ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ภาพรวมของสถาบันการเงินไทยขณะนี้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของระบบสถาบันการเงินไทยในการพูดคุยกับนัก
วิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า ภาพรวมของสถาบันการเงินไทยขณะนี้ดีขึ้น ทั้งในส่วนของการทำกำไร และการขยายตัวของ
สินเชื่อ โดยกำไรสุทธิของสถาบันการเงินในครึ่งแรกปีนี้มีจำนวน 58.9 พัน ล.บาท ขณะที่กำไรจากอัตราดอกเบี้ย
สุทธิปรับตัวดีขึ้นถึงระดับ 2.7% และอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ดีขึ้นอยู่ในระดับ 1.6 เท่า ซึ่งเพียงพอต่อการลงทุน
เพื่อขยายกิจการในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัวลดลงในครึ่ง
แรกของปีนี้ โดยขยายตัวเพียง 1% ลดลงมากจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ถึง 20.5% สาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่
เพิ่ม ทำให้กลไกตลาดปรับตัวในทิศทางดังกล่าว สำหรับประเด็นที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของสถาบัน
การเงินคือ เรื่องของสัดส่วนเอ็นพีแอล ซึ่งในครึ่งแรกของปีนี้มีสัดส่วน 10.5% ต่อสินเชื่อรวม ทั้งนี้ คาดว่าหากไม่มี
การเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ้นปีนี้เอ็นพีแอลน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 10% และจะสามารถลดลงเรื่อยๆ จนเหลือ 2%
ในปี 50 ได้ (กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.อนุญาตให้มีการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพื่อสนับสนุนโครงการกองทุน พธบ.
เอเชีย รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้แจ้งผู้ได้รับอนุญาตให้ลงทุนใน
หลักทรัพย์ต่างประเทศ ถึงหลักเกณฑ์การลงทุนใน พธบ.เอเชีย (เอเชียบอนด์) ของประเทศกลุ่ม EMEAP
(Executives’ Meeting of East Asia and Pacific Central Banks) ประกอบด้วย บริษัทประกัน
ชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนประกันสังคมและสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้ง
โดยกำหนดวงเงินลงทุนจำนวน 1,500 ล.ดอลลาร์ สรอ. สำหรับกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ธปท.ได้
กำหนดวงเงินลงทุน 500 ล.ดอลลาร์ สรอ. โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เป็นผู้พิจารณาจัดสรรผู้ลงทุนทั้งสองประเภท ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนไทยเพิ่มพูนประสบการณ์การลงทุนในตลาดตราสาร
ทางการเงินระหว่างประเทศ และเพิ่มช่องทางลงทุนแก่ผู้มีเงินออมให้ลงทุนในหลักทรัพย์ได้หลากหลายขึ้น อย่างไรก็
ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุนต้องมีการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงให้รอบคอบ และมีการบริหารความเสี่ยงที่เพียง
พอและเหมาะสมกับความเสี่ยงของหลักทรัพย์ (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
3. เครดิตบูโรยืนยันไม่มีการล้างข้อมูลประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้แม้จะชำระหนี้หมดแล้ว
กรรมการผู้จัดการบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า แม้รัฐบาลจะรับซื้อหนี้เสียที่ค้างชำระและ
ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตั้งแต่เดือน มิ.ย.48 ย้อนลงไปของประชาชนรายละไม่เกิน 2 แสนบาทจากสถาบันการเงิน
นั้น ไม่ได้ทำให้ประวัติการค้างชำระหนี้ของลูกหนี้รายนั้นหายไปจากระบบ โดยประวัติการชำระหนี้ในอดีตที่ผ่านมาก็
ยังคงอยู่ เครดิตบูโรไม่สามารถล้างข้อมูลประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ เพราะการแก้ไขข้อมูลหรือแจ้งข้อมูล
เท็จมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งข้อมูลประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้ จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถตัดสินใจในการ
ให้สินเชื่อแต่ละรายตามความเสี่ยงได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันเครดิตบูโรมีบริษัทสมาชิกจำนวน 70 บริษัท มีฐานข้อมูลลูกค้า
ประมาณ 24 ล้านบัญชี ซึ่งมีอัตราการตรวจสอบข้อมูลประมาณ 30,000 รายการ หรือเดือนละ 8 แสนรายการ
(โพสต์ทูเดย์)
4. คาดว่าการส่งออกในเดือน ก.ย.48 จะมีมูลค่าเกิน 10,000 ล.ดอลลาร์ สรอ. รมว.
