1. จีนเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ ในปี 2548 มูลค่าการนำเข้า 660,221.766
ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.73
2. แหล่งนำเข้าสำคัญของจีน ในเดือนมกราคม — ธันวาคม 2548
- ญี่ปุ่น มูลค่า 100,467.562 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 15.22 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.66
- เกาหลีใต้ มูลค่า 76,873.770 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 11.64 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.66
- ไต้หวัน มูลค่า 74,655.059 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 11.31 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.28
- สหรัฐฯ มูลค่า 48,734.976 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 7.38 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.14
ไทยอยู่อันดับที่ 11 มูลค่า 13,993.676 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 2.12 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.29
3. เศรษฐกิจของจีนปี 2549 ทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 9.4 จาก 9.2% ในปี 2548 ในขณะที่การเติบโต
จะอยู่ในระดับที่ช้ากว่าการขยายตัวเมื่อปีที่แล้ว
4. จีนได้เปรียบดุลการค้ากับทั่วโลกในปี 2548 มูลค่า 102,104.994 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 210.95 ได้
เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 มูลค่า 114,203.746 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ขาดดุลการค้ากับไต้หวันเป็นอันดับ 1
มูลค่า 58,096.331 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.44 สำหรับกับประเทศไทยจีนขาดดุลเป็นมูลค่า 6,175.125
ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.63
5. จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 8.28 ของมูลค่าการส่งออกปี 2548 หรือมูลค่า
9,183.39 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.07 ในช่วงระยะเดียวกันกับปี 2547
6. สินค้าไทยส่งออกไปจีน 25 อันดับแรกปี 2548 มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 86.04 ของมูลค่าการส่งออกไปจีน เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 36.96 ในจำนวนนี้มีสินค้าส่งออกที่มีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นสูง ดังนี้
- เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 90 มี 1 รายการ คือ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
- เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 5 รายการ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบแผงวงจร
ไฟฟ้า ทองแดงและของทำด้วยทองแดง หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบมอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
- ลดลงมากกว่าร้อยละ 50 มี 1 รายการ ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป
สถิติการส่งออกสินค้าไทยไปจีนที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูง
ตลาด อันดับที่ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการ % สัดส่วน: ร้อยละ
2547 2548 เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง 2547 2548
1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า
ร้อยละ 90 มี 1 รายการ
- เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ 19 126.66 250.96 124.30 98.13 1.78 2.73
2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า
ร้อยละ 50 มี 5 รายการ
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 1 1,515.31 2,454.63 939.32 61.99 21.30 26.73
- แผงวงจรไฟฟ้า 6 226.49 415.55 189.06 84.48 3.18 4.53
- ทองแดงและของทำด้วยทองแดง 14 56.74 96.07 39.33 69.30 0.80 1.05
- หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 15 90.10 141.79 51.69 57.37 1.27 1.54
- มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 17 64.00 103.01 39.01 60.95 0.90 1.12
รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศ
1) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (HS.72)
การนำเข้าของจีน (2548) มูลค่า 26,230.882 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.99 มีการนำเข้าจาก
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เป็นหลัก
การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 14 สัดส่วนร้อยละ 1.17 มูลค่า 306.045 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.12
2) เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (HS.8471)
การนำเข้าของจีน (2548) มูลค่า 18,025.029 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.25 มีการนำเข้าจาก จีน
ไทย ฟิลิปปินส์ เป็นหลัก
การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 2 สัดส่วนร้อยละ 15.01 มูลค่า 2,704.609 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.84
