วันนี้ (12 ก.ค.48) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง แนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่พยายามเพิ่มพลังซื้อโดยไม่มีการรณรงค์ให้ประหยัด ว่า ตนคิดว่ารัฐบาลใช้มาตรการเหล่านี้เพราะต้องการเน้นในเรื่องการบรรเทาความเดือดร้อนมากกว่าการเพิ่มกำลังซื้อ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะว่า ภาวะทางเศรษฐกิจมันมีปัญหาเรื่องของเสถียรภาพเข้ามาด้วย แต่การที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนก็เป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องทำ ฉะนั้นถ้าจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนได้จริงตนจึงเสนอว่าควรจะมีการพิจารณาใน 3 ประเด็น คือ
1. การเพิ่มกำลังซื้อให้กับบุคคลต่างๆ จะต้องเข้าไปติดตามดูในเรื่องปัญหาราคาสินค้า เพราะถ้ามีการเพิ่มกำลังซื้อแล้วมีการตัดสินใจเชิงนโยบายหลายครั้ง ทำให้เกิดการขยับขึ้นของราคาสินค้าถี่ บางครั้งกำลังซื้อที่แท้จริงไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นมาตรการกำกับดูแลเรื่องราคาสินค้าเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก
2. รัฐบาลต้องมีมาตรการทางด้านการผลิต เพราะถ้าทำด้านนี้เพียงด้านเดียว แล้วไปกระทบต่อผู้ประกอบการในแง่ของต้นทุน สิ่งที่อาจจะตามมาก็อาจจะเป็นปัญหาว่า มีการลดกำลังการผลิต มีการเลิกจ้าง หรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องดูแลในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน
3. การจะบรรเทาความเดือดร้อนหรือการเพิ่มกำลังซื้ออาจจะพิจารณาจากวิธีการลดภาระของประชาชนแต่ว่าให้กระทบกับต้นทุนน้อย เช่น สมทบเงินเข้าประกันสังคม การใช้มาตรการทางภาษี
‘อย่าไปเพียงแต่ตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจจะต้องโตเท่านั้นเท่านี้ และต้องให้ประชาชนใช้เงินเท่านั้นเท่านี้ แต่อยากให้มองถึงภาวะความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น สำหรับมาตรการประหยัดพลังงาน ก็อยากให้เน้นเรื่องที่เกี่ยวกับการฟุ่มเฟือย และไม่กระทบกับการอำนวยความสะดวกมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องป้ายโฆษณา หรือสนามกอล์ฟ ซึ่งคงมีข้อโต้แย้งน้อย อย่างไรก็ดีต้องมีรูปธรรมการสนับสนุนพลังงานอื่นขึ้นมาทดแทน และเป็นทางออกของอนาคต’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อซักถามถึงกรณีนายประมวล พงศ์ถาวราเดช ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ กรณีการรับสินบนนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องว่ากันไปตามกระบวนการของศาล พรรคคงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในแง่ของที่จะไปปกป้องหรือไปก้าวก่ายอะไรทั้งสิ้น แต่จะขอดูข้อเท็จจริงและพูดคุยกับเจ้าตัวอีกครั้งหนึ่ง เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่นายประมวลจะเข้ามาเป็น ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวถึงกรณีนี้ว่าจากการสอบถามนายประมวล ถึงคดีดังกล่าวได้รับคำตอบว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงเห็นควรว่ารอให้คดีถึงชั้นฎีกาก่อน ซึ่งหากศาลฎีกาตัดสินอย่างไรก็ควรยึดตามนั้น ซึ่งเรื่องนี้พรรคฯจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือช่วยเหลือใดๆ เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นก่อน ที่นายประมวลจะมาเป็นส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ก.ค. 2548--จบ--
1. การเพิ่มกำลังซื้อให้กับบุคคลต่างๆ จะต้องเข้าไปติดตามดูในเรื่องปัญหาราคาสินค้า เพราะถ้ามีการเพิ่มกำลังซื้อแล้วมีการตัดสินใจเชิงนโยบายหลายครั้ง ทำให้เกิดการขยับขึ้นของราคาสินค้าถี่ บางครั้งกำลังซื้อที่แท้จริงไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นมาตรการกำกับดูแลเรื่องราคาสินค้าเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก
2. รัฐบาลต้องมีมาตรการทางด้านการผลิต เพราะถ้าทำด้านนี้เพียงด้านเดียว แล้วไปกระทบต่อผู้ประกอบการในแง่ของต้นทุน สิ่งที่อาจจะตามมาก็อาจจะเป็นปัญหาว่า มีการลดกำลังการผลิต มีการเลิกจ้าง หรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องดูแลในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน
3. การจะบรรเทาความเดือดร้อนหรือการเพิ่มกำลังซื้ออาจจะพิจารณาจากวิธีการลดภาระของประชาชนแต่ว่าให้กระทบกับต้นทุนน้อย เช่น สมทบเงินเข้าประกันสังคม การใช้มาตรการทางภาษี
‘อย่าไปเพียงแต่ตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจจะต้องโตเท่านั้นเท่านี้ และต้องให้ประชาชนใช้เงินเท่านั้นเท่านี้ แต่อยากให้มองถึงภาวะความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น สำหรับมาตรการประหยัดพลังงาน ก็อยากให้เน้นเรื่องที่เกี่ยวกับการฟุ่มเฟือย และไม่กระทบกับการอำนวยความสะดวกมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องป้ายโฆษณา หรือสนามกอล์ฟ ซึ่งคงมีข้อโต้แย้งน้อย อย่างไรก็ดีต้องมีรูปธรรมการสนับสนุนพลังงานอื่นขึ้นมาทดแทน และเป็นทางออกของอนาคต’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อซักถามถึงกรณีนายประมวล พงศ์ถาวราเดช ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ กรณีการรับสินบนนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องว่ากันไปตามกระบวนการของศาล พรรคคงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในแง่ของที่จะไปปกป้องหรือไปก้าวก่ายอะไรทั้งสิ้น แต่จะขอดูข้อเท็จจริงและพูดคุยกับเจ้าตัวอีกครั้งหนึ่ง เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่นายประมวลจะเข้ามาเป็น ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวถึงกรณีนี้ว่าจากการสอบถามนายประมวล ถึงคดีดังกล่าวได้รับคำตอบว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงเห็นควรว่ารอให้คดีถึงชั้นฎีกาก่อน ซึ่งหากศาลฎีกาตัดสินอย่างไรก็ควรยึดตามนั้น ซึ่งเรื่องนี้พรรคฯจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือช่วยเหลือใดๆ เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นก่อน ที่นายประมวลจะมาเป็นส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ก.ค. 2548--จบ--