พาณิชย์ เปิดเผยว่า คาดว่าการส่งออกของไทยในเดือน ก.ย.48 จะมีมูลค่าเกิน 10,000 ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือ
คิดเป็นอัตราการขยายตัวเกิน 20% เนื่องจากการส่งออกไปได้ดีทุกรายการสินค้า ส่วนดุลการค้าทั้งปีต้องรอดูตัวเลข
การนำเข้าและส่งออก เนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าบางชนิด โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ซึ่งถือเป็นสินค้า
หลักที่ไทยมีการนำเข้าสูงทั้งปริมาณและมูลค่า สำหรับอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย.48 ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6% เป็น
ตัวเลขที่ยังไม่น่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศอื่นๆ เพราะถือเป็นปัญหาที่ทุกประเทศประสบ
จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับเงินเฟ้อไม่เกิน 6% ได้ อย่างไรก็
ตาม ต้องติดตามอัตราค่าไฟฟ้าและค่าขนส่ง เพราะทั้ง 2 ปัจจัยนี้มีผลต่อเงินเฟ้อเป็นอย่างมาก (ไทยโพสต์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การเกษียณอายุของประธาน ธ.กลาง สรอ. ไม่น่าจะส่งผลต่อทิศทางตลาดการเงินในปัจจุบันมาก
นัก รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 17 ต.ค.48 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจ
ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ของตลาดการเงินทั่วโลก จำนวน 35 คน ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป
และเอเชีย คาดการณ์ว่า การเกษียณอายุของ Alan Greenspan ประธานธนาคารกลาง สรอ. ในวันที่ 31 ม.
ค.49 น่าจะมีผลต่อตลาดพันธบัตรมากกว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ สรอ. หรือตลาดหุ้น ในขณะที่ผู้เชี่ยว
ชาญฯ เกือบทั้งหมดมีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธาน ธ.กลาง สรอ. ไม่น่าจะเป็นไปในทิศทางตรง
กันข้ามกับแนวโน้มในปัจจุบันที่ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งตัวขึ้น หรือผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดต่ำลง ตราบเท่าที่
ประธานธนาคารกลาง สรอ. คนใหม่เป็นผู้ที่ตลาดการเงินทั่วไปเห็นว่ามีความเหมาะสม ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญฯ กว่า
ครึ่งหนึ่งคาดว่า Ben Bernanke ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาว และอดีตผู้ว่าการธนาคารกลาง จะเป็นผู้
ที่มีโอกาสสูงสุดที่จะได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวแทน ตามด้วย Glenn Hubbard อดีตที่ปรึกษา
ทำเนียบขาว Donald Kohn อดีตผู้ว่าการธนาคารกลาง Martin Feldstein นักเศรษฐศาสตร์จากฮาร์เวอร์ด
และ John Snow รมว.คลัง สรอ. (รอยเตอร์)
2. ราคาน้ำมันสำหรับรถยนต์ (Gasoline) ของสรอ.ลดลงอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รายงานจาก
วอชิงตันเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 48 Enery Information Administration — EIA ของสรอ.เปิดเผยว่า ราคา
ขายปลีกน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดลงอีกครั้งอยู่ที่แกลลอนละ 2.73 ดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากต้น
ทุนราคาน้ำมันลดลง 12.3 เซนต์ ทั้งนี้ก่อนหน้านั้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันที่จุดเติมน้ำมันของทางการลดลง
20 เซนต์แต่ยังคงสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 69 เซนต์ การลดลงของราคาน้ำมันเบนซินดังกล่าวสะท้อนถึงต้นทุน
น้ำมันดิบที่ลดลง รวมทั้งความต้องการน้ำมันสำหรับรถยนต์ได้ลดลงด้วยหลังจากผู้บริโภคลดการใช้น้ำมันลงเนื่อง
จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมาจากผลกระทบพายุเฮอริเคนแคทรีนาที่ส่งผลกระทบต่อ