3) แผงวงจรไฟฟ้า (HS.8542)
การนำเข้าของจีน (ปี 2548) มูลค่า 82,213.113 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.80 มีการนำเข้าจาก
ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย เป็นหลัก
การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 9 สัดส่วนร้อยละ 2.19 มูลค่า 1,796.133 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.41
4) ทองแดงและของที่ทำด้วยทองแดง (HS.74)
การนำเข้าของจีน (ปี 2548) มูลค่า 12,890.250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.04 มีการนำเข้าจาก
ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นหลัก
การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 30 สัดส่วนร้อยละ 0.27 มูลค่า 35.133 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.01
5) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ (HS.8504)
การนำเข้าของจีน (ปี 2548) มูลค่า 5,154.170 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.85 มีการนำเข้าจาก
ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นหลัก
การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 8 สัดส่วนร้อยละ 3.19 มูลค่า 164.502 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.57
6) มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (HS.8501)
การนำเข้าของจีน (ปี 2548) มูลค่า 2,265.585 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.49 มีการนำเข้าจาก จีน
ญี่ปุ่น เยอรมนี เป็นหลัก
การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 4 สัดส่วนร้อยละ 6.86 มูลค่า 155.320 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.00
7. ไทยนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนปี 2548
มูลค่า 11,159.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.03 โดยเป็นสินค้าทุนร้อยละ 44.63 รองลงมาเป็นสินค้า
วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปร้อยละ 40.71 สินค้าบริโภคร้อยละ 12.84 สินค้าเชื้อเพลิง สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง
และสินค้าอื่นๆ รวมกันอีกร้อยละ 1.55
8. การค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนปี 2548
มีมูลค่า 20,343.21 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นการส่งออก 9,183.39 ล้านเหรียญสหรัฐ การนำเข้า 11,159.82
ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนเป็นมูลค่า 1,976.42 ล้านเหรียญสหรัฐ
9. ผลไม้ไทยในประเทศจีน ไทยได้มีข้อตกลงเขตการค้าเสรีสินค้าผักผลไม้กับจีน ซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2546
จากข้อมูลสถิติการนำเข้าผลไม้ในจีนปี 2548 มีการนำเข้าจากตลาดโลกมูลค่า 656.290 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.97 มีการนำเข้าจากไทยเป็นอันดับหนึ่ง สัดส่วนร้อยละ 27.50 มูลค่า 180.499 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง
ร้อยละ 0.67 รองลงไปเป็นการนำเข้าจากสหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ ชิลี และเวียดนาม
ผลไม้ที่จีนนำเข้าจากไทยได้แก่ ลำใยสด ทุเรียน มังคุด ลำใยแห้ง ลิ้นจี่ กล้วย เงาะ และอื่นๆ
การแข่งขัน: การส่งออกผลไม้ไทยไปจีนขณะนี้ยังมีคู่แข่งที่ค่อนข้างน้อย แต่ยังไม่ควรวางใจเนื่องจากขณะนี้
เวียดนามกำลังขยายการส่งออกลำใยสดไปจีนเพิ่มขึ้น แม้จะมีสัดส่วนที่น้อยกว่าไทยมาก ส่วนเงาะไทยต้องแข่งขันกับเวียดนาม
สำหรับทุเรียน มังคุด และลิ้นจี่ไทยสามารถครองตลาดนำเข้าของจีนเป็นอันดับหนึ่ง
จากข้อมูลสถิติการนำเข้าผักในจีนปี 2548 มีการนำเข้าจากตลาดโลกมูลค่า 523.769 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 29.41 มีการนำเข้าจากไทยเป็นอันดับหนึ่ง สัดส่วนร้อยละ 65.26 มูลค่า 341.819 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ
24.88 รองลงไปเป็นการนำเข้าจากเวียดนาม แคนนาดา อินโดนีเซีย และอินเดีย ผักที่จีนนำเข้าจากไทยได้แก่ มันสำปะหลัง
การแข่งขัน : การส่งออกมันสำปะหลังไทยไปจีน นับว่ายังมีคู่แข่งขันที่ค่อนข้างน้อย แม้เวียดนามจะส่งออก
มันสำปะหลังเช่นเดียวกับไทย แต่คุณภาพด้อยกว่าของไทย ดังนั้นไทยยังคงได้เปรียบทั้ง ด้านคุณภาพและปริมาณการสั่งซื้อจากจีน
ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น
1. จากข้อมูลที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ แถลงตัวเลขสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนพุ่งถึง 201.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งสูงกว่าปีก่อน 24.5% ส่งผลให้จีนถูกสหรัฐฯ กดดันในเรื่องการส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าเสื้อผ้า
และสิ่งทอ ภายหลังจากที่องค์การค้าโลกยกเลิกระบบโควตา โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ได้แถลงตัวเลขการขาดดุลของสหรัฐฯ
ปี 2548 กับจีนซึ่งมีมูลค่าถึง 201.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าปีก่อนถึง 24.5% ด้วยเหตุนี้สหรัฐฯ จึงมีทีท่าว่าจะปรับนโยบาย
