นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ฉบับเดือนมกราคม 2549 ในวันที่ 30 มกราคม 2549 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2548 ขยายตัวในอัตราที่น่าพอใจท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ที่เศรษฐกิจขยายตัวในเกณฑ์สูง สำหรับข้อมูลเครื่องชี้ล่าสุดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 สะท้อนถึงการชะลอตัวลงของการลงทุนภาคเอกชนอันเป็นผลจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวในอัตราที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 แต่ชะลอลงจากช่วงกลางปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับตัวตอบสนองต่อระดับราคาที่เร่งสูงขึ้น ในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี
เสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี สำหรับเสถียรภาพภายในประเทศ อัตรา เงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2548 อยู่ที่ร้อยละ 4.5 และ 1.6 เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 2.7 และ 0.4 ในปี 2547 ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เร่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2548 เป็นปัจจัยสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทาน และการที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมาก่อให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมากหลังจากช่วงกลางปี 2548 อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปีราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับลดลงและเริ่มทรงตัว ประกอบกับการติดตามดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิดของทางการเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงและเริ่มทรงตัวมีส่วนทำให้การปรับขึ้นราคาสินค้าอื่นๆ นอกเหนือจากสินค้าหมวดพลังงานและอาหารสดเป็นไปได้ยากขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานค่อนข้างทรงตัวในช่วงปลายปี สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศได้ปรับตัวดีขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้นมากจากที่ขาดดุลสูงในช่วงครึ่งแรกของปีเป็นเกินดุล
ต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า
1. ข้อสมมติราคาน้ำมันดูไบเท่ากับที่ใช้ในรายงานฉบับก่อนตลอดช่วงประมาณการ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยสำหรับปี 2549 และปี 2550 อยู่ที่ 57.50 และ 56.25 ดอลลาร์ สรอ.
ต่อบาร์เรล ตามลำดับ แม้ราคาน้ำมันจะลดลงในช่วงแรกของไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ที่ผ่านมา แต่แรงกดดันจากราคาน้ำมันยังมีอยู่ ในขณะที่ข้อสมมติราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับลดลงจากประมาณการเดิมเล็กน้อยจากการปรับลดค่าการตลาด
2. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น และคาดว่าจะยุติในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2549 โดยสูงขึ้นกว่าข้อสมมติในครั้งก่อนประมาณร้อยละ 0.25 ต่อปี
3. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าปรับสูงขึ้นเล็กน้อย ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรป ญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชีย
4. ข้อสมมติรายจ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2549 และ 2550 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับข้อสมมติเดิม เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราการเบิกจ่ายสำหรับปีงบประมาณ 2549 และ 2550 ตามนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายของรัฐบาล ขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจใน ปีงบประมาณ 2549 และ 2550 ลดลงเมื่อเทียบกับข้อสมมติเดิม โดยสอดคล้องกับรายจ่ายเหลื่อมปี
ที่ลดลงจากประมาณการเดิมเพราะได้มีการเร่งเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2548 ไปแล้ว รวมถึงการทบทวนแผนการลงทุนใหม่ของแนวสายทางระบบขนส่งมวลชนระบบรถราง
สำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปนั้น ความเสี่ยงด้านลบที่สำคัญได้แก่ ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นกว่ากรณีฐาน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง และค่าเงินในภูมิภาคที่อาจแข็งค่าขึ้นจากแนวโน้มการยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ซึ่งหากค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าค่าเงินภูมิภาคอื่นๆ จะเป็นความเสี่ยงด้านลบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกของไทย ส่วนความเสี่ยงด้านบวกได้แก่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อาจปรับดีขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวในอัตราประมาณร้อยละ 4.5 สำหรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.75-5.75 ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดประมาณร้อยละ 81 สอดคล้องกับประมาณการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่แถลงไปก่อนหน้า ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2550 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.5-6.0
ส่วนความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อแรงกดดันด้านระดับราคาในระยะต่อไปนั้น ความเสี่ยงที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมาจากราคาน้ำมันที่อาจกลับมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นอีก และแรงกดดันจากการอั้นตัวของการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ สำหรับความเสี่ยงที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงมาจากค่าเงินบาทที่อาจแข็งขึ้นและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอลง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2549 และ 2550 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 3.5-5.0 และ 2.0-3.5 ตามลำดับ โดยโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีอยู่ที่ร้อยละ 96 และ 83 ตามลำดับ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2549 และ 2550 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0-3.0 และ 2.0-3.5 ตามลำดับ โดยโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีอยู่ที่ร้อยละ 99 และ 94 ตามลำดับ
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณา ดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 คณะกรรมการฯ เห็นว่าความจำเป็นที่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอย่างรวดเร็วมีน้อยลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ
ทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2548 ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า และความเสี่ยงเกี่ยวกับราคาน้ำมันโลกลดลง ส่งผลให้ความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงเกินช่วงเป้าหมายต่ำกว่าเมื่อการประชุมครั้งก่อนหน้า ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ปรับขึ้นไปเร็วพอควรแล้ว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีกเพียงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 3.75 เป็นร้อยละ 4.00 ต่อปี
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2549 คณะกรรมการฯ มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันจากร้อยละ 4.00 เป็นร้อยละ 4.25 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเริ่มชะลอลง แต่แรงกดดันด้านราคาที่ยังคงมีอยู่และอัตราดอกเบี้ย
ที่แท้จริงยังคงติดลบ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราการออมภาคเอกชนของไทยต่ำกว่าที่ควร ทำให้คณะกรรมการฯ เห็นว่า ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในระยะต่อไปให้อยู่ในเป้าหมาย