การผลิตน้ำมัน และแม้ว่าผู้ผลิตน้ำมันส่วนใหญ่ได้กลับมาผลิตน้ำมันอีกครั้งแต่การบริโภคน้ำมันก็ยังคงลดลงอยู่เนื่อง
จากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงประกอบกับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ประหยัดการใช้น้ำมันเท่าที่จำเป็น นอก
จากนั้นผลการสำรวจรายสัปดาห์ของ EIA ราคาน้ำมันเบนซินในแถบ West Coast ซึ่งเคยแพงที่สุดในท้องถิ่นราคา
ได้ลดลง 6 เซนต์อยู่ที่แกลลอนละ 2.87 ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ San Francisco ซึ่งมีระดับราคาน้ำมันที่แพงที่สุด
ในเมืองราคาน้ำมันได้ลดลง 7.1 เซนต์อยู่ที่แกลลอนละ 2.95 ดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
3. การส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันของสิงคโปร์ในเดือน ก.ย.48 และยอดขายปลีกในเดือน ส.
ค.48 ลดลงอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 3.3 และ 2.3 ตามลำดับ รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 17 ต.ค.48
Trade agency International Enterprise เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า การส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันของ
สิงคโปร์ในเดือน ก.ย.48 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ร้อยละ 3.3 จากเดือนก่อนหน้า (ตัวเลขหลังปรับปัจจัย
ทางฤดูกาลแล้ว) สวนทางกับที่ประมาณการก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ขณะที่ยอดขายปลีกในเดือน ส.
ค.48 ก็ลดลงร้อยละ 2.3 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) เทียบต่อเดือน ตรงข้ามกับที่ผลสำรวจรอยเตอร์
คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ประมาณการล่วงหน้าจากตัวเลขชี้วัดในเดือน ก.ค.และ
ส.ค.48 ว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปี 48 จะขยายตัว 110 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 3.2
เมื่อเทียบต่อปี ขณะที่ ธ.กลางสิงคโปร์เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์ทั้งปี 48 น่าจะขยายตัวใน
ระดับสูงสุดตามที่รัฐบาลประมาณการไว้ว่าจะขยายตัวระหว่างร้อยละ 3.5-4.5 เนื่องจากผลผลิตภาคอุตสาหกรรม
อิเล็กทรอนิกส์และยารักษาโรคเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยการส่งออกสินค้าภาคอุตสาห
กรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นถึงร้อย
ละ 4.6 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) หลังจากที่ลดลงร้อยละ 6.2 ในเดือน ส.ค.48 ขณะที่การส่งออก
ผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันในเดือน ก.ย.48 ลดลง
ร้อยละ 22.1 จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ผลผลิตจากบริษัทผู้ผลิตยา เช่น บริษัท Glaxo Smith Kline และ Pfizer
มีแนวโน้มว่าจะมีความผันผวน เนื่องจากบริษัทมีการปิดโรงงานชั่วคราวเพื่อปรับปรุงหรือเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่
อนึ่ง การส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันเมื่อเทียบต่อปีลดลงร้อยละ 0.4 อยู่ที่จำนวน 12.2 พัน ล.ดอลลาร์สิงคโปร์
(7.21 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) สวนทางกับที่ประมาณการไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 (รอยเตอร์)
4. คาดว่ายอดส่งออกของเกาหลีใต้ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 ต่อปี รายงานจากโซล
เมื่อ 17 ต.ค.48 รมต.กระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงานของเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์ว่าสินค้าเทคโนโลยี
สารสนเทศ รถยนต์และเรือจะทำให้ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในปีหน้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 ต่อปี และคาด
