ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ส่งหนังสือมาตรการดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมให้ ก.คลังพิจารณาแล้ว ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ได้ส่งหนังสือเกี่ยวกับมาตรการดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมในส่วนที่จะอนุญาตให้ผู้ส่งออก
ถือครองเงินสกุลต่างประเทศได้เกินกว่าเดิมที่กำหนดไว้ และการอนุญาตให้นักลงทุนไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศได้เพิ่มเติมมากขึ้นจากเดิม
ให้ ก.คลังพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ การลงทุนประเภทหนึ่งที่จะอนุญาตเพิ่มเติม คือ การอนุญาตให้ บล.สามารถไปลงทุนในต่างประเทศ โดยได้รับความ
เห็นชอบคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ จากเดิมที่จะต้องลงทุนผ่านนักลงทุนสถาบัน หรือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดย
เพิ่มระยะเวลาการถือเงินสกุลต่างประเทศจากเดิม 7 วัน เป็น 15 วัน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มมาตรการต่าง ๆ ในการดูแลค่าเงินบาทนั้นจะ
ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะจะพิจารณาในเวลาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนึงถึงช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า
ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง)
2. ธปท.กังวลช่องว่างระหว่างเงินออมและเงินลงทุนไม่สมดุลหลังมีการปรับปรุงการจัดทำดุลการชำระเงินให้เข้ามาตรฐาน
ไอเอ็มเอฟ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้มีการปรับปรุงการจัดทำดุลการชำระเงิน
ของประเทศให้สมบูรณ์มากขึ้น และเป็นมาตรฐานเดียวกันกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดยเพิ่มตัวเลขกำไรที่กลับมาลงทุน
(Reinvested Earnings) ของบริษัทลงทุนข้ามชาติลงไปในการทำดุลการชำระเงิน ทั้งในส่วนกำไรของบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนใน
ประเทศไทย และบริษัทไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ จากการปรับปรุงการจัดทำดุลการชำระเงินของ ธปท.ด้วยการคิดรวมกำไรจากการ
ลงทุนดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 48 ที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 7,852 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากยอดเดิมที่ขาดดุลเพียง
3,666 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือขาดดุลเพิ่มขึ้น 4,187 ล้านดอลลาร์ สรอ. และทำให้เงินทุนไหลเข้าเพื่อมาลงทุนโดยตรงในประเทศสุทธิเพิ่มขึ้น
จากที่เคยเกินดุล 4,219 ล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นการเกินดุลสูงถึง 8,405 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเกินดุลเพิ่มขึ้น 4,187 ล้านดอลลาร์ สรอ.
แสดงให้เห็นว่า ไทยใช้ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดที่ดีกว่าความเป็นจริงมาตลอด นอกจากนี้ จากตัวเลขดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ช่องว่าง
ระหว่างการออมและการลงทุนของไทยในช่วงที่ผ่านมาที่ใช้ในปัจจุบันต่ำกว่าความเป็นจริงอีกด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่าการออมของไทยยังต่ำมากเมื่อเทียบกับ
สัดส่วนของการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อสร้างเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคต จำเป็นต้องเร่งเพิ่มการออมในประเทศ
มากกว่าที่เป็นอยู่จำนวนมาก (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, มติชน)
3. กองทุนฟื้นฟูฯ ยืนยันใช้หลักเกณฑ์เดิมในการสรรหาผู้จัดการใหญ่ของ ธ.นครหลวงไทย ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายจัดการกองทุน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ กองทุนฟื้นฟูฯ
ได้รับหนังสือขอหารือเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ ธ.นครหลวงไทย จากประธานกรรมการ ธ.นครหลวงไทย โดยกรรมการ
ธนาคารจะขอปรับประเด็นการพิจารณาสรรหาผู้จัดการใหญ่เพิ่มเติมจากเดิมที่คณะกรรมการสรรหาได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้แล้ว แต่ความเห็นของกองทุน
ฟื้นฟูฯ นั้น ยังคงยืนยันว่า ต้องการให้การสรรหากรรมการผู้จัดการใหญ่ของ ธ.นครหลวงไทย เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ดำเนินการอย่าง
