คำต่อคำคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากงานเลี้ยงครบรอบ 60 ปีพรรค

ข่าวการเมือง Monday May 29, 2006 09:10 —พรรคประชาธิปัตย์

          วันนี้เป็นวันที่พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดงานเพื่อฉลองวาระการครบรอบ 60 ปีของพรรค เป็นพรรคการเมืองซึ่งได้ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2489 ในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งนับจนถึงวันนี้ 60 ปีเศษ สำหรับพวกเราชาวประชาธิปัตย์ถือเป็นโอกาสที่เรามีความภาคภูมิใจ
ในเบื้องต้นผมอยากขอกราบขอบพระคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่ได้มาร่วมงานฉลอง 60 ปีของพรรคในค่ำคืนวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแขกผู้มีเกียรติที่เป็นทายาทของผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ให้เกียรติมาร่วมงานในค่ำคืนวันนี้ด้วย ผมขอให้ทุก ๆ ท่านได้ปรบมือต้อนรับบรรดาทายาทของผู้ก่อตั้งพรรคนะครับ ซึ่งนั่งอยู่ทางโน้นครับ (เสียงปรบมือ)
มาในวันนี้เราได้รับเกียรติจากผู้แทนของพรรคการเมืองที่ได้มาร่วมแสดงความยินดี ผมขออนุญาตให้ท่านได้ปรบมือแสดงความขอบคุณท่านหัวหน้าพรรคชาติไทย ท่านอดีตนายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา (เสียงปรบมือ) และพรรคประชาราษฎร์ครับ คุณเสนาะ เทียนทอง ครับ (เสียงปรบมือ)
และแน่นอนที่สุดครับ ค่ำคืนวันนี้เราจัดงานขึ้นเพื่อเป็นการระดมทุนซึ่งผมขอถือโอกาสนี้กราบขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของพรรคประชาธิปัตย์ ผมอยากจะกราบเรียนว่า ทุก ๆ ท่านที่ได้มีส่วนสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีส่วนสำคัญที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์นั้นสามารถดำเนินงานทางการเมืองไม่เพียงเฉพาะในการดำเนินงานเฉพาะหน้าครับ แต่ว่าการที่เราระดมทุนระดมการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนที่มีความหลากหลายนั่นคือการทำให้พรรคของเราเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นพรรคการเมืองที่เป็นสถาบัน
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพครับ 60 ปีของพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ใช่แค่ 60 ปีของการดำรงอยู่ของกลุ่มนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เป็น 60 ปีของการสืบทอด ของการสืบสานอุดมการณ์ และการนำอุดมการณ์นั้นไปรับใช้พี่น้องประชาชน ประเทศชาติ และส่วนรวม เป็น 60 ปีที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ซึ่งมีคุณค่าในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชนและช่วยให้ประเทศชาติของเราได้ฟันฝ่าหลายต่อหลายเหตุการณ์สืบเนื่องมา จากประวัติศาสตร์ที่เราได้นำบางส่วนมาแสดงให้ท่านทั้งหลายเห็นในวันนี้ ท่านก็คงจะเห็นชัดเจนแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการฟันฝ่าวิกฤตต่าง ๆ ของประเทศ การต่อสู้กับการเมืองที่ไม่ถูกต้อง การต่อสู้กับเผด็จการที่มาในหลายรูปแบบ การนำพาประเทศหลังจากที่บ้านเมืองบอบช้ำจากความขัดแย้ง ไม่ใช่เฉพาะในยุคก่อตั้งพรรคเท่านั้น แต่ผ่านเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่ถือเป็นวิกฤตสำคัญทางการเมืองนับตั้งแต่เรามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 พรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้รับโอกาสจากพี่น้องประชาชนในการที่จะฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูบ้านเมืองหลังวิกฤต และไม่เพียงเฉพาะแต่วิกฤตทางการเมืองเท่านั้น ในประวัติศาสตร์ 60 ปีของพรรค เราก็ต้องเข้าไปทำหน้าที่ในการฟื้นฟูวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจ อย่างเช่นในช่วงปีพ.ศ. 2540 ที่ผ่านมา และนอกจากการแก้ไขปัญหาการคลี่คลายวิกฤตสถานการณ์ต่าง ๆ แล้ว ความภาคภูมิใจของเราชาวประชาธิปัตย์ ในรอบ 60 ปีคือการได้มีส่วนร่วมในการสร้างไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง ร่วมสร้างบ้านเมืองที่จะนำมาสู่ประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน
ผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ในรอบ 60 ปีเป็นสิ่งที่เรามีความภาคภูมิใจ ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจความเจริญที่ได้มีการกระจายออกไปตามกระบวนการพัฒนาหลายสิบปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญ เช่น ความเจริญที่ออกไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ นั้น ส่วนหนึ่งก็คือไปตามถนนหนทางต่าง ๆ และโครงการสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ผลักดันและทำไว้คือโครงการถนน 4 ช่องจราจร ที่ไปทุกทิศทุกภาค และมีส่วนสำคัญในการนำความเจริญและการพัฒนาไปสู่พี่น้องในชนบท ในการบริหารเศรษฐกิจในรอบ 60 ปีที่ผ่านมาเราก็มีความภาคภูมิใจ เพราะว่าถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์ ถามว่าช่วงใดที่เศรษฐกิจของประเทศไทยถูกจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเศรษฐกิจไทย คำตอบก็คือในช่วงที่มีรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ (เสียงปรบมือ)
แม้แต่เรื่องของตลาดทุน ตลาดเงิน หากจะถามว่าในยุคใด ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ สูงสุดในประวัติศาสตร์ คำตอบก็คือในช่วงการบริหารงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน (เสียงปรบมือ) แต่ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น หัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศคือบริการที่ครบถ้วนทุกด้าน ครอบคลุมไปถึงเรื่องสังคม ประชาธิปัตย์ในอายุ 60 ปีได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องของการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการสำคัญที่สุด ตั้งแต่การขยายการศึกษาขั้นพื้นฐาน 4 ปี เป็น 6 ปี เป็น 9 ปี จนมาถึง 12 ปีในปัจจุบัน ก็เป็นนโยบายและเป็นงานสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนพี่น้องประชาชนคนยากคนจนให้สามารถมีลูกหลานและเข้าโรงเรียนได้ มีอาหารกลางวันรับประทาน มีนมดื่ม จบการศึกษาขั้นพื้นฐานสามารถกู้ยืมเงินเพื่อเรียนต่อได้ นั่นก็เป็นงานที่พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างไว้
แม้กระทั่งการบริการทางด้านสาธารณสุข การขยายโรงพยาบาล สถานีอนามัย ครอบคลุมไปเกือบทั่วประเทศ การมีสวัสดิการของการรักษาพยาบาลฟรี สำหรับเด็ก สำหรับผู้สูงอายุ สำหรับคนยากคนจน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่พรรคประชาธิปัตย์สร้างไว้ทั้งสิ้น ผมจึงกราบเรียนแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับว่า เมื่อเรามองย้อนกลับไปนั่นคือความภาคภูมิใจที่แท้จริง ความสำคัญคงไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล ความสำคัญอาจจะไม่ได้อยู่แม้แต่การที่บอกว่าเราเป็นพรรคการเมือง แต่ความสำคัญคือ 60 ปีของการทุ่มเททำงานเพื่อบ้านเมืองแต่เพื่อประชาชนอย่างเต็มร้อย ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตนั่นคืออุดมการณ์ของการได้ยึดถือและสืบทอดสืบสานมา 60 ปี จนถึงทุกวันนี้ (เสียงปรบมือ)