ว่ายอดส่งออกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 12.1 ต่อปีตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ อย่างไรก็ดี ประมาณการยอดส่ง
ออกในปีหน้าดังกล่าวสูงกว่าที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจซัมซุงคาดไว้ที่ร้อยละ 8.6 ต่อปี โดยเมื่อปีที่แล้วยอดส่งออกของ
เกาหลีใต้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 31 จากการขยายตัวของยอดส่งออกไปยังจีน อย่างไรก็ดีค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ที่สูง
ขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับเงินเยนในช่วงปีที่ผ่านมาคาดว่าจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกเกาหลี
ใต้ลดลงเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งการค้าสำคัญของเกาหลีใต้ นอกจากนี้เกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศผู้ซื้อ
น้ำมันรายใหญ่ลำดับที่ 4 ของโลกยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณาขายหุ้นใน
บริษัท Korea National Oil Corp หรือ KNOC ซึ่งเป็นกิจการของรัฐให้กับบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลกเพื่อหวัง
จะได้น้ำมันจำนวน 55,000 บาร์เรลต่อวันและก๊าซธรรมชาติมาใช้ในประเทศภายในปี 56 จากการมีหุ้นส่วนใน
โครงการขุดเจาะน้ำมันนอกประเทศของบริษัทน้ำมันรายใหญ่เหล่านี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ต.ค. 48 17 ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.82 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6169/40.9126 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.53861 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 696.28/ 10.00 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,150/9,250 9,100/9,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.95 54.18 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.34*/24.19 27.34*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 10 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ภาพรวมของสถาบันการเงินไทยขณะนี้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของระบบสถาบันการเงินไทยในการพูดคุยกับนัก
วิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า ภาพรวมของสถาบันการเงินไทยขณะนี้ดีขึ้น ทั้งในส่วนของการทำกำไร และการขยายตัวของ
สินเชื่อ โดยกำไรสุทธิของสถาบันการเงินในครึ่งแรกปีนี้มีจำนวน 58.9 พัน ล.บาท ขณะที่กำไรจากอัตราดอกเบี้ย
สุทธิปรับตัวดีขึ้นถึงระดับ 2.7% และอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ดีขึ้นอยู่ในระดับ 1.6 เท่า ซึ่งเพียงพอต่อการลงทุน
เพื่อขยายกิจการในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัวลดลงในครึ่ง
แรกของปีนี้ โดยขยายตัวเพียง 1% ลดลงมากจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ถึง 20.5% สาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่
เพิ่ม ทำให้กลไกตลาดปรับตัวในทิศทางดังกล่าว สำหรับประเด็นที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของสถาบัน
การเงินคือ เรื่องของสัดส่วนเอ็นพีแอล ซึ่งในครึ่งแรกของปีนี้มีสัดส่วน 10.5% ต่อสินเชื่อรวม ทั้งนี้ คาดว่าหากไม่มี
การเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ้นปีนี้เอ็นพีแอลน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 10% และจะสามารถลดลงเรื่อยๆ จนเหลือ 2%
ในปี 50 ได้ (กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.อนุญาตให้มีการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพื่อสนับสนุนโครงการกองทุน พธบ.
