อุตสาหกรรมยาเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของมนุษย์ จึงนับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ทั้งด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการบริโภค
1. การผลิตในประเทศ
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีจำนวน 5,898.3 ตัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนร้อยละ 1.2 และ 4.4 ตามลำดับ เนื่องจากเคมีภัณฑ์ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปรับราคาสูงขึ้น ในปี 2548 ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจาก การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรและเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้มีปริมาณการผลิต 24,229.3 ตัน ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 4.6 (ตารางที่ 1)
2. การจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีจำนวน 6,004.4 ตัน ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.6 และในปี 2548 มีปริมาณการจำหน่าย23,318.7 ตัน ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 10.2 การขยายตัวของการจำหน่ายในประเทศเนื่องมาจาก คนไทยให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ มีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายยาขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปริมาณการจำหน่ายลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.3 จากปริมาณการจำหน่ายยาน้ำและยาครีมที่ลดลง (ตารางที่ 2)
3. การนำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม ไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีมูลค่า 7,093.6 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 34.4 โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และอิตาลี ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 3,506.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 49.4 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด สำหรับในปี 2548 การนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมมีมูลค่า 27,386.9 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 24.8 โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 13,198.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 48.2 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด การนำเข้ายารักษาโรคส่วนใหญ่เป็นยาสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะยาต้นตำรับ และยามีสิทธิบัตร ที่ใช้สำหรับโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ และไขมันในเส้นเลือด เป็นต้น การนำเข้ายารักษาโรคดังกล่าวสูงขึ้นจากการที่กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการบริโภคยาในปริมาณมากนั้น ให้ความใส่ใจในสุขภาพของตนเองมากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการนำเข้าลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.0 เนื่องจากผู้นำเข้ามักจะนำเข้าสินค้ามามากตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 และลดการนำเข้าลงในไตรมาสที่ 4 เพื่อบริหารสินค้าคงคลัง (ตารางที่ 3)
4. การส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม ไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีมูลค่า 1,670.0 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.2 ตลาดส่งออกที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ เวียดนาม เมียนมาร์ กัมพูชา เบลเยียม และมาเลเซีย โดยการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 843.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.5 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด สำหรับการส่งออกในปี 2548 มีมูลค่า 6,227.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23.7 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เวียดนาม เมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 3,178.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 51.0 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด การขยายตัวของมูลค่าการส่งออก มีสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากมีการส่งออกยารักษาหรือป้องกันโรคที่เป็นยาสำเร็จรูป ประเภทยาชื่อสามัญ รวมถึงการส่งออกแวดดิ้ง ผ้ากอซ ผ้าพันแผลและของที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับป้องกันเชื้อโรคเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 4.7 เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลดลง (ตารางที่ 3)
5. นโยบายรัฐ
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีมติเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2548 ให้ปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยาใหม่ทั้งระบบ เป็นประเภทกิจการผลิตยาและสารออกฤทธิ์สำคัญในยา (Active Ingredient) ซึ่งกิจกรรมการผลิตยา ได้แก่ กิจการยารักษาโรคคนและสัตว์ วัคซีน เป็นต้น จากเดิมที่ให้ส่งเสริมการลงทุนเฉพาะกิจการผลิตสารออกฤทธิ์สำคัญในยา ซึ่งไม่รวมถึงการผลิตยาสำเร็จรูป ทั้งนี้เนื่องจากภายในปี 2551 สถานที่ผลิตยาปัจจุบันต้องมีการปรับปรุง และควบคุมคุณภาพตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา (Good Manufacturing Practice for Pharmaceutical Products : GMP) ตามแนวทางของ PIC/S หรือ Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme โดยหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์แบ่งเป็น กรณีลงทุนใหม่และปรับปรุงโรงงานเดิม โดยทั้ง 2 กรณี