ท่านผู้มีเกียรติครับ ผมเป็นคนที่สนใจและตัดสินใจเข้ามาสู่การเมืองด้วยความศรัทธาในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ผมใฝ่ฝันที่จะเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้า มีความเจริญ พัฒนาทัดเทียมกับอารยประเทศ ต้องการที่จะเห็นพี่น้องคนไทยอยู่เย็นเป็นสุข และต้องการที่จะให้ประโยชน์ทั้งหลายตกอยู่แก่ประชาชนทุก ๆ ด้าน และที่สำคัญก็คือผมใฝ่ฝันที่จะเห็นการผลักดันความอยู่เย็นที่จะเกิดขึ้นได้นั้นด้วยวิถีทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย วิถีทางการเมืองที่บริสุทธิ์ ที่พี่น้องประชาชนมีสิทธิ มีเสรีภาพ มีศักดิ์ศรีในทุก ๆ ด้าน นั่นคือความคิดคือความใฝ่ฝันของผมที่ตรงกับพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ผมมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ผมมีภาระหน้าที่สำคัญที่จะต้องนำพาพรรคเพื่อเข้าไปสานต่ออุดมการณ์ สานต่อความฝันที่อยากจะเห็นความเจริญ ที่อยากจะเห็นความรุ่งเรืองในประเทศ แต่เมื่อเรามองไปรอบ ๆ วันนี้ เราเห็นความกังวลของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศในวิกฤตที่เกิดขึ้นหลายวิกฤตด้วยกัน แม้กระทั่งขณะนี้พี่น้องประชาชนของเราบางส่วนก็มีความกังวล มีความทุกข์ กับปัญหาที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ ในภาคเหนือซึ่งเกิดเหตุการณ์อุทกภัย ในวันนี้พี่น้องของเราทางใต้ สูญเสียขวัญกำลังใจจากเหตุการณ์ที่เป็นการก่อการร้าย เป็นการกระทำต่อผู้บริสุทธิ์ซึ่งส่งผลสะเทือนและสร้างความเศร้าสลดใจให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ
วันนี้พี่น้องทั่วประเทศต้องประสบกับวิกฤตปากท้อง ของแพง ค่าไฟแพง น้ำมันแพง และในวันนี้ความหวังที่เราเคยตั้งไว้ ว่าประเทศไทยของเราจะมีความเจริญมีความก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ เรากลับพบความจริงว่าเศรษฐกิจของเราก็ยังมีความอ่อนแอ ถ้ามองย้อนกลับไป 4-5 ปีที่ผ่านมา เราจะพบความจริงอย่างหนึ่งว่าเราอาจจะไปเข้าใจว่าเศรษฐกิจของเราเข้มแข็งแล้ว เพราะเติบโตในอัตราที่ดีในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้า แต่ถ้าดูอย่างลึกซึ้งเราจะพบความจริงว่าเศรษฐกิจของเราที่ขยายตัวนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน เศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่เทียบเคียงได้กับเรา และหากเรามองต่อไปด้วยว่าเราเคยตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจของไทยจะเข้มแข็งแล้ว พึ่งพาตนเองได้แล้ว เราก็กลับจะพบว่าวันนี้เศรษฐกิจไทยกลับพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ทั้งในแง่ของการให้เศรษฐกิจของเราขยายตัวและการพึ่งพิงในเรื่องอื่น ๆ ที่ชัดเจนที่สุดคือในเรื่องของน้ำมันและการพลังงาน ปีนี้คนภายนอกเขามองเข้ามา เขาก็ประเมินเขาก็จัดอันดับประเทศไทย เศรษฐกิจไทย องค์กรระหว่างประเทศคือ IMD ประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยปีนี้เราตกไปถึง 5 อันดับ จากที่เคยอยู่ในอันดับที่ 27 เราก็ตกไปอยู่ในอันดับที่ 32 พอเขามองเข้ามาทางการเมืองก็ปรากฏว่าองค์กรระหว่างประเทศที่เขาประเมินสร้างตัวชี้วัดเกี่ยวกับความเป็นประชาธิปไตยของเรา เกี่ยวกับเสรีภาพของเรา ทุกอย่างถดถอยชัดเจนที่สุดก็คือกลุ่มสื่อมวลชนไร้พรมแดนได้จัดอันดับเสรีภาพสื่อสารมวลชนในประเทศไทย ในปีเดียวประเทศไทยตกอันดับจากอันดับที่ 69 มาอยู่อันดับที่ 107 ในบรรดาประเทศต่าง ๆ ในโลก เพราะฉะนั้น ปีที่ 61 ของพรรคประชาธิปัตย์เป็นปีที่มีความท้าทายอย่างยิ่งว่าในฐานะที่เราเป็นสถาบันทางการเมืองคู่กับประเทศไทยของเรา เราจะมีแนวทาง เราจะมีหนทางที่จะนำพาประเทศออกจากวิกฤตตรงนี้เพื่อสานฝัน สานอุดมการณ์ ของเราอย่างไร