เอเชีย รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้แจ้งผู้ได้รับอนุญาตให้ลงทุนใน
หลักทรัพย์ต่างประเทศ ถึงหลักเกณฑ์การลงทุนใน พธบ.เอเชีย (เอเชียบอนด์) ของประเทศกลุ่ม EMEAP
(Executives’ Meeting of East Asia and Pacific Central Banks) ประกอบด้วย บริษัทประกัน
ชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนประกันสังคมและสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้ง
โดยกำหนดวงเงินลงทุนจำนวน 1,500 ล.ดอลลาร์ สรอ. สำหรับกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ธปท.ได้
กำหนดวงเงินลงทุน 500 ล.ดอลลาร์ สรอ. โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เป็นผู้พิจารณาจัดสรรผู้ลงทุนทั้งสองประเภท ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนไทยเพิ่มพูนประสบการณ์การลงทุนในตลาดตราสาร
ทางการเงินระหว่างประเทศ และเพิ่มช่องทางลงทุนแก่ผู้มีเงินออมให้ลงทุนในหลักทรัพย์ได้หลากหลายขึ้น อย่างไรก็
ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุนต้องมีการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงให้รอบคอบ และมีการบริหารความเสี่ยงที่เพียง
พอและเหมาะสมกับความเสี่ยงของหลักทรัพย์ (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
3. เครดิตบูโรยืนยันไม่มีการล้างข้อมูลประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้แม้จะชำระหนี้หมดแล้ว
กรรมการผู้จัดการบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า แม้รัฐบาลจะรับซื้อหนี้เสียที่ค้างชำระและ
ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตั้งแต่เดือน มิ.ย.48 ย้อนลงไปของประชาชนรายละไม่เกิน 2 แสนบาทจากสถาบันการเงิน
นั้น ไม่ได้ทำให้ประวัติการค้างชำระหนี้ของลูกหนี้รายนั้นหายไปจากระบบ โดยประวัติการชำระหนี้ในอดีตที่ผ่านมาก็
ยังคงอยู่ เครดิตบูโรไม่สามารถล้างข้อมูลประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ เพราะการแก้ไขข้อมูลหรือแจ้งข้อมูล
เท็จมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งข้อมูลประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้ จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถตัดสินใจในการ
ให้สินเชื่อแต่ละรายตามความเสี่ยงได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันเครดิตบูโรมีบริษัทสมาชิกจำนวน 70 บริษัท มีฐานข้อมูลลูกค้า
ประมาณ 24 ล้านบัญชี ซึ่งมีอัตราการตรวจสอบข้อมูลประมาณ 30,000 รายการ หรือเดือนละ 8 แสนรายการ
(โพสต์ทูเดย์)
4. คาดว่าการส่งออกในเดือน ก.ย.48 จะมีมูลค่าเกิน 10,000 ล.ดอลลาร์ สรอ. รมว.
พาณิชย์ เปิดเผยว่า คาดว่าการส่งออกของไทยในเดือน ก.ย.48 จะมีมูลค่าเกิน 10,000 ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือ
คิดเป็นอัตราการขยายตัวเกิน 20% เนื่องจากการส่งออกไปได้ดีทุกรายการสินค้า ส่วนดุลการค้าทั้งปีต้องรอดูตัวเลข
การนำเข้าและส่งออก เนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าบางชนิด โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ซึ่งถือเป็นสินค้า
หลักที่ไทยมีการนำเข้าสูงทั้งปริมาณและมูลค่า สำหรับอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย.48 ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6% เป็น
ตัวเลขที่ยังไม่น่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศอื่นๆ เพราะถือเป็นปัญหาที่ทุกประเทศประสบ
จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับเงินเฟ้อไม่เกิน 6% ได้ อย่างไรก็
ตาม ต้องติดตามอัตราค่าไฟฟ้าและค่าขนส่ง เพราะทั้ง 2 ปัจจัยนี้มีผลต่อเงินเฟ้อเป็นอย่างมาก (ไทยโพสต์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การเกษียณอายุของประธาน ธ.กลาง สรอ. ไม่น่าจะส่งผลต่อทิศทางตลาดการเงินในปัจจุบันมาก
นัก รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 17 ต.ค.48 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจ
ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ของตลาดการเงินทั่วโลก จำนวน 35 คน ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป
และเอเชีย คาดการณ์ว่า การเกษียณอายุของ Alan Greenspan ประธานธนาคารกลาง สรอ. ในวันที่ 31 ม.