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2548 ขยายตัวในอัตราที่น่าพอใจท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ที่เศรษฐกิจขยายตัวในเกณฑ์สูง สำหรับข้อมูลเครื่องชี้ล่าสุดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 สะท้อนถึงการชะลอตัวลงของการลงทุนภาคเอกชนอันเป็นผลจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวในอัตราที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 แต่ชะลอลงจากช่วงกลางปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับตัวตอบสนองต่อระดับราคาที่เร่งสูงขึ้น ในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี
เสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี สำหรับเสถียรภาพภายในประเทศ อัตรา เงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2548 อยู่ที่ร้อยละ 4.5 และ 1.6 เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 2.7 และ 0.4 ในปี 2547 ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เร่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2548 เป็นปัจจัยสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทาน และการที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมาก่อให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมากหลังจากช่วงกลางปี 2548 อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปีราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับลดลงและเริ่มทรงตัว ประกอบกับการติดตามดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิดของทางการเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงและเริ่มทรงตัวมีส่วนทำให้การปรับขึ้นราคาสินค้าอื่นๆ นอกเหนือจากสินค้าหมวดพลังงานและอาหารสดเป็นไปได้ยากขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานค่อนข้างทรงตัวในช่วงปลายปี สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศได้ปรับตัวดีขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้นมากจากที่ขาดดุลสูงในช่วงครึ่งแรกของปีเป็นเกินดุล
ต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า
1. ข้อสมมติราคาน้ำมันดูไบเท่ากับที่ใช้ในรายงานฉบับก่อนตลอดช่วงประมาณการ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยสำหรับปี 2549 และปี 2550 อยู่ที่ 57.50 และ 56.25 ดอลลาร์ สรอ.
ต่อบาร์เรล ตามลำดับ แม้ราคาน้ำมันจะลดลงในช่วงแรกของไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ที่ผ่านมา แต่แรงกดดันจากราคาน้ำมันยังมีอยู่ ในขณะที่ข้อสมมติราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับลดลงจากประมาณการเดิมเล็กน้อยจากการปรับลดค่าการตลาด
2. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น และคาดว่าจะยุติในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2549 โดยสูงขึ้นกว่าข้อสมมติในครั้งก่อนประมาณร้อยละ 0.25 ต่อปี
3. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าปรับสูงขึ้นเล็กน้อย ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรป ญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชีย
4. ข้อสมมติรายจ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2549 และ 2550 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับข้อสมมติเดิม เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราการเบิกจ่ายสำหรับปีงบประมาณ 2549 และ 2550 ตามนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายของรัฐบาล ขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจใน ปีงบประมาณ 2549 และ 2550 ลดลงเมื่อเทียบกับข้อสมมติเดิม โดยสอดคล้องกับรายจ่ายเหลื่อมปี
ที่ลดลงจากประมาณการเดิมเพราะได้มีการเร่งเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2548 ไปแล้ว รวมถึงการทบทวนแผนการลงทุนใหม่ของแนวสายทางระบบขนส่งมวลชนระบบรถราง
สำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปนั้น ความเสี่ยงด้านลบที่สำคัญได้แก่ ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นกว่ากรณีฐาน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง และค่าเงินในภูมิภาคที่อาจแข็งค่าขึ้นจากแนวโน้มการยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ซึ่งหากค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าค่าเงินภูมิภาคอื่นๆ จะเป็นความเสี่ยงด้านลบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกของไทย ส่วนความเสี่ยงด้านบวกได้แก่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อาจปรับดีขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวในอัตราประมาณร้อยละ 4.5 สำหรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.75-5.75 ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดประมาณร้อยละ 81 สอดคล้องกับประมาณการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่แถลงไปก่อนหน้า ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2550 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.5-6.0
ส่วนความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อแรงกดดันด้านระดับราคาในระยะต่อไปนั้น ความเสี่ยงที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมาจากราคาน้ำมันที่อาจกลับมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นอีก และแรงกดดันจากการอั้นตัวของการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ สำหรับความเสี่ยงที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงมาจากค่าเงินบาทที่อาจแข็งขึ้นและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอลง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2549 และ 2550 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 3.5-5.0 และ 2.0-3.5 ตามลำดับ โดยโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีอยู่ที่ร้อยละ 96 และ 83 ตามลำดับ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2549 และ 2550 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0-3.0 และ 2.0-3.5 ตามลำดับ โดยโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีอยู่ที่ร้อยละ 99 และ 94 ตามลำดับ
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณา ดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 คณะกรรมการฯ เห็นว่าความจำเป็นที่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอย่างรวดเร็วมีน้อยลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ
ทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2548 ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า และความเสี่ยงเกี่ยวกับราคาน้ำมันโลกลดลง ส่งผลให้ความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงเกินช่วงเป้าหมายต่ำกว่าเมื่อการประชุมครั้งก่อนหน้า ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ปรับขึ้นไปเร็วพอควรแล้ว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีกเพียงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 3.75 เป็นร้อยละ 4.00 ต่อปี
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2549 คณะกรรมการฯ มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันจากร้อยละ 4.00 เป็นร้อยละ 4.25 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเริ่มชะลอลง แต่แรงกดดันด้านราคาที่ยังคงมีอยู่และอัตราดอกเบี้ย
ที่แท้จริงยังคงติดลบ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราการออมภาคเอกชนของไทยต่ำกว่าที่ควร ทำให้คณะกรรมการฯ เห็นว่า ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในระยะต่อไปให้อยู่ในเป้าหมาย
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--