ตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกันเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้นในวันที่ 18 ธันวาคม 2549 และผ่อนผันเพิ่มเติมในเวลาต่อมา เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท อันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว นั้น
เพื่อความชัดเจนของมาตรการฯ และเพื่อให้สถาบันการเงินใช้อ้างอิงและถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ธปท. ขอสรุปรายละเอียดของมาตรการฯ ดังนี้
1. ธุรกรรมรับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็น เงินบาทที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ได้แก่
1.1. ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรายการในดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งหมายรวมถึง ค่าสินค้า ค่าบริการ รายได้ เงินโอนและบริจาค
1.2. เงินลงทุนในหุ้นทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ไม่รวมหน่วยลงทุนทุกประเภท และ Warrant) เงินลงทุนในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX ) และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ทั้งนี้ ให้นำเงินลงทุนดังกล่าวเข้าบัญชีเงินบาทที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ (Special Non-resident Baht Account for Equity Securities: SNS)
1.3. เงินลงทุนโดยตรง ซึ่งหมายถึง เงินที่นำมาจัดตั้งกิจการหรือเข้าร่วมลงทุนในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นหรือมีส่วนเป็นเจ้าของไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 และมีอำนาจในการบริหารจัดการกิจการดังกล่าว
1.4. เงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน คอนโดมิเนียม (ไม่รวมหน่วยลงทุนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์)
1.5. เงินกู้เงินตราต่างประเทศที่ได้ทำสัญญากู้เงินก่อนวันที่ 19 ธันวาคม 2549
1.6. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศจากธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เป็นการต่ออายุสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยการทำธุรกรรม Swap กับสถาบันการเงินเดิม
1.7. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศที่มีจำนวนต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่าตามอัตราตลาด
1.8. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศจากลูกค้า หรือบุคคลรับอนุญาต ในรูปเช็คเดินทางและธนบัตรเงินตราต่างประเทศ
1.9. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศจาก (ก) สถานทูตไทย สถานกงสุลไทย หรือหน่วยงานรัฐบาลไทยที่ตั้งอยู่นอกประเทศไทย และ (ข) สถานทูตต่างประเทศ สถานกงสุล ทบวงการชำนัญพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติ องค์การหรือสถาบันระหว่างประเทศ ที่ประจำการในประเทศไทย
1.10. เงินกู้สกุลเงินตราต่างประเทศของหน่วยงานราชการที่นำมาขายรับบาท
2. ธุรกรรมรับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็น เงินบาทที่ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ได้แก่
2.1. เงินลงทุนในตราสารหนี้ ที่สืบเนื่องจากการซื้อตราสารหนี้ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2549 เป็นต้นไป
2.2. เงินกู้สกุลเงินตราต่างประเทศที่ทำสัญญากู้เงินตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2549 เป็นต้นไป
2.3. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากที่ได้รับการยกเว้นในข้อ 1.
3. บัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident Baht Account : NRBA) ได้รับการผ่อนผันให้มียอดคงค้างเกิน 300 ล้านบาท โดยไม่จำกัดจำนวนจนถึงวันที่ 8 มกราคม 2550 และให้ลดยอดคงค้างลงเหลือเพียงไม่เกิน 300 ล้านบาทหลังจากนั้น
4. เงินบาทในบัญชี SNS หลังจากวันที่ 8 มกราคม 2550 ให้มียอดคงค้างไม่เกิน 300 ล้านบาทเป็นการชั่วคราว ซึ่ง ธปท. จะพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
ข้อมูลเพิ่มเติม: ทีมกลยุทธ์การแลกเปลี่ยนเงิน โทร. 0-2356-7345-6 E-mail: [email protected]
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
เพื่อความชัดเจนของมาตรการฯ และเพื่อให้สถาบันการเงินใช้อ้างอิงและถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ธปท. ขอสรุปรายละเอียดของมาตรการฯ ดังนี้
1. ธุรกรรมรับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็น เงินบาทที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ได้แก่
1.1. ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรายการในดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งหมายรวมถึง ค่าสินค้า ค่าบริการ รายได้ เงินโอนและบริจาค
1.2. เงินลงทุนในหุ้นทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ไม่รวมหน่วยลงทุนทุกประเภท และ Warrant) เงินลงทุนในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX ) และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ทั้งนี้ ให้นำเงินลงทุนดังกล่าวเข้าบัญชีเงินบาทที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ (Special Non-resident Baht Account for Equity Securities: SNS)
1.3. เงินลงทุนโดยตรง ซึ่งหมายถึง เงินที่นำมาจัดตั้งกิจการหรือเข้าร่วมลงทุนในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นหรือมีส่วนเป็นเจ้าของไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 และมีอำนาจในการบริหารจัดการกิจการดังกล่าว
1.4. เงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน คอนโดมิเนียม (ไม่รวมหน่วยลงทุนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์)
1.5. เงินกู้เงินตราต่างประเทศที่ได้ทำสัญญากู้เงินก่อนวันที่ 19 ธันวาคม 2549
1.6. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศจากธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เป็นการต่ออายุสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยการทำธุรกรรม Swap กับสถาบันการเงินเดิม
1.7. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศที่มีจำนวนต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่าตามอัตราตลาด
1.8. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศจากลูกค้า หรือบุคคลรับอนุญาต ในรูปเช็คเดินทางและธนบัตรเงินตราต่างประเทศ
1.9. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศจาก (ก) สถานทูตไทย สถานกงสุลไทย หรือหน่วยงานรัฐบาลไทยที่ตั้งอยู่นอกประเทศไทย และ (ข) สถานทูตต่างประเทศ สถานกงสุล ทบวงการชำนัญพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติ องค์การหรือสถาบันระหว่างประเทศ ที่ประจำการในประเทศไทย
1.10. เงินกู้สกุลเงินตราต่างประเทศของหน่วยงานราชการที่นำมาขายรับบาท
2. ธุรกรรมรับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็น เงินบาทที่ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ได้แก่
2.1. เงินลงทุนในตราสารหนี้ ที่สืบเนื่องจากการซื้อตราสารหนี้ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2549 เป็นต้นไป
2.2. เงินกู้สกุลเงินตราต่างประเทศที่ทำสัญญากู้เงินตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2549 เป็นต้นไป
2.3. การรับซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากที่ได้รับการยกเว้นในข้อ 1.
3. บัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident Baht Account : NRBA) ได้รับการผ่อนผันให้มียอดคงค้างเกิน 300 ล้านบาท โดยไม่จำกัดจำนวนจนถึงวันที่ 8 มกราคม 2550 และให้ลดยอดคงค้างลงเหลือเพียงไม่เกิน 300 ล้านบาทหลังจากนั้น
4. เงินบาทในบัญชี SNS หลังจากวันที่ 8 มกราคม 2550 ให้มียอดคงค้างไม่เกิน 300 ล้านบาทเป็นการชั่วคราว ซึ่ง ธปท. จะพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
ข้อมูลเพิ่มเติม: ทีมกลยุทธ์การแลกเปลี่ยนเงิน โทร. 0-2356-7345-6 E-mail: [email protected]
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--