ท่านผู้มีเกียรติครับ สิ่งนี้คือสิ่งที่พวกเราชาวประชาธิปัตย์กำลังทุ่มเทอย่างเต็มที่ ผมได้ใช้เวลาในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทำในสิ่งที่มีความจำเป็นในการเตรียมการเข้าไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่สำคัญของประเทศและไม่ได้ละเลยต่อความทุกข์ร้อนที่กำลังเกิดขึ้น พรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าผมก็จะเดินทางไปที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และที่จังหวัดสุโขทัยเพื่อไปเยี่ยมให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องประชาชนของเราที่ประสบกับอุทกภัย และวันนี้ด้วยความกรุณาของท่านทั้งหลายที่ได้ให้การสนับสนุนเรื่องทุนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งความจริงแต่เดิมตั้งใจที่จะไปดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ผมได้ประชุมอดีตส.ส.ของพรรคฯ ในวันนี้ และได้มีมติชัดเจนว่าเงินที่ได้จากการระดมทุนในวันนี้เบื้องต้น 9 ล้านบาท เราจะไปมอบให้กับกรมกิจการพลเรือนของกองทัพเพื่อช่วยสนับสนุนกองทัพในการทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย (เสียงปรบมือ) สาขาพรรคฯ สำนักงานพรรคฯ ก็จะได้เปิดรับบริจาค ระดมสิ่งของ ซึ่งที่จำเป็นที่สุดในขณะนี้ก็คือบรรดาวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไปสนับสนุนการทำงานของทหารช่างของ กทม. ภายใต้การบริหารของท่านรองหัวหน้าพรรคฯ อภิรักษ์ และหน่วยงานอื่น ๆ ในการช่วยเหลือในเรื่องที่อยู่อาศัย และนอกเหนือจาก 9 ล้านที่จะไปสมทบตรงนี้แล้ว เราได้มีมติที่จะจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือในระยะยาว จะขอนำเงินของท่านที่ได้ช่วยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้อีก 20 ล้านบาท เพื่อไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนภาคเหนือในเรื่องของทุนการศึกษาและในเรื่องของการฟื้นฟูวิถีชีวิต และอาชีพ (เสียงปรบมือ)
นี่คือสิ่งที่เป็นภารกิจเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของพรรคการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และแน่นอนครับ ปัญหาอื่น ๆ ที่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศกำลังเผชิญอยู่นั่นก็คือภารกิจที่เราทิ้งไม่ได้อย่างแน่นอน ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีที่ผ่านมา ผมได้บอกกับสมาชิกพรรคและพี่น้องประชาชนครับว่าวิกฤตต่าง ๆ ของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ หลายคนอาจจะมองว่าซับซ้อน หลายคนอาจจะมองว่ายากต่อการแก้ไข แต่ที่จริงแล้วส่วนหนึ่งของปัญหาที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือการเมือง การเมืองซึ่งมีผลประโยชน์ของพวก การเมืองซึ่งมีผลประโยชน์ของพรรค การเมืองที่คิดถึงแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าจะเป็นเงินทอง หรือคะแนนเสียง นั่นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา นั่นเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤต ผมก็ได้ประกาศชัดเจนว่าเวลานี้พี่น้องประชาชนคนไทยต้องการ การเมืองใหม่ การเมืองที่พี่น้องประชาชนทั้งประเทศมาร่วมกำหนดนโยบาย ผมจึงได้นำพาพรรคประชาธิปัตย์เข้าสู่กระบวนการของการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไขปัญหากับพรรคฯ โดยการเริ่มต้นกระบวนการสมัชชาประชาชนตั้งแต่เดือนตุลาคมเมื่อปีที่แล้ว และวันนี้ก็ถึงเวลาที่จะผลักดันในสิ่งที่ผมเรียกว่า วาระประชาชน คือการเมืองและนโยบายเพื่อประชาชนและเพื่อประชาชนเท่านั้นเพื่อเป็นทางออกของวิกฤตต่าง ๆ ของประเทศ
อย่างปัญหาทางด้านเศรษฐกิจนั้น วาระของประชาชน จะเป็นคำตอบทั้งของปัญหาเฉพาะหน้า และจะเป็นคำตอบสำหรับความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยและโอกาสของคนไทยในระยะยาว ผมขอยกตัวอย่าง พี่น้องประชาชนคนไทยจำนวนมากบ่นทุกวันว่าน้ำมันแพง ค่าไฟแพง เราเข้าใจดีหลายคนบอกว่า สาเหตุของน้ำมันที่แพง ค่าไฟที่แพงนั้นเกิดขึ้นมาจากตลาดโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นรัฐบาล คนที่เป็นผู้นำไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่ใช่ วันนี้ส่วนหนึ่งที่ราคาน้ำมันแพงก็เพราะว่าทุกคนที่ใช้น้ำมันต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันของรัฐบาล กองทุนน้ำมันซึ่งมีหนี้อยู่ 6 หมื่นล้าน สืบเนื่องมาจากการเข้าไปแทรกแซงราคาน้ำมันของรัฐบาลในช่วงก่อนหน้านี้ วันนี้ผมไม่ตั้งใจมาตำหนิใครกับเหตุการณ์ในอดีต แต่บอกว่าวาระประชาชนคือการเรียกร้องสิ่งที่ต้องทำในปัจจุบัน หนี้สินของกองทุนน้ำมันไม่ใช่ความผิดของประชาชน ไม่มีเหตุผลที่จะให้ประชาชนมาแบกรับภาระหนี้สินตัวนี้ด้วยการเสียเงินเพื่อซื้อน้ำมันแพงต่อไป แต่ถ้าผมและพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสเข้าไป เราจะยอมรับว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันเป็นของรัฐบาล รัฐบาลต้องบริหารจัดการปัญหานี้ ซึ่งทำได้ มันมีวิธีการทั้งการยืดหนี้ที่เกิดขึ้นในกองทุนน้ำมันออกไป มันมีกำไรของรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปไปคือ ปตท. จำนวนมหาศาลที่เก็บเอาไว้เฉย ๆ หน้าที่ของรัฐบาลวันนี้คือเอาส่วนเกิน เอากำไรตรงนั้นคืนให้ประชาชน ซึ่งผมศึกษาดูแล้วทำได้ไม่กระทบกระเทือนอะไรทั้งสิ้นต่อสถานะของบริษัท สามารถที่จะล้างหนี้ที่เกิดขึ้นในอดีต และทำให้ราคาน้ำมันลดลงทันทีสำหรับดีเซล และเบนซิน ลิตรละ 1 บาทกับ 1.50 บาท (เสียงปรบมือ) ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอคอยครับ นี่คือสิ่งที่การเมืองของประชาชนเรียกร้องว่าจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากค่าไฟ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาในการจะถกในเรื่องของการปรับขึ้นค่าไฟที่เรียกว่า FT เพราะว่ามันมีสูตรที่รัฐบาลไปกำหนดเอาเองว่าจะต้องขึ้นค่าไฟตามต้นทุนเพื่อประกันผลตอบแทนต่อการลงทุนของกิจการไฟฟ้า ที่ไม่จำเป็นเพราะวันนี้ วาระประชาชน คือการเรียกร้องให้รัฐบาลน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลปกครองที่บอกแล้วว่าการแปรรูปในลักษณะที่จะไปสร้างองค์กรผูกขาด มันไม่สามารถกระทำได้ มันไม่ตรงต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย และถ้าน้อมรับตรงนี้แล้วเพียงยกเลิกสูตรการคำนวณที่บอกว่าต้องประกันผลตอบแทนต่อการลงทุนค่าไฟ ทั้ง FT ค่าไฟพื้นฐาน ก็จะสามารถปรับลดลงทันทีได้เช่นกัน นี่คือส่วนหนึ่งของวาระประชาชน (เสียงปรบมือ) ถ้าค่าไฟ ค่าน้ำมันเราสามารถลดภาระได้ทันที นั่นหมายความว่าการควบคุมไม่ให้ราคาสินค้าต่าง ๆ แพงขึ้นไปกว่านี้ จ่อรอขึ้นอยู่ในขณะนี้เราก็จะสามารถชะลอ เราก็จะสามารถควบคุมได้ และสิ่งที่ผมได้เสนอและเรียกร้องขณะนี้ต่อผู้รับผิดชอบก็คือการบริหารจัดการนโยบายทางด้านการเงินการคลังที่เหมาะสม ดูแลอย่าให้ดอกเบี้ยซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไปอีก อย่าให้อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินบาทของเราแข็ง จนกระทบกับการส่งออกของประเทศ ถ้าเราหันเหนโยบายมาสู่การลดต้นทุนสำหรับภาคประชาชนและภาคธุรกิจ นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดในการประคับประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ให้ผ่านช่วงของวิกฤตและก็ทำให้เราสามารถรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้นสำหรับวาระประชาชนก็คือ การมองไปในอนาคตด้วย การมองไปว่าทำอย่างไร ประเทศไทยและเศรษฐกิจไทยจะมีความเข้มแข็งจะสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้ท่ามกลางความแข็งขันที่รุนแรง มีหลายเรื่องที่ต้องทำครับ