โปร่งใส และมีหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้เดิมก่อนจะประกาศรับสมัคร (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
4. ธอส.ยืนยันการสวอปเงินกู้ต่างประเทศเป็นเงินบาทไม่ส่งผลให้ธนาคารขาดทุน กรรมการผู้จัดการ ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
ชี้แจงกรณีที่ระบุว่า ธนาคารมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน กรณีการแปลงหนี้เงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทถึง 3,000 ล้านบาทว่า การ
ดำเนินการแปลงหนี้เงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทของธนาคารนั้นไม่ได้ทำให้ธนาคารมีผลขาดทุน เนื่องจากธนาคารได้ทำสัญญากับคู่สัญญาว่าจะ
มีการจ่ายคืนตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเดิมในวันที่มีการทำสัญญา ดังนั้น เมื่อครบกำหนดการชำระคืน ธนาคารก็จะจ่ายคืนในจำนวนเท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ตามระเบียบการตรวจสอบงบการเงินของ ธปท.นั้น จะต้องมีการบันทึกผลการขาดทุนหรือกำไรในงบการเงิน ณ ช่วงเวลานั้น ๆ
ซึ่งผลขาดทุนหรือกำไรก็อาจปรับเปลี่ยนไปตามอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าจีดีพี สรอ. ในไตรมาส 3 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้เป็นร้อยละ 1.8 รายงานจากกรุงนิวยอร์ค ประเทศ
สรอ. เมื่อวันที่ 27 พ.ย.49 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยว่า นักวิเคราะห์ 64 คน ได้ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของ สรอ. ใน
ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 48 จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตร้อยละ 1.6 ซึ่ง
เป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี อย่างไรก็ตาม การบริโภคที่ยังคงซบเซาจะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีต่ำกว่าใน
ช่วงครึ่งแรกของปี ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ก.พาณิชย์ของ สรอ. จะปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ข้อมูลแสดงตัว
เลขขาดดุลการค้าของ สรอ. ลดลง และข้อมูลหลายอย่างชี้ให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและการสต็อกสินค้า
คงคลัง (รอยเตอร์)
2. นรม. อังกฤษให้คำมั่นว่าจะผลักดันการเจรจาการค้าโลกให้คืบหน้าต่อไป รายงานจากลอนดอน เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 49 นรม.
Tony Blair ของอังกฤษกล่าวว่า เขาจะดำเนินการเพื่อให้เกิดความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป สรอ. และ
บราซิลที่จะมีขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อให้การเจรจากันทางการค้าดำเนินไปได้ในกรอบกติกา ทั้งนี้เขาเชื่อว่าการเจรจาการค้าโลกมี
ความเป็นไปได้ แต่หากการเจรจาการค้าดังกล่าวล้มเหลวจะเป็นการเสียเวลาและเสียโอกาสอย่างมาก โดย นรม. Tony Blair ได้กล่าวกับ
สภาอุตสาหกรรมของอังกฤษในการประชุมประจำปีว่า อังกฤษต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทบทวนการเจรจาการค้าโลก และคิดว่ามีความ
เป็นไปได้ โดยเขาต้องการให้ทั้งยุโรป สรอ. และบราซิล รวมทั้งกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G20 มีความคืบหน้าในการเจรจากัน ทั้งนี้ในการเจร
จาการค้าโลกในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาประสบความล้มเหลว ส่วนใหญ่เนื่องจากมีความแตกต่างกันมากในเรื่องสินค้าทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม
นรม. Tony Blair เห็นว่าการเจรจากันในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ โดยเน้นการเจรจากันระหว่างกลุ่มการค้าที่สำคัญ (รอยเตอร์)
3. ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.1 รายงานจากโตเกียว เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 49
รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ในเดือน ต.ค. ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.1
สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่ายอดค้าปลีกในเดือนต.ค. จะลดลงเฉลี่ยร้อยละ 0.1 แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนยอดค้าปลีกลดลงร้อยละ
0.2 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ส่วนใหญ่เป็นเป็นการลดลงของยอดขายปลีกในห้างขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามยอดการค้าโดยรวมในเดือน ต.ค.
เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วโดยเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากของตัวเลขการค้าส่ง (รอยเตอร์)
4. ภาคบริการของสิงคโปร์ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.3 ต่อปีในไตรมาสที่ 3 ปี 49 ต่ำสุดในรอบ 3 ปี รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ
27 พ.ย.49 ดัชนีชี้วัดรายได้ของภาคธุรกิจ (business receipts index) ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดธุรกรรมในอุตสาหกรรมบริการของสิงคโปร์เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.3 ในไตรมาสที่ 3 ปี 49 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 48 แต่ชะลอตัวลงหลังจากขยายตัวร้อยละ 4.6 ต่อปีในไตรมาสที่
2 ปี 49 และนับเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 46 โดยเป็นผลจากรายได้ของภาคการเงินและการประกันภัยลดลง ซึ่งหากไม่
รวมรายได้ของภาคการเงินและการประกันภัยแล้ว ดัชนีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ต่อปี ทั้งนี้ภาคบริการของสิงคโปร์ซึ่งมีการจ้างงานมากถึงครึ่งหนึ่ง
ของแรงงานทั้งประเทศและมีสัดส่วนถึงร้อยละ 69 ของผลผลิตรวมในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 47 ช่วยชดเชยผลผลิตในภาคการ
ผลิตซึ่งค่อนข้างผันผวน ทั้งนี้ดัชนีดังกล่าวข้างต้นได้จากการเก็บตัวเลขรายได้ของธุรกิจในภาคการขนส่ง คมนาคม ยา อสังหาริมทรัพย์ การเงิน
และการประกันภัย (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 28 พ.ย. 49 27 พ.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อม
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.43 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 36.2595/36.5514 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 734.66/12.32 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,900/11,000 10,950/11,050 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.21 56.86 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 พ.ย. 49 25.69*/23.84 25.69*/23.84 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ส่งหนังสือมาตรการดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมให้ ก.คลังพิจารณาแล้ว ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ได้ส่งหนังสือเกี่ยวกับมาตรการดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมในส่วนที่จะอนุญาตให้ผู้ส่งออก
ถือครองเงินสกุลต่างประเทศได้เกินกว่าเดิมที่กำหนดไว้ และการอนุญาตให้นักลงทุนไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศได้เพิ่มเติมมากขึ้นจากเดิม
ให้ ก.คลังพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ การลงทุนประเภทหนึ่งที่จะอนุญาตเพิ่มเติม คือ การอนุญาตให้ บล.สามารถไปลงทุนในต่างประเทศ โดยได้รับความ
เห็นชอบคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ จากเดิมที่จะต้องลงทุนผ่านนักลงทุนสถาบัน หรือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดย
เพิ่มระยะเวลาการถือเงินสกุลต่างประเทศจากเดิม 7 วัน เป็น 15 วัน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มมาตรการต่าง ๆ ในการดูแลค่าเงินบาทนั้นจะ
ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะจะพิจารณาในเวลาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนึงถึงช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า
ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง)
2. ธปท.กังวลช่องว่างระหว่างเงินออมและเงินลงทุนไม่สมดุลหลังมีการปรับปรุงการจัดทำดุลการชำระเงินให้เข้ามาตรฐาน
ไอเอ็มเอฟ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้มีการปรับปรุงการจัดทำดุลการชำระเงิน
ของประเทศให้สมบูรณ์มากขึ้น และเป็นมาตรฐานเดียวกันกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดยเพิ่มตัวเลขกำไรที่กลับมาลงทุน
(Reinvested Earnings) ของบริษัทลงทุนข้ามชาติลงไปในการทำดุลการชำระเงิน ทั้งในส่วนกำไรของบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนใน
ประเทศไทย และบริษัทไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ จากการปรับปรุงการจัดทำดุลการชำระเงินของ ธปท.ด้วยการคิดรวมกำไรจากการ
ลงทุนดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 48 ที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 7,852 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากยอดเดิมที่ขาดดุลเพียง
3,666 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือขาดดุลเพิ่มขึ้น 4,187 ล้านดอลลาร์ สรอ. และทำให้เงินทุนไหลเข้าเพื่อมาลงทุนโดยตรงในประเทศสุทธิเพิ่มขึ้น
จากที่เคยเกินดุล 4,219 ล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นการเกินดุลสูงถึง 8,405 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเกินดุลเพิ่มขึ้น 4,187 ล้านดอลลาร์ สรอ.