จะได้รับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนในการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรไม่ว่าตั้งอยู่ในเขตใด ส่วนการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจะพิจารณาได้ตามเขตที่ตั้ง โดยเขต 1 จะได้รับการยกเว้นภาษี 5 ปี เขต 2 หากตั้งนอกนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรม ได้รับการยกเว้นภาษี 6 ปี แต่หากตั้งในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้ส่งเสริมการลงทุน ได้รับการยกเว้นภาษี 7 ปี สำหรับเขต 3 ได้ยกเว้นภาษีเป็นจำนวน 8 ปี นอกจากนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องดำเนินการให้ได้รับมาตรฐาน GMP ตามแนวทาง PIC/S ภายใน 2 ปี นับแต่ วันเปิดดำเนินการ อีกทั้งหากมีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทักษะ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ก็สามารถรับสิทธิประโยชน์เพิ่มตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวอีกด้วย การให้การส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว นอกจากจะช่วยผู้ประกอบการยาในประเทศในการพัฒนาและปรับปรุงโรงงานเดิมหรือลงทุนสำหรับโรงงานใหม่ ให้สามารถรองรับการผลิตยาให้ได้ตามมาตรฐานของ PIC/S ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตยาแล้ว ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยขจัดการกีดกันทางการค้า และผลักดันให้อุตสาหกรรมยาของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการคุ้มครองผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
6. สรุป
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 ลดลงจาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากวัตถุดิบปรับราคาสูงขึ้น สำหรับปริมาณการจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนไทยให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐมีความต้องการยาที่ผลิตจากภายใน ประเทศ ด้านมูลค่าการนำเข้าและการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ายารักษาหรือป้องกันโรคที่เป็นยาสำเร็จรูป ประเภทยาต้นตำรับ และยาที่มีสิทธิบัตร และส่งออกยารักษาหรือป้องกันโรคที่เป็นยาสำเร็จรูป ประเภทยาสามัญ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันเชื้อโรค
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2549 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 เนื่องจากการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย และการปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยาใหม่ทั้งระบบ สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตรวมถึงภาครัฐบาลพยายามขยายตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น ส่วนมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยยังคงเป็นการนำเข้ายาสิทธิบัตรเป็นหลัก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
1. การผลิตในประเทศ
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีจำนวน 5,898.3 ตัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนร้อยละ 1.2 และ 4.4 ตามลำดับ เนื่องจากเคมีภัณฑ์ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปรับราคาสูงขึ้น ในปี 2548 ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจาก การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรและเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้มีปริมาณการผลิต 24,229.3 ตัน ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 4.6 (ตารางที่ 1)
2. การจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีจำนวน 6,004.4 ตัน ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.6 และในปี 2548 มีปริมาณการจำหน่าย23,318.7 ตัน ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 10.2 การขยายตัวของการจำหน่ายในประเทศเนื่องมาจาก คนไทยให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ มีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายยาขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปริมาณการจำหน่ายลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.3 จากปริมาณการจำหน่ายยาน้ำและยาครีมที่ลดลง (ตารางที่ 2)
3. การนำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม ไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีมูลค่า 7,093.6 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 34.4 โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และอิตาลี ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 3,506.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 49.4 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด สำหรับในปี 2548 การนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมมีมูลค่า 27,386.9 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 24.8 โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 13,198.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 48.2 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด การนำเข้ายารักษาโรคส่วนใหญ่เป็นยาสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะยาต้นตำรับ และยามีสิทธิบัตร ที่ใช้สำหรับโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ และไขมันในเส้นเลือด เป็นต้น การนำเข้ายารักษาโรคดังกล่าวสูงขึ้นจากการที่กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการบริโภคยาในปริมาณมากนั้น ให้ความใส่ใจในสุขภาพของตนเองมากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการนำเข้าลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.0 เนื่องจากผู้นำเข้ามักจะนำเข้าสินค้ามามากตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 และลดการนำเข้าลงในไตรมาสที่ 4 เพื่อบริหารสินค้าคงคลัง (ตารางที่ 3)
