นายสุธี เหลืองอร่ามกุล "การบริหารจัดการอัตราเงินเฟ้อให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจ" บทวิเคราะห์ เรื่อง การบริหารและติดตามเงินเฟ้อ (Inflation Management Chart) 1. วัตถุประสงค์ของการจัดทำระบบบริหารและติดตามเงินเฟ้อ ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้จัดทำรายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยของปี 2549 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2549 จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี (ช่วงการคาดการณ์อยู่ที่ร้อยละ 4.5-5.5 ต่อปี) ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลใกล้เคียงกับปีก่อนที่ประมาณร้อยละ -2.1 ของ GDP (ช่วงการคาดการณ์อยู่ที่ร้อยละ (-2.5)-(-1.5) ของ GDP) แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะขยายตัวในอัตราชะลอลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.0 ต่อปี (ช่วงการคาดการณ์อยู่ที่ร้อยละ 2.75-3.25) เงินเฟ้อจัดเป็นดัชนีชี้ด้านเสถียรภาพภายในประเทศที่สำคัญ หากตัวเลขเงินเฟ้อจริงแตกต่างจากตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ซึ่งได้จากแบบจำลองอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นการส่งสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจจากที่ประเมินไว้ ซึ่งจำเป็นต้องหานโยบายเพื่อบริหารจัดการต่อไป ดังนั้น สศค.ในฐานะเป็นผู้เสนอแนะนโยบายเศรษฐกิจ จึงจำเป็นจะต้องมีระบบเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงเงินเฟ้อรายเดือน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าเงินเฟ้อที่ประมาณการไว้ ซึ่งเป็นที่มาของระบบบริหารและติดตามเงินเฟ้อ (Inflation management chart) 2. กรอบการวิเคราะห์ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อธิบายสาเหตุการเพิ่มขึ้นของระดับราคา หรือเงินเฟ้อเป็นผลมาจาก 2 สาเหตุสำคัญ ได้แก่ 1. เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากความต้องการสูงขึ้น (Demand pull inflation) 2. เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น (Cost push inflation) สำหรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพบว่าสัดส่วนของการค้าต่างประเทศ โดยขนาดของการส่งออกและนำเข้ามีสัดส่วนเท่ากับ 1.3 เท่าของขนาด GDP จึงสามารถจัดได้ว่าเศรษฐกิจไทยมีลักษณะเศรษฐกิจแบบเปิด (Small opened economy) แต่ประเทศไทยเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกมีสัดส่วนที่เล็กทำให้ไม่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก ในทางกลับกันการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกกลับมากดดันเศรษฐกิจไทย ดังนั้นถ้าหากอุปสงค์ในประเทศมีความต้องการเพิ่มขึ้น การที่ประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบเปิด จะทำให้แรงกดดันผ่านราคาสินค้านำเข้ากดดันต่อราคาสินค้าในประเทศ และทำให้แรงกดดันของอุปสงค์ต่อเงินเฟ้อ (Demand pull inflation) จึงมีน้อยสำหรับประเทศไทย สำหรับกลไกการส่งผ่านและกำหนดระดับราคาของไทย พบว่าในอดีตที่ผ่านมาปัจจัยที่สำคัญที่มากำหนดอัตราเงินเฟ้อของไทยส่วนใหญ่มาจากด้านต้นทุนการผลิตทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน ตัวอย่างเช่น ในด้านปัจจัยภายนอกจะได้รับผลกระทบผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในตลาดโลก เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ทั้งราคาน้ำมัน เหล็ก หรือธัญพืชเพิ่มขึ้น จะผลักดันให้สินค้าภายในประเทศเพิ่มขึ้นตามสินค้าในตลาดโลก ดังนั้น กลไกการส่งผ่านระดับราคาของไทย จึงมีลักษณะเป็นผู้รับด้านราคา (Price Taker) และขึ้นอยู่กับเงินเฟ้อโลกผ่านราคาสินค้านำเข้า สำหรับในด้านปัจจัยภายใน เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำและราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ ก็จะส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มได้เช่นกัน ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับราคาสินค้าภายในประเทศนั้น พบว่ามาจากอิทธิพล 2 ด้าน ทั้งจากภายนอกประเทศ (External Side) และจากภายในประเทศ (Domestic Side) คือ ปัจจัยภายนอกประเทศ ผลกระทบมาจากระดับราคาสินค้าในตลาดโลก ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เนื่องจากน้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของการผลิตที่สำคัญ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและผลักดันให้ราคาสินค้าโลก (World Inflation) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การส่งผ่านถึงเงินเฟ้อของไทย จะส่งผ่านราคาสินค้านำเข้าของไทยที่จะปรับตามราคาสินค้าในตลาดโลก ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าที่เป็นเงินสกุลบาทถูกลง ทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศถูกลงตามไปด้วย ในทางตรงกันข้าม การอ่อนค่าลงของเงินบาทจะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ปัจจัยภายในประเทศ ผลกระทบของราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศทั้งดีเซลและเบนซินขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบโลก อัตราแลกเปลี่ยน ค่าการกลั่นและการตลาด ซึ่งปัจจัยสูงขึ้นก็จะผลักดันให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย ท้ายที่สุดจะผลักดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำมันจัดเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญโดยเฉพาะภาคการขนส่ง ผลกระทบของค่าจ้าง การเพิ่มค่าจ้างงานแรงงานจะดึงให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานสูง ผลกระทบของราคาสินค้าเกษตร หมวดอาหารและเครื่องดื่มมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 36 ของดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรจะกดดันให้ราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสูงขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงกับผู้บริโภคและเงินเฟ้อ ระบบบริหารและติดตามเงินเฟ้อรายเดือน (Inflation Control Chart) ในปี 2549 สศค. ประเมินว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี (ช่วงการประมาณการอยู่ร้อยละ 2.75-3.25) ลดลงจากร้อยละ 4.5 ต่อปีในปี 2548 ภายใต้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้นจาก 40.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 39.6 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ราคาน้ำมันดิบ Dubai ที่เพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงจากปีก่อนเฉลี่ย 48.7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เป็น 58.4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 49 อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5 (ช่วงประมาณการที่ร้อยละ 4.5-5.5) เป็นต้น ตารางที่ 1 สมมติฐานที่สำคัญ ตัวแปรภายนอก หน่วย ปี 47 ปี 48 ปี 49 1. ราคาน้ำมันดิบ Dubai USD/Barrel 33.7 48.7 58.4 อัตราการเปลี่ยนแปลง %yoy 25.7 44.5 19.9 3. อัตราแลกเปลี่ยน THB/USD 40.3 40.3 39.6 4. ราคาสินค้าส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐ %yoy 12.2 10.1 4.2 4. ราคาสินค้านำเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ %yoy 13.3 16.1 5 5. ค่าจ้างงานแรงงานขั้นต่ำ บาท/วัน 170 178 184 ข้อมูล : รายงานประมาณการเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2549 ระบบการบริหารและติดตามเงินเฟ้อรายเดือนที่ใช้ในการเปรียบเทียบกับข้อมูลจริงเพื่อประเมินภาวะเงินเฟ้อรายเดือนได้มีการพัฒนาจาก 2 ระบบ ได้แก่ 1.1 Top — Down Approach ซึ่งเป็นการประมาณการเงินเฟ้อรายเดือนโดยอาศัยข้อมูลสมมติฐานที่ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้ได้กล่าวมาแล้ว เช่น ราคาน้ำมันดิบ ค่าจ้างแรงงาน ราคาสินค้านำเข้า ราคาสินค้าเกษตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ผ่าน Inflation Model ซึ่งมีจุดเด่นในการสะท้อนการส่งผ่านจากปัจจัยด้านมหภาคสู่ระดับราคาสินค้าได้ดี 1.2 Bottom — Up Approach ซึ่งเป็นการประมาณการเงินเฟ้อ โดยใช้การประมาณการองค์ประกอบของดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภค (CPI) ในรายหมวดที่สำคัญ ภายใต้สมมติฐานจากแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค และปัจจัยด้านฤดูกาล ซึ่งมีจุดเด่นในการวิเคราะห์ผลกระทบในระดับจุลภาคได้ดี โดยผลที่ได้จาก 2 ระบบจะมีความสอดคล้องกัน และสามารถสะท้อนภาพทั้งปัจจัยระดับมหภาคและระดับจุลภาค ในระบบการบริหารและติดตามเงินเฟ้อรายเดือน ทั้งด้าน Top-down และ Bottom-up