สรุปภาวะการค้าไทย-สหรัฐระหว่างเดือน ม.ค.- พ.ย.2548

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 8, 2006 16:45 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 1 ของโลก (ม.ค.-พ.ย.48) มีมูลค่าการนำเข้ารวม 1,526,994.329 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.692. แหล่งผลิตสำคัญที่สหรัฐอเมริกานำเข้าในปี 2548 (ม.ค.-พ.ย.) ได้แก่ - แคนาดา ร้อยละ 17.18 มูลค่า 262,325.107 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.37 - จีน ร้อยละ 14.60 มูลค่า 222,947.914 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.36 - เม็กซิโก ร้อยละ 10.20 มูลค่า 155,723.910 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.61 - ญี่ปุ่น ร้อยละ 8.28 มูลค่า 126,352.297 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.54 ส่วนการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 17 สัดส่วนร้อยละ 1.19 มูลค่า 18,179.693 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.903. เศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.5 ในปี 2549 ในขณะที่ปี 2548 ขยายตัวประมาณร้อยละ 3.44. สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดนี้ (ม.ค.-ธ.ค. 2548) มูลค่า 17,064.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วนร้อยละ 15.39 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.03 หรือคิดเป็นร้อยละ 99.97 ของเป้าหมายการส่งออก สำหรับปี 2549 ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกไปตลาดนี้ 19,624 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 155.การค้าระหว่างประเทศไทย-สหรัฐฯ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ 2545 2546 2547 2548 อัตราการขยายตัว (ร้อยละ) 2545 2546 2547 2548 มูลค่าการค้า 19,656.45 20,688.79 22,732.18 25,748.34 -3.45 5.25 9.79 13.35สินค้าออก 13,509.42 13,596.19 15,516.81 17,064.43 2.35 0.64 14.07 10.03สินค้าเข้า 6,147.03 7,092.60 7,215.37 8,683.91 -14.14 15.38 1.60 20.50ดุลการค้า 7,362.39 6,503.59 8,301.44 8,380.53 21.89 -11.66 27.65 0.946. สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกา (ม.ค.-ธ.ค. 2548) 25 อันดับแรกมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 78.80 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมไปตลาดนี้ สินค้าสำคัญที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 100 มี 1 รายการ สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 50 มี 1 รายการ และสินค้าที่ มีมูลค่าลดลงเกินกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการสถิติการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูงมูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับที่ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการ %เปลี่ยนแปลง สัดส่วน ร้อยละ2548 ตลาด ม.ค.-ธ.ค47 ม.ค.-ธ.ค48 เปลี่ยนแปลง ม.ค.-ธ.ค 2547 ม.ค.-ธ.ค 1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูง มากกว่าร้อยละ 100 มี 1 รายการ (1) เม็ดพลาสติก 18 123.29 254.90 131.61 106.76 0.79 1.49 2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูง มากกว่าร้อยละ 50 มี 1 รายการ (1) ผลิตภัณฑ์พลาสติก 14 200.68 324.20 123.52 61.55 1.29 1.90 3. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง มากกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการ (1) ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน 22 348.99 238.42 -110.57 -31.68 2.25 1.40 (2) แผงสวิสซ์และแผงควบคุม-กระแสไฟฟ้า 23 247.16 193.81 -53.35 -21.59 1.59 1.14รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศจากสถิติการส่งออกดังกล่าวมีข้อสังเกต ดังนี้เม็ดพลาสติก (HS.3901 ) ETHYLENE, PRIMARY FORM สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 3 มูลค่า 36.003 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 1.24 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,143.75 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 2,895.720 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.46 นำเข้าจาก แคนาดา เยอรมนี ไทย เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ย. 2548)ผลิตภัณฑ์พลาสติก (HS. 3924) Tableware, Kitchenware, Other Household Articles and Toilet Articles of Plastic สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยอันดับที่ 7 มูลค่า 26.416 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 1.14 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.13 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 2,323.084 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.35 นำเข้าจาก จีน เม็กซิโก ไต้หวัน เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ย. 2548)ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน (HS.8803 ) Parts of Aircraft, Spacecraft สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 38 มูลค่า 