล งปม. กลับมา
อยู่ในระดับ 21.5 พันล้านยูโร ในปี 49 ถ้าสภาสูงของเยอรมนีไม่ตัดลด งปม. การใช้จ่ายจำนวน 17 พันล้านยู
โร ที่ ก.คลังเสนอไป (รอยเตอร์)
3. ผู้ประกอบการในอังกฤษคาดว่าคำสั่งซื้อสินค้าในอนาคตจะเพิ่มขึ้น รายงานจากลอนดอน เมื่อ 5
ก.ย.48 จากผลสำรวจล่าสุดของ Engineering Employers’ Federation-EEF พบว่า ผู้ประกอบการใน
อังกฤษคาดการณ์ว่าคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลผลิตโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าข้อมูลทางการจะระบุ
ว่าผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะลดลงจนอยู่ในภาวะถดถอยในปีนี้ โดยร้อยละ 8 ของบริษัทที่ทำการสำรวจ
คาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เทียบกับที่มีเพียงร้อยละ 1.0 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ
27 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ความสมดุลของความคาดหวังสำหรับคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ
10 จากระดับ 3 เนื่องจากความต้องการจาก สรอ.และประเทศในแถบเอเชียจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ อย่างไร
ก็ตาม แม้มุมมองตัวเลขดังกล่าวจะสูงขึ้นแต่ผลสำรวจภาคอุตสาหกรรมในเดือน ส.ค.48 เมื่อสัปดาห์ก่อนชะลอตัวต่อ
เนื่องเป็นเดือนที่ 4 ขณะที่ EEF กล่าวว่าคำสั่งซื้อภายในประเทศจะยังคงชะลอตัว แม้ว่าจะดีกว่าคำสั่งซื้อที่แท้จริง
ใน 3 เดือนก่อน (รอยเตอร์)
4. กิจการของญี่ปุ่นใช้จ่ายลงทุนในโรงงานและเครื่องจักรเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ รายงานจาก
โตเกียว เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 48 ผลการสำรวจของทางการญี่ปุ่นชี้ว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 48 กิจการในญี่ปุ่นใช้จ่ายลง
ทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากระยะเดียวกันปีที่แล้วใกล้เคียงกับที่ขยายตัวร้อยละ 7.4 ใน
ไตรมาสที่ 1 น้อยกว่าผลการสำรวจของรอยเตอร์ซึ่งคาดว่าการใช้จ่ายลงทุนของกิจการจะเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ
3.0 — 7.5 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับที่ประมาณการณ์เบื้องต้นที่ร้อยละ
0.3 ซึ่งการใช้จ่ายลงทุนของกิจการเป็นส่วนกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นพ้นจากภาวะอ่อนแอเมื่อเร็วๆนี้ ทั้งนี้
มีบริษัทจำนวน 20,214 แห่งที่ตอบแบบสอบถามแสดงถึงการลงทุนในช่วงเดือนเม.ย. — มิ.ย. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 5 ก.ย. 48 2 ก.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.054 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8569/41.1440 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.91319 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 709.97/ 24.59 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,600/8,700 8,600/8,700 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.12 59.68 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.94*/23.39 26.54/23.39 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 4 ก.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครึ่งแรกปี 48 ประสบภาวะชะลอตัว รายงานข่าวจากธนาคารแห่ง
ประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งแรกของปี 48 ค่อนข้างชะลอตัวลง โดยใน
ครึ่งปีแรกมีมูลค่าการซื้อขายที่ดินทั้งประเทศอยู่ที่ 292,735 ล.บาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.6% ขณะ
ที่ไตรมาสที่ 2 มูลค่าการซื้อขายที่ดินทั้งประเทศลดลง 0.8% นอกจากนี้ พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัย
ในเขตเทศบาลทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวน 6,823 พัน ตรม. ลดลง 8.8% ส่วนพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง
ประเภทที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวน 4,191 พัน ตรม. ลดลง 11.6% นอกจากนี้ ที่อยู่อาศัย
สร้างเสร็จและจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวน 32,400 หน่วย ขยายตัว 24.3% แต่ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็น
เดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 2 มีจำนวนที่อยู่อาศัยจดทะเบียนเพิ่มลดลง 2.1% โดยเฉพาะในส่วนของบ้านจัดสรรที่ลด
ลงถึง 24.4% ทั้งนี้ เป็นผลจากผู้ประกอบการส่วนหนึ่งเริ่มปรับลดสัดส่วนของบ้านสร้างเสร็จก่อนขายเพื่อลดภาระ