ค.49 น่าจะมีผลต่อตลาดพันธบัตรมากกว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ สรอ. หรือตลาดหุ้น ในขณะที่ผู้เชี่ยว
ชาญฯ เกือบทั้งหมดมีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธาน ธ.กลาง สรอ. ไม่น่าจะเป็นไปในทิศทางตรง
กันข้ามกับแนวโน้มในปัจจุบันที่ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งตัวขึ้น หรือผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดต่ำลง ตราบเท่าที่
ประธานธนาคารกลาง สรอ. คนใหม่เป็นผู้ที่ตลาดการเงินทั่วไปเห็นว่ามีความเหมาะสม ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญฯ กว่า
ครึ่งหนึ่งคาดว่า Ben Bernanke ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาว และอดีตผู้ว่าการธนาคารกลาง จะเป็นผู้
ที่มีโอกาสสูงสุดที่จะได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวแทน ตามด้วย Glenn Hubbard อดีตที่ปรึกษา
ทำเนียบขาว Donald Kohn อดีตผู้ว่าการธนาคารกลาง Martin Feldstein นักเศรษฐศาสตร์จากฮาร์เวอร์ด
และ John Snow รมว.คลัง สรอ. (รอยเตอร์)
2. ราคาน้ำมันสำหรับรถยนต์ (Gasoline) ของสรอ.ลดลงอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รายงานจาก
วอชิงตันเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 48 Enery Information Administration — EIA ของสรอ.เปิดเผยว่า ราคา
ขายปลีกน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดลงอีกครั้งอยู่ที่แกลลอนละ 2.73 ดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากต้น
ทุนราคาน้ำมันลดลง 12.3 เซนต์ ทั้งนี้ก่อนหน้านั้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันที่จุดเติมน้ำมันของทางการลดลง
20 เซนต์แต่ยังคงสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 69 เซนต์ การลดลงของราคาน้ำมันเบนซินดังกล่าวสะท้อนถึงต้นทุน
น้ำมันดิบที่ลดลง รวมทั้งความต้องการน้ำมันสำหรับรถยนต์ได้ลดลงด้วยหลังจากผู้บริโภคลดการใช้น้ำมันลงเนื่อง
จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมาจากผลกระทบพายุเฮอริเคนแคทรีนาที่ส่งผลกระทบต่อ
การผลิตน้ำมัน และแม้ว่าผู้ผลิตน้ำมันส่วนใหญ่ได้กลับมาผลิตน้ำมันอีกครั้งแต่การบริโภคน้ำมันก็ยังคงลดลงอยู่เนื่อง
จากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงประกอบกับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ประหยัดการใช้น้ำมันเท่าที่จำเป็น นอก
จากนั้นผลการสำรวจรายสัปดาห์ของ EIA ราคาน้ำมันเบนซินในแถบ West Coast ซึ่งเคยแพงที่สุดในท้องถิ่นราคา
ได้ลดลง 6 เซนต์อยู่ที่แกลลอนละ 2.87 ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ San Francisco ซึ่งมีระดับราคาน้ำมันที่แพงที่สุด
ในเมืองราคาน้ำมันได้ลดลง 7.1 เซนต์อยู่ที่แกลลอนละ 2.95 ดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
3. การส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันของสิงคโปร์ในเดือน ก.ย.48 และยอดขายปลีกในเดือน ส.
ค.48 ลดลงอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 3.3 และ 2.3 ตามลำดับ รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 17 ต.ค.48
Trade agency International Enterprise เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า การส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันของ
สิงคโปร์ในเดือน ก.ย.48 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ร้อยละ 3.3 จากเดือนก่อนหน้า (ตัวเลขหลังปรับปัจจัย
ทางฤดูกาลแล้ว) สวนทางกับที่ประมาณการก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ขณะที่ยอดขายปลีกในเดือน ส.