แสดงให้เห็นว่า ไทยใช้ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดที่ดีกว่าความเป็นจริงมาตลอด นอกจากนี้ จากตัวเลขดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ช่องว่าง
ระหว่างการออมและการลงทุนของไทยในช่วงที่ผ่านมาที่ใช้ในปัจจุบันต่ำกว่าความเป็นจริงอีกด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่าการออมของไทยยังต่ำมากเมื่อเทียบกับ
สัดส่วนของการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อสร้างเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคต จำเป็นต้องเร่งเพิ่มการออมในประเทศ
มากกว่าที่เป็นอยู่จำนวนมาก (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, มติชน)
3. กองทุนฟื้นฟูฯ ยืนยันใช้หลักเกณฑ์เดิมในการสรรหาผู้จัดการใหญ่ของ ธ.นครหลวงไทย ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายจัดการกองทุน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ กองทุนฟื้นฟูฯ
ได้รับหนังสือขอหารือเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ ธ.นครหลวงไทย จากประธานกรรมการ ธ.นครหลวงไทย โดยกรรมการ
ธนาคารจะขอปรับประเด็นการพิจารณาสรรหาผู้จัดการใหญ่เพิ่มเติมจากเดิมที่คณะกรรมการสรรหาได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้แล้ว แต่ความเห็นของกองทุน
ฟื้นฟูฯ นั้น ยังคงยืนยันว่า ต้องการให้การสรรหากรรมการผู้จัดการใหญ่ของ ธ.นครหลวงไทย เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ดำเนินการอย่าง
โปร่งใส และมีหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้เดิมก่อนจะประกาศรับสมัคร (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
4. ธอส.ยืนยันการสวอปเงินกู้ต่างประเทศเป็นเงินบาทไม่ส่งผลให้ธนาคารขาดทุน กรรมการผู้จัดการ ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
ชี้แจงกรณีที่ระบุว่า ธนาคารมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน กรณีการแปลงหนี้เงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทถึง 3,000 ล้านบาทว่า การ
ดำเนินการแปลงหนี้เงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทของธนาคารนั้นไม่ได้ทำให้ธนาคารมีผลขาดทุน เนื่องจากธนาคารได้ทำสัญญากับคู่สัญญาว่าจะ
มีการจ่ายคืนตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเดิมในวันที่มีการทำสัญญา ดังนั้น เมื่อครบกำหนดการชำระคืน ธนาคารก็จะจ่ายคืนในจำนวนเท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ตามระเบียบการตรวจสอบงบการเงินของ ธปท.นั้น จะต้องมีการบันทึกผลการขาดทุนหรือกำไรในงบการเงิน ณ ช่วงเวลานั้น ๆ
ซึ่งผลขาดทุนหรือกำไรก็อาจปรับเปลี่ยนไปตามอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าจีดีพี สรอ. ในไตรมาส 3 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้เป็นร้อยละ 1.8 รายงานจากกรุงนิวยอร์ค ประเทศ
สรอ. เมื่อวันที่ 27 พ.ย.49 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยว่า นักวิเคราะห์ 64 คน ได้ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของ สรอ. ใน
ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 48 จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตร้อยละ 1.6 ซึ่ง
เป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี อย่างไรก็ตาม การบริโภคที่ยังคงซบเซาจะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีต่ำกว่าใน
ช่วงครึ่งแรกของปี ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ก.พาณิชย์ของ สรอ. จะปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ข้อมูลแสดงตัว
เลขขาดดุลการค้าของ สรอ. ลดลง และข้อมูลหลายอย่างชี้ให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและการสต็อกสินค้า
คงคลัง (รอยเตอร์)
2. นรม. อังกฤษให้คำมั่นว่าจะผลักดันการเจรจาการค้าโลกให้คืบหน้าต่อไป รายงานจากลอนดอน เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 49 นรม.