แต่วันนี้ผมขอนำเสนอ 3 เรื่องหลักที่เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยนั้นจะมีความเข้มแข็งต่อไปในอนาคต สิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมย้ำมาโดยตลอดนั่นก็คือ ไม่มีการลงทุนใดในอนาคตดีกว่าการลงทุนในเรื่องของการศึกษา (เสียงปรบมือ) ไม่มีการลงทุนอะไรที่จะคุ้มค่า ไม่มีการลงทุนที่จะสำคัญไปกว่าเรื่องนี้แล้ว และการดำเนินงานในเรื่องของการศึกษานั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงเกือบทั้งระบบ เมื่อปลายเดือนเมษายน ผมได้ประกาศว่าเมื่อรัฐธรรมนูญ เมื่อนโยบาย เมื่อเจตนารมณ์ ของหลายฝ่ายเราบอกว่าพี่น้องประชาชนนั้นต้องสามารถส่งลูกหลานเรียนฟรีได้ 12 ปี แต่วันนี้ยังไม่ฟรีจริง สิ่งที่รัฐบาลต้องถือเป็นภาระ สิ่งที่ผมตั้งใจอย่างเต็มที่คือต้องทำสิ่งนี้ให้เป็นจริง หลังจากที่ผมประกาศไปวันนั้น ท่านรองหัวหน้าพรรคฯ ในฐานะผู้ว่ากทม. ลงไปดูตัวเลข กรณีของโรงเรียนของ กทม. ก็ยอมรับตามความเป็นจริงครับว่า ในที่สุดแล้ว เด็กที่อยู่ในโรงเรียน กทม. ยังไม่ได้เรียนฟรี เขาถูกเก็บค่าประกัน เขาถูกเก็บค่ากิจกรรม เขาถูกเก็บค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ระดับอนุบาล ระดับประถม ระดับมัธยม เพิ่มขึ้นไปหัวละจนถึงพันกว่าบาท ท่านผู้ว่าอภิรักษ์ ก็ไปดูครับว่า ถ้าจะเลิกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปทั้งหมดใช้เงินเท่าไหร่ ศึกษาออกมาแล้ว 350 ล้านบาท วันนี้ท่านบอกกับผมนะครับว่าในฐานะที่ประชาธิปัตย์ดูแล กทม.นั้น 350 ล้านบาทจะจัดให้เทอม 2 เด็กในโรงเรียน กทม. เรียนฟรีแน่นอนทุกคน (เสียงปรบมือ)
แต่นอกเหนือจากการเรียนฟรีแล้ว หัวใจสำคัญในเรื่องของการลงทุนเรื่องการศึกษาก็คือการปรับปรุงคุณภาพ ก็คือการดูแลว่าโอกาสที่ลูกหลานของเราได้รับจากการศึกษานั้นมันเป็นโอกาสที่จะนำไปสู่การมีอาชีพ การมีรายได้ที่แท้จริง วันนี้ถามไถ่ไปยังพี่น้องในภาคธุรกิจเอกชน หรือแม้กระทั่งในภาคราชการ ทุกคนจะตอบตรงกันครับว่าระบบการศึกษาของเรานั้นยังไม่ตอบสนอง คนที่จบการศึกษาไปจะต้องไปทำงานยังขาดทักษะที่สำคัญ ๆ อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องของภาษาอังกฤษ และความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ และคอมพิวเตอร์ วาระประชาชนต้องผลักดันให้เด็กไทย ได้เรียนภาษาอังกฤษได้เรียนคอมพิวเตอร์ มีทักษะเหล่านี้อย่างพอเพียงตั้งแต่เนิ่น ๆ และจะต้องมีการจัดโครงการใหญ่ในเรื่องของการอบรมเพิ่มพูนความพร้อมให้แก่เพื่อนครูของเราในโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อทำเรื่องนี้ นอกจากนั้นหัวใจสำคัญของการที่จะต้องปรับปรุงระบบการศึกษาของเราก็คือ ขณะนี้เราขาดแคลนคนที่เรียนจบทางด้านสายอาชีพ หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในความเป็นจริงขณะนี้คือการสนับสนุนอาชีวะศึกษา ให้พอเพียงตอบสนองความต้องการของระบบเศรษฐกิจของเรา และให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและในการจัดอาชีวะศึกษามากขึ้น เราจะผลักดันกฎหมายอาชีวะศึกษาโดยเร็วเพื่อตอบสนองเป้าหมายนี้ และที่สำคัญก็คือว่า เราจะมีการเพิ่มแรงจูงใจส่งสัญญาณไปยังคนหนุ่มคนสาวของเราว่า การศึกษาในระบบสายอาชีพในอาชีวะศึกษานั้น เขาจะมีอนาคตที่ดี ผมตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะต้องผลักดันครับว่า อย่างน้อยการส่งสัญญาณจากภาคราชการเพิ่มเงินเดือน ค่าตอบแทนให้คนจบการศึกษาสายอาชีพทันที เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังภาคเอกชนและจูงใจให้เด็กของเรานั้นเข้าศึกษาสายอาชีพมากยิ่งขึ้น นี่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาที่จำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุง และถือเป็นนโยบายสำคัญที่สุดที่จะสร้างความเข้มแข็งไม่เพียงเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ แต่สำหรับสังคมไทยด้วย