เนื่องจากความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง จากราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้น ด้านราคาที่อยู่
อาศัย พบว่า ในไตรมาสที่ 2 ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินขยายตัว 7.8% ขณะที่ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์พร้อมที่ดิน
ขยายตัว 5.3% ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัว 1.8% (มติชน, ไทยโพสต์)
2. ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ รายงานข่าวเปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้น
ไทยเริ่มฟื้นตัวจากระดับ 660 จุดในกลางเดือน ส.ค. และพุ่งสู่ระดับ 700 จุดอยู่ 3-4 รอบ ก่อนจะมาทะลุ 700
จุดเมื่อวันที่ 1 ก.ย.48 ที่ผ่านมา โดยปิดที่ระดับ 710 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขาย 2.88 หมื่น ล.บาท นับตั้งแต่
วันที่ 2 มี.ค.48 ซึ่งมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 2.9 หมื่น ล.บาท สำหรับแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทย
คึกคักขึ้นคือ การที่นักลงทุนต่างชาติโหมเข้าซื้อหุ้นไทย ซึ่งจากความเห็นของนักวิเคราะห์หลายสำนักระบุตรงกันว่า
เป็นเม็ดเงินที่เคลื่อนย้ายจากประเทศอินโดนีเซีย หลังจากค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลงต่อเนื่องจนน่าวิตกในวันที่ 29 ส.
ค.48 ที่ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปี ประกอบกับการที่เอสแอนด์พีออกมาระบุว่า ความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจ
อินโดนีเซียกำลังลดลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอาจจะเป็นภาวะชั่ว
คราว เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (ผู้จัดการรายวัน)
3. รัฐบาลเตรียมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รอง
นรม. และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
และเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน 5 ปี โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลปรับแนวทาง
การส่งเสริมการลงทุน ทำให้กลุ่มนักลงทุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามลงทุนในประเทศไทย
มากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้มีการลงทุนในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ การทำเขตการค้าเสรี (เอ
ฟทีเอ) กับญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเตรียมการส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงขยายตัวอยู่เหนือระดับร้อยละ 4.0 ในปีนี้และปีหน้า แม้
ว่าจะมีความเสี่ยงจากภาวะราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 3 ก.ย. 48 Managing
Director ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มั่นใจว่า แนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ของโลกจะยังคงอยู่เหนือระดับร้อยละ 4.0 ในปีนี้และปีหน้า แต่ก็ได้กล่าวเตือนถึงระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อ
เนื่องว่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลกในอนาคต ซึ่งก่อนหน้านี้ในรายงานฉบับเดือน เม.ย.48 ของ
ไอเอ็มเอฟชี้ว่า ในปี 48 จะลดลงเหลือร้อยละ 4.3 จากร้อยละ 5.1 ในปี 47 นอกจากนี้ MD ของไอเอ็มเอฟยัง
ให้ความเห็นอีกว่า จากเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาถล่มชายฝั่งทะเลของ สรอ. อาจก่อให้เกิดภาวะการขาด
แคลนพลังงานตามมา ส่งผลให้ สรอ.ต้องเพิ่มขึ้นกำลังการผลิตน้ำมันในระยะยาว ซึ่งระดับราคาน้ำมันในสัปดาห์ก่อน
พุ่งทะยานสูงขึ้นในระดับเกือบ 71 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถประมาณความเสียหาย
ของเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนได้ในขณะนี้ แต่ที่ผ่านมาเศรษฐกิจ สรอ.ในไตรมาส 2 ปี 48 ขยายตัวร้อยละ 3.3
เทียบต่อปี ลดลงจากร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเยอรมนีจะขาดดุล งปม. ปีนี้ 22 พันล้านยูโร หรือร้อยละ 3.7 ของจีดีพี รายงาน
จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 ก.ย.48 นสพ. Financial Times รายงานว่า เยอรมนีจะขาด
ดุลในการจัดทำ งปม.กลางปีนี้อย่างต่ำ 13 พันล้านยูโร (16.32 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) มากกว่าที่ รมว.คลัง
ของเยอรมนีคาดการณ์ไว้ และคาดว่าการขาดดุล งปม. ทั้งหมดที่รวมถึง งปม.กลาง งปม.ของแต่ละรัฐ และ
งปม.เทศบาล จะมียอดรวม 22 พันล้านยูโร หรือคิดเป็นร้อยละ 3.7 ของจีดีพีในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขาดดุล งปม.
ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 และเป็นการละเมิดกฎของสหภาพยุโรปที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องรักษาการขาดดุล งปม.
ประจำปีได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของจีดีพี ในขณะที่โฆษก ก.คลังกล่าวว่าจะพยายามทำให้การขาดดุล งปม. กลับมา
อยู่ในระดับ 21.5 พันล้านยูโร ในปี 49 ถ้าสภาสูงของเยอรมนีไม่ตัดลด งปม. การใช้จ่ายจำนวน 17 พันล้านยู
โร ที่ ก.คลังเสนอไป (รอยเตอร์)
3. ผู้ประกอบการในอังกฤษคาดว่าคำสั่งซื้อสินค้าในอนาคตจะเพิ่มขึ้น รายงานจากลอนดอน เมื่อ 5
ก.ย.48 จากผลสำรวจล่าสุดของ Engineering Employers’ Federation-EEF พบว่า ผู้ประกอบการใน
อังกฤษคาดการณ์ว่าคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลผลิตโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าข้อมูลทางการจะระบุ
ว่าผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะลดลงจนอยู่ในภาวะถดถอยในปีนี้ โดยร้อยละ 8 ของบริษัทที่ทำการสำรวจ
คาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เทียบกับที่มีเพียงร้อยละ 1.0 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ
27 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ความสมดุลของความคาดหวังสำหรับคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ
10 จากระดับ 3 เนื่องจากความต้องการจาก สรอ.และประเทศในแถบเอเชียจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ อย่างไร
ก็ตาม แม้มุมมองตัวเลขดังกล่าวจะสูงขึ้นแต่ผลสำรวจภาคอุตสาหกรรมในเดือน ส.ค.48 เมื่อสัปดาห์ก่อนชะลอตัวต่อ
เนื่องเป็นเดือนที่ 4 ขณะที่ EEF กล่าวว่าคำสั่งซื้อภายในประเทศจะยังคงชะลอตัว แม้ว่าจะดีกว่าคำสั่งซื้อที่แท้จริง
ใน 3 เดือนก่อน (รอยเตอร์)
4. กิจการของญี่ปุ่นใช้จ่ายลงทุนในโรงงานและเครื่องจักรเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ รายงานจาก
โตเกียว เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 48 ผลการสำรวจของทางการญี่ปุ่นชี้ว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 48 กิจการในญี่ปุ่นใช้จ่ายลง
ทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากระยะเดียวกันปีที่แล้วใกล้เคียงกับที่ขยายตัวร้อยละ 7.4 ใน
ไตรมาสที่ 1 น้อยกว่าผลการสำรวจของรอยเตอร์ซึ่งคาดว่าการใช้จ่ายลงทุนของกิจการจะเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ
3.0 — 7.5 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับที่ประมาณการณ์เบื้องต้นที่ร้อยละ
0.3 ซึ่งการใช้จ่ายลงทุนของกิจการเป็นส่วนกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นพ้นจากภาวะอ่อนแอเมื่อเร็วๆนี้ ทั้งนี้
มีบริษัทจำนวน 20,214 แห่งที่ตอบแบบสอบถามแสดงถึงการลงทุนในช่วงเดือนเม.ย. — มิ.ย. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 5 ก.ย. 48 2 ก.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.054 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8569/41.1440 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.91319 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 709.97/ 24.59 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,600/8,700 8,600/8,700 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.12 59.68 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.94*/23.39 26.54/23.39 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 4 ก.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--