Tony Blair ของอังกฤษกล่าวว่า เขาจะดำเนินการเพื่อให้เกิดความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป สรอ. และ
บราซิลที่จะมีขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อให้การเจรจากันทางการค้าดำเนินไปได้ในกรอบกติกา ทั้งนี้เขาเชื่อว่าการเจรจาการค้าโลกมี
ความเป็นไปได้ แต่หากการเจรจาการค้าดังกล่าวล้มเหลวจะเป็นการเสียเวลาและเสียโอกาสอย่างมาก โดย นรม. Tony Blair ได้กล่าวกับ
สภาอุตสาหกรรมของอังกฤษในการประชุมประจำปีว่า อังกฤษต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทบทวนการเจรจาการค้าโลก และคิดว่ามีความ
เป็นไปได้ โดยเขาต้องการให้ทั้งยุโรป สรอ. และบราซิล รวมทั้งกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G20 มีความคืบหน้าในการเจรจากัน ทั้งนี้ในการเจร
จาการค้าโลกในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาประสบความล้มเหลว ส่วนใหญ่เนื่องจากมีความแตกต่างกันมากในเรื่องสินค้าทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม
นรม. Tony Blair เห็นว่าการเจรจากันในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ โดยเน้นการเจรจากันระหว่างกลุ่มการค้าที่สำคัญ (รอยเตอร์)
3. ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.1 รายงานจากโตเกียว เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 49
รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ในเดือน ต.ค. ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.1
สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่ายอดค้าปลีกในเดือนต.ค. จะลดลงเฉลี่ยร้อยละ 0.1 แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนยอดค้าปลีกลดลงร้อยละ
0.2 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ส่วนใหญ่เป็นเป็นการลดลงของยอดขายปลีกในห้างขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามยอดการค้าโดยรวมในเดือน ต.ค.
เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วโดยเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากของตัวเลขการค้าส่ง (รอยเตอร์)
4. ภาคบริการของสิงคโปร์ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.3 ต่อปีในไตรมาสที่ 3 ปี 49 ต่ำสุดในรอบ 3 ปี รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ
27 พ.ย.49 ดัชนีชี้วัดรายได้ของภาคธุรกิจ (business receipts index) ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดธุรกรรมในอุตสาหกรรมบริการของสิงคโปร์เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.3 ในไตรมาสที่ 3 ปี 49 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 48 แต่ชะลอตัวลงหลังจากขยายตัวร้อยละ 4.6 ต่อปีในไตรมาสที่
2 ปี 49 และนับเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 46 โดยเป็นผลจากรายได้ของภาคการเงินและการประกันภัยลดลง ซึ่งหากไม่
รวมรายได้ของภาคการเงินและการประกันภัยแล้ว ดัชนีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ต่อปี ทั้งนี้ภาคบริการของสิงคโปร์ซึ่งมีการจ้างงานมากถึงครึ่งหนึ่ง
ของแรงงานทั้งประเทศและมีสัดส่วนถึงร้อยละ 69 ของผลผลิตรวมในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 47 ช่วยชดเชยผลผลิตในภาคการ
ผลิตซึ่งค่อนข้างผันผวน ทั้งนี้ดัชนีดังกล่าวข้างต้นได้จากการเก็บตัวเลขรายได้ของธุรกิจในภาคการขนส่ง คมนาคม ยา อสังหาริมทรัพย์ การเงิน
และการประกันภัย (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 28 พ.ย. 49 27 พ.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อม
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.43 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 36.2595/36.5514 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 734.66/12.32 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,900/11,000 10,950/11,050 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.21 56.86 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 พ.ย. 49 25.69*/23.84 25.69*/23.84 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--