ค.48 ก็ลดลงร้อยละ 2.3 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) เทียบต่อเดือน ตรงข้ามกับที่ผลสำรวจรอยเตอร์
คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ประมาณการล่วงหน้าจากตัวเลขชี้วัดในเดือน ก.ค.และ
ส.ค.48 ว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปี 48 จะขยายตัว 110 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 3.2
เมื่อเทียบต่อปี ขณะที่ ธ.กลางสิงคโปร์เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์ทั้งปี 48 น่าจะขยายตัวใน
ระดับสูงสุดตามที่รัฐบาลประมาณการไว้ว่าจะขยายตัวระหว่างร้อยละ 3.5-4.5 เนื่องจากผลผลิตภาคอุตสาหกรรม
อิเล็กทรอนิกส์และยารักษาโรคเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยการส่งออกสินค้าภาคอุตสาห
กรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นถึงร้อย
ละ 4.6 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) หลังจากที่ลดลงร้อยละ 6.2 ในเดือน ส.ค.48 ขณะที่การส่งออก
ผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันในเดือน ก.ย.48 ลดลง
ร้อยละ 22.1 จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ผลผลิตจากบริษัทผู้ผลิตยา เช่น บริษัท Glaxo Smith Kline และ Pfizer
มีแนวโน้มว่าจะมีความผันผวน เนื่องจากบริษัทมีการปิดโรงงานชั่วคราวเพื่อปรับปรุงหรือเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่
อนึ่ง การส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันเมื่อเทียบต่อปีลดลงร้อยละ 0.4 อยู่ที่จำนวน 12.2 พัน ล.ดอลลาร์สิงคโปร์
(7.21 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) สวนทางกับที่ประมาณการไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 (รอยเตอร์)
4. คาดว่ายอดส่งออกของเกาหลีใต้ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 ต่อปี รายงานจากโซล
เมื่อ 17 ต.ค.48 รมต.กระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงานของเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์ว่าสินค้าเทคโนโลยี
สารสนเทศ รถยนต์และเรือจะทำให้ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในปีหน้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 ต่อปี และคาด
ว่ายอดส่งออกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 12.1 ต่อปีตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ อย่างไรก็ดี ประมาณการยอดส่ง
ออกในปีหน้าดังกล่าวสูงกว่าที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจซัมซุงคาดไว้ที่ร้อยละ 8.6 ต่อปี โดยเมื่อปีที่แล้วยอดส่งออกของ
เกาหลีใต้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 31 จากการขยายตัวของยอดส่งออกไปยังจีน อย่างไรก็ดีค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ที่สูง
ขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับเงินเยนในช่วงปีที่ผ่านมาคาดว่าจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกเกาหลี
ใต้ลดลงเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งการค้าสำคัญของเกาหลีใต้ นอกจากนี้เกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศผู้ซื้อ
น้ำมันรายใหญ่ลำดับที่ 4 ของโลกยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณาขายหุ้นใน
บริษัท Korea National Oil Corp หรือ KNOC ซึ่งเป็นกิจการของรัฐให้กับบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลกเพื่อหวัง
จะได้น้ำมันจำนวน 55,000 บาร์เรลต่อวันและก๊าซธรรมชาติมาใช้ในประเทศภายในปี 56 จากการมีหุ้นส่วนใน
โครงการขุดเจาะน้ำมันนอกประเทศของบริษัทน้ำมันรายใหญ่เหล่านี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ต.ค. 48 17 ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.82 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6169/40.9126 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.53861 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 696.28/ 10.00 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,150/9,250 9,100/9,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.95 54.18 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.34*/24.19 27.34*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 10 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--