4. การส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม ไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีมูลค่า 1,670.0 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.2 ตลาดส่งออกที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ เวียดนาม เมียนมาร์ กัมพูชา เบลเยียม และมาเลเซีย โดยการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 843.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.5 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด สำหรับการส่งออกในปี 2548 มีมูลค่า 6,227.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23.7 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เวียดนาม เมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 3,178.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 51.0 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด การขยายตัวของมูลค่าการส่งออก มีสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากมีการส่งออกยารักษาหรือป้องกันโรคที่เป็นยาสำเร็จรูป ประเภทยาชื่อสามัญ รวมถึงการส่งออกแวดดิ้ง ผ้ากอซ ผ้าพันแผลและของที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับป้องกันเชื้อโรคเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 4.7 เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลดลง (ตารางที่ 3)
5. นโยบายรัฐ
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีมติเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2548 ให้ปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยาใหม่ทั้งระบบ เป็นประเภทกิจการผลิตยาและสารออกฤทธิ์สำคัญในยา (Active Ingredient) ซึ่งกิจกรรมการผลิตยา ได้แก่ กิจการยารักษาโรคคนและสัตว์ วัคซีน เป็นต้น จากเดิมที่ให้ส่งเสริมการลงทุนเฉพาะกิจการผลิตสารออกฤทธิ์สำคัญในยา ซึ่งไม่รวมถึงการผลิตยาสำเร็จรูป ทั้งนี้เนื่องจากภายในปี 2551 สถานที่ผลิตยาปัจจุบันต้องมีการปรับปรุง และควบคุมคุณภาพตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา (Good Manufacturing Practice for Pharmaceutical Products : GMP) ตามแนวทางของ PIC/S หรือ Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme โดยหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์แบ่งเป็น กรณีลงทุนใหม่และปรับปรุงโรงงานเดิม โดยทั้ง 2 กรณี จะได้รับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนในการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรไม่ว่าตั้งอยู่ในเขตใด ส่วนการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจะพิจารณาได้ตามเขตที่ตั้ง โดยเขต 1 จะได้รับการยกเว้นภาษี 5 ปี เขต 2 หากตั้งนอกนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรม ได้รับการยกเว้นภาษี 6 ปี แต่หากตั้งในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้ส่งเสริมการลงทุน ได้รับการยกเว้นภาษี 7 ปี สำหรับเขต 3 ได้ยกเว้นภาษีเป็นจำนวน 8 ปี นอกจากนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องดำเนินการให้ได้รับมาตรฐาน GMP ตามแนวทาง PIC/S ภายใน 2 ปี นับแต่ วันเปิดดำเนินการ อีกทั้งหากมีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทักษะ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ก็สามารถรับสิทธิประโยชน์เพิ่มตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวอีกด้วย การให้การส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว นอกจากจะช่วยผู้ประกอบการยาในประเทศในการพัฒนาและปรับปรุงโรงงานเดิมหรือลงทุนสำหรับโรงงานใหม่ ให้สามารถรองรับการผลิตยาให้ได้ตามมาตรฐานของ PIC/S ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตยาแล้ว ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยขจัดการกีดกันทางการค้า และผลักดันให้อุตสาหกรรมยาของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการคุ้มครองผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
6. สรุป
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 ลดลงจาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากวัตถุดิบปรับราคาสูงขึ้น สำหรับปริมาณการจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนไทยให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐมีความต้องการยาที่ผลิตจากภายใน ประเทศ ด้านมูลค่าการนำเข้าและการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ายารักษาหรือป้องกันโรคที่เป็นยาสำเร็จรูป ประเภทยาต้นตำรับ และยาที่มีสิทธิบัตร และส่งออกยารักษาหรือป้องกันโรคที่เป็นยาสำเร็จรูป ประเภทยาสามัญ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันเชื้อโรค
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2549 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 เนื่องจากการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย และการปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยาใหม่ทั้งระบบ สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตรวมถึงภาครัฐบาลพยายามขยายตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น ส่วนมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยยังคงเป็นการนำเข้ายาสิทธิบัตรเป็นหลัก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-