เรื่องที่สองที่มีความจำเป็นมากคือเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่พอเราพูดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานวันนี้ หลายคนก็คิดถึงการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ขนาดยักษ์ มูลค่าหลายล้าน ล้าน บาท แนวทางที่ทำอยู่บอกจะทำพร้อมกัน แล้วก็เกิดความไม่แน่นอน เกิดความสับสน เกิดความไม่แน่ใจว่าจะทำได้เมื่อไหร่ กติกาคืออะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้สำหรับคนเป็นผู้นำ คือการเล็งเห็นว่าจะจัดลำดับความสำคัญอย่างไร ผมสนับสนุนให้มีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการขนาดใหญ่ชัดเจน และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือโครงการขนาดใหญ่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวันนี้ควรจะไปแก้ปัญหาในเรื่องของพลังงาน และเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ ฉะนั้นจะต้องดึงโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยลดการใช้พลังงานและช่วยทำให้เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นโครงการที่จะเดินหน้าในลำดับแรก นั่นหมายถึงเรื่องของโครงการในเรื่องของขนส่ง ขนส่งมวลชน ขนส่งทางน้ำ ขนส่งในระบบกลาง วันนี้การตัดสินใจว่าควรจะเดินหน้าโครงการไหนมันไม่ยากเลยครับ ถ้ายึดประโยชน์และหลักวิชาเป็นที่ตั้ง
อย่างกรณีของขนส่งมวลชน ในกรุงเทพฯ วันนี้ไม่ควรไปถกเถียงอะไรหรอกครับ การลงทุนในรถไฟฟ้านี้ ตรงประเด็นของการแก้ปัญหาที่สุดคือ หนึ่ง ทำให้โครงการรถไฟใต้ดินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ต่อให้ครบเป็นวงแหวน แล้วก็ต่อเส้นทางเดินรถไฟฟ้าออกไปใน 3 ทิศ คือทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ทิศเหนือคือไปรังสิตครับต้องเป็นโครงการใหม่ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้นโชคดีว่า กรุงเทพมหานครรับผิดชอบเส้นทางเหล่านี้อยู่แล้ว และเมื่อวันพุธที่ผ่านมาครับ (24 พ.ค.49) ผู้บริหาร กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ผลักดันให้สภากทม. ได้อนุมัติในส่วนต่อขยายในโครงการรถไฟลอยฟ้าไปยังทิศตะวันออกและตะวันตก คือไปจากอ่อนนุช และไปจนถึงบางหว้า เรียบร้อย (เสียงปรบมือ)
นี่เป็นตัวอย่างครับว่า ถ้าเราไม่คิดถึงประโยชน์อื่น แต่เราคิดถึงความต้องการของประเทศเป็นหลัก เราจะมีคำตอบ และผมเรียนว่าสิ่งที่ผมอยากจะทำมากที่สุดคือ ส่วนต่อขยายที่ทำไปนี้ยังมีส่วนหนึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ กทม. อีกส่วนหนึ่งเป็นความรับผิดชอบของ รฟม. อีกส่วนหนึ่งจะต้องไปทำบนพื้นที่ของการรถไฟฯ และขณะเดียวกัน การเดินรถเมล์ก็ยังเป็นความรับผิดชอบของ ขสมก. ผมคิดว่าสิ่งที่วาระประชาชนเรียกร้องในวันนี้ก็คือ ทุกฝ่าย ลืมเรื่องผลประโยชน์ของสังกัดของหน่วยงาน ถึงเวลาแล้วที่รวมทุกระบบเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าใต้ดิน ลอยฟ้า จะเป็นของ กทม. รฟม. หรือของรถไฟ และรวมไปถึงการที่จะให้ ขสมก. นั้นมาเดินรถปรับเส้นทางเดินเพื่อป้อนให้คนสามารถมาใช้ระบบขนส่งมวลชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เลิกเล่นการเมือง ยื้อกันไปยื้อกันมา ถ้าวันนี้ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลสนับสนุนทั้ง กทม. รฟม. และการรถไฟฯ เดินหน้ารถไฟฟ้าเพื่อพี่น้องชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑลทันที (เสียงปรบมือ)
ขณะเดียวกันในต่างจังหวัด ในชนบท ผมอาจจะไม่ไปพูดถึงโครงการขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เมกะโปรเจกต์ แต่วันนี้ผมอยากสนับสนุนโครงการขนาดเล็ก ท่านจะเรียกมินิโปรเจกต์ก็ได้ ให้เกิดขึ้นทั่วทุกเทศบาล หรือแม้กระทั่งเกิดขึ้นทั่วทุกตำบล โครงการทั้งหมดนี้จะเป็นโครงการในเรื่องของการจัดทำพลังงานทดแทน จะเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับชาติซึ่งผมตั้งใจว่าจะต้องเกิดขึ้นเพื่อมารับผิดชอบจริงจังเสียที