การค้าที่เกี่ยวข้องกับจีนพร้อมกับลงความเห็นว่าจีนควรรับผิดชอบและต้องเปิดตลาดพร้อมกับบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทาง
ปัญญา นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังต้องการที่จะนำกฎหมาการค้าของสหรัฐฯ มาบังคับใช้กับจีนอีกด้วย ในขณะที่จีนไม่แสดงทีท่าตอบโต้สหรัฐฯ
แต่กลับมีความเห็นว่าการคุกคามของสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย แต่จะยิ่งมีผลลบต่อความสัมพันธ์ทางการค้า
ด้วยเหตุนี้จีนได้เรียกร้อง ให้สหรัฐฯ หาวิธีแก้ปัญหาด้วยการเจรจาสองฝ่าย บนพื้นฐานความเท่าเทียมกัน
2. การเข้าสู่ตลาดจีนของธุรกิจต่างชาติ ปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายขึ้นมาก ปัญหาอยู่ที่การแข่งขัน และที่ผ่านมาบริษัท
อเมริกันส่วนใหญ่สามารถสร้างกำไรจากธุรกิจในจีนได้ อีกทั้งความร่วมมือระหว่างจีน — สหรัฐฯ นับเป็นสิ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนและสหรัฐฯ ช่วยเสริมซึ่งกันและกัน โดยในช่วงปี 1990 บริษัทต่างชาติที่มีฐานะอยู่ในสหรัฐฯ ยุโรป
ญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ
ในเอเซียได้ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศจีน และเป็นที่แน่นอนว่าการควบคุมและผลประโยชน์ต่างๆ ตกเป็นของ
บริษัทต่างชาติ ในขณะที่จีนได้กำไรจากค่าแรงที่ต่างชาติว่าจ้าง และมิใช่ผลกำไรจากการจำหน่ายสินค้า ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน
ตัวจริงคือ กลุ่มพนักงานในบริษัททั่วโลกที่ต้องตกงานเพราะนายจ้างตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปยังจีน โดยสถิติล่าสุดของกรม
ศุลกากรจีนระบุว่า ประมาณร้อยละ 60 ของการส่งออกทั้งหมดของจีน มาจากบริษัทที่ลงทุนโดยต่างชาติ และมีแนวโน้มจะมีสัดส่วน
เพิ่มมากขึ้นในการส่งออกสินค้าประเภทชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนั้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งที่จีนได้รับมีเพียง
ตัวเลขที่สวยหรู ขณะที่บริษัทอเมริกันและต่างชาติอื่นๆ ได้กำไรที่แท้จริง
3. เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน ธนาคารแห่งชาติจีนได้แถลงว่าในปีนี้จีนจะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน
ให้มีความเสถียรภาพโดยพื้นฐาน ในระดับดุลภาพและสมเหตุสมผล และพร้อมปล่อยให้กลไกตลาดทำหน้าที่พื้นฐานในการกำหนด
อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน อีกทั้งยังได้ระบุถึงเป้าหมายในปี 2006 ว่าจะค่อยๆ ผ่อนปรนให้สามารถแลกเปลียนเงินหยวนได้
อย่างสมบูรณ์ในบัญชีทุน รวมทั้งช่องทางไหลเข้าและออกเงินทุนอย่างมีเสถียรภาพ
4. คณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (เอ็นดีอาร์ซี) เปิดเผยว่าปัจจุบันช่องว่างรายได้ของชาวจีนกำลัง
ขยายตัวจนใกล้ถึงจุดวิกฤตแล้ว ขณะเดียวกันกลไกด้านกระจายรายได้ยังขาดความเหมาะสม โดยมีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
ระหว่างคนรวยและคนจนค่อนข้างมากและใกล้เข้าสู่ระดับที่ขาดความเสมอภาค ซึ่งกลุ่มประชากรที่มีรายได้ต่ำสุดโดยมีสัดส่วน
ประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศได้รับส่วนแบ่งเพียง 2.75% ของรายได้ทั้งหมดและเท่ากับ 4.6% ของรายได้ของ
กลุ่มคนรวยที่สุด ทั้งนี้การกระจายรายได้ของประชากรจีนโดยทั่วไปยังขาดความเหมาะสม อาทิ รายได้ของคนในบางอาชีพที่
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือระดับรายได้ระหว่างผู้บริหารและลูกจ้างที่แตกต่างกันมาก
ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าจีนยังขาดกลไกที่เป็นธรรมและรัฐบาลควรจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของประชากรที่มีรายได้ระดับกลาง
และเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มที่มีรายได้ต่ำเพื่อให้เกิดความเสมอภาคในสังคม
5. ขณะนี้จีนได้เชิญชวนนักธุรกิจไทยไปลงทุน ซึ่งจะเห็นได้จากทางการเขตจิ่นเจียง เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน
แถลงว่ามีบริษัทในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป แสดงความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนสร้างห้างสรรพสินค้า ณ ศูนย์กลางธุรกิจ เมืองเฉิงตู
ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางความเจริญและเป็นเมืองที่มีโอกาสทางธุรกิจมาก เนื่องจากนโยบายพัฒนาภาคตะวันตกของจีน ซึ่งในปีที่ผ่าน
มามูลค่าการค้าที่เกิดขึ้นในเขตจิ่นเจียงสูงถึง 39,000 ล้านหยวน คิดเป็นสัดส่วนถึง 63% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งหมด
ของจิ่นเจียง ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทจากประเทศไทยที่เข้าไปลงทุนในเฉิงตูยังมีไม่มากนัก หนึ่งในนั้นได้แก่ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์
อย่างไรก็ตามเมืองเฉิงตูคือหนึ่งในเป้าหมายที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) จะส่งเสริมนักธุรกิจไทยให้
ไปลงทุน และในอนาคตอันใกล้นี้บีโอไอจะไปจัดตั้งสำนักงานในเมืองเฉิงตูเพื่อให้คำปรึกษาแก่นักลงทุนไทยอีกด้วย
ที่มา: http://www.depthai.go.th