กับการใช้พลังงานทดแทนและส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน ทำงานร่วมกับภาคเอกชนที่ต้องการลงทุนและทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลิตพลังงานจะเป็นจากผลผลิตทางการเกษตรก็ได้ จะเป็นจากขยะก็ได้ จะเป็นจากฟาร์มหมูก็ได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราควรจะประกาศให้เป็นวาระของประชาชนให้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั้งประเทศ จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และจะเป็นการลงทุนที่จะทำให้ประเทศไทยนั้นพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันน้อยลงอย่างแท้จริง และจะนำไปสู่ความก้าวหน้าของการใช้พลังงานทดแทน นี่เป็นตัวอย่างของโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องทำ ผมจะยังไม่ไปพูดถึงรายละเอียดในด้านลงทุน เกี่ยวกับโครงการในบางด้านเช่นเรื่องทรัพยากรน้ำ หรือเรื่องอื่น ๆ เพราะคงจะมีโอกาสอื่นวาระอื่นที่จะได้เรียนกับท่านทั้งหลายต่อไป
ประเด็นที่สามที่เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็งในวันนี้ คือธรรมาภิบาล วันนี้เศรษฐกิจที่มีปัญหาหลายส่วนหลายจุด เป็นเพราะเราละเลยเรื่องของการบริหารจัดการที่ดีหรือ ธรรมาภิบาล ทั้งในภาครัฐและอาจจะรวมไปถึงเอกชนด้วย เราไม่ได้วางระบบที่ดี ปล่อยให้เกิดการผูกขาด ปล่อยให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ บางทีภาครัฐเองนั่นแหละไปสร้างการผูกขาด เป็นผู้ไปยอมให้มีการเอารัดเอาเปรียบ ทั้งผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งผู้บริโภคทั้งพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป สิ่งนี้ต้องแก้ เพราะผมเชื่อว่าความเข้มแข็งที่ยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจไทยนั้น คือการสร้างระบบที่มีการแข่งขันที่ดี มีกติกาที่ชัดเจน ที่โปร่งใส ที่จะให้พี่น้องในภาคธุรกิจแข่งขันกันด้วยความสามารถและรัฐที่มีธรรมาภิบาลนั้นจะไปขจัดจะไปลดภาระทั้งหลายที่ไปสร้างให้กับพี่น้องในภาคธุรกิจเอกชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความไม่เป็นธรรมในระบบภาษี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่น การไปสร้างภาระต้นทุนของท่าน จะเป็นเรื่องของศุลกากร จะเป็นเรื่องของท่าเรือ หรือที่ใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องถูกขจัดออกไปและการที่จะขจัดสิ่งเหล่านี้ได้ต้องมีการเมืองที่ดีและต้องมีระบบราชการที่หวนกับไปยึดระบบคุณธรรมที่ทุกองคาพยพ ทุกกลไกของสังคมนั้นทำงานบนพื้นฐานของวิชาชีพเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานด้านบริหาร ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานด้านบริการประชาชนรวมไปถึงเรื่องของกระบวนการยุติธรรม 3 สิ่งนี้แหละครับ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐานที่ดี และธรรมภิบาลคือองค์ประกอบสำคัญของระบบเศรษฐกิจที่ผมเรียกว่าเศรษฐกิจคุณภาพ ที่จะเป็นความยั่งยืนสำหรับอนาคตของประเทศสำหรับอนาคตของเศรษฐกิจไทยแต่ขณะเดียวกันผมก็ทราบว่าระบบเศรษฐกิจของเราที่อิงอยู่กับระบบทุนนิยมการแข่งขันหรือเศรษฐกิจเสรีนั้นเรายังมี พี่น้องประชาชนอีกจำนวนมากที่ทั้งเสียเปรียบและทั้งอ่อนแอ พี่น้องเกษตรกรผู้ใช้แรงงานจำนวนมหาศาลขณะนี้ มีสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ที่ทำให้เขามองไม่เห็นทางออกตรงนี้สิ่งที่ผมคิดว่าวาระประชาชนจะต้องผลักดันก็คือการนำเอาแนวพระราชดำริเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นคำตอบกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงจะต้องเกิดขึ้นเพื่อเข้าไปทำงานและรองรับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ที่มีอยู่ทั่วทั้งประเทศ
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