0.943 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 0.02 ลดลงร้อยละ 38.38 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 4,857.862 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.54 นำเข้าจาก ญี่ปุ่น แคนาดา สหราชอาณาจักร เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ย. 2548)แผงสวิสซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า (HS. 8504) ADP Power Supplies.PT สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยอันดับที่ 8 มูลค่า 168.040 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 2.30 ลดลงร้อยละ 8.06 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 7,311.951 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.35 นำเข้าจาก จีน เม็กซิโก แคนาดา เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ย. 2548)7. ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกในปี 2005 ขยายตัวได้ดีเกินคาด ผลการสำรวจนักลงทุนทั่วโลกของเมอร์ริล ลินซ์ พบว่านักลงทุนริ่มคลายความเป็นห่วงเกี่ยวกับราคาน้ำมัน โดยให้ความเห็นว่าหากน้ำมันราคาสูงไม่เกิน 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2006 เศรษฐกิจโลกก็น่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจของสหรัฐก็จะยังขยายตัวได้ในอัตราใกล้เคียงกับปี 2005 (3-3.5%) อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์ของเมอร์ริล ลินซ์ ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวเพียง 2.5% ในปี 2006 ดังนั้นการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐฯ แถลงผลงานและนโยบายประจำปีต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 โดยเรียกร้องให้สภาฯ อนุมัติงบประมาณ 5,900 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับปีงบประมาณ 2006 โดยมุ่งเน้นเรื่องการวิจัย การพัฒนารวมถึงเรื่องการศึกษา ทั้งนี้ผู้นำสหรัฐฯ ยอมรับว่ามีการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกมากขึ้น เนื่องจากการค้าของประเทศจีน และอินเดีย ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มเจตนารมณ์ภาครัฐในด้านการวิจัยวิทยาศาศตร์กายภาพในทศวรรษหน้า เพื่อสำรวจลู่ทางในภาคที่มีศักยภาพสูง เช่น นาโนเทคโนโลยี ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และแหล่งพลังงานทางเลือก นอกจากนี้ยังอาจรวมถึงการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนด้านนวัตกรรม และผลักดันให้เด็กอเมริกันเชี่ยวฃาญมากขึ้นด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจะเน้นการสอนด้านการวิเคราะห์และทักษะในการแก้ปัญหา ในขณะเดียวกันประธานาธิบดีบุช ยังประกาศนโยบายว่าสหรัฐฯ ต้องไม่พึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง โดยจะลดการนำเข้าร้อยละ 75 ภายในปี 2568 พร้อมประกาศการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับกำเนิดพลังงานและเปลี่ยนไปใช้พาหนะที่ใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น เมื่อกลางเดือนมกราคม 2549 คณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมกันจัดสัมมนา FTA ไทย-สหรัฐฯ โดยอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจากลุ่มเปิดตลาดสินค้า ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญในการทำ FTA ไทย-สหรัฐฯ ว่า - สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทย และมีแนวโน้มว่ามูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี ในขณะที่การแข่งขันในเศรษฐกิจโลกก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะการแข่งขันกับประเทศจีนและประเทศที่สหรัฐฯ ทำข้อตกลง FTA ด้วยเช่นกลุ่มประเทศอเมริกากลาง (CAFTA) ในสินค้าอาหารสำเร็จรูป โทรทัศน์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่ฉุดส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าไทยในสหรัฐฯ ให้ลดลง อย่างต่อเนื่อง - ประกอบกับความไม่แน่นอนของระบบการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ที่ประเทศพัฒนาแล้วให้แก่สินค้าส่งออกของประเทศที่กำลังพัฒนา โดยไทยมีการส่งออกภายใต้โครงการนี้ร้อยละ 20 ของการส่งออกทั้งหมดหรือเป็นประเทศที่ใช้สิทธิ GSP สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากประเทศอินเดีย แองโกลา และบราซิล ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าไทยที่ถูกตัดสิทธิไปแล้ว 4 รายการและมีโอกาสสูงที่ไทยจะถูกตัดสิทธิการใช้ GSP เป็นการถาวร ไทยและสหรัฐฯ ได้มีการเจรจาเรื่องการลดภาษีไปแล้ว 4 ครั้ง โดยทั้งสองฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนข้อตกลงการลดภาษีเบื้องต้น ซึ่งครั้งล่าสุดสามารถตกลงลดภาษีเหลือศูนย์ทันทีไปแล้วประมาณ 70% นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเจรจาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมถึงมาตรการที่สามารถใช้บรรเทาผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า เพื่อให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้จริง สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย เปิดเผยถึงการส่งออกสินค้ากุ้งของไทยในปีที่ผ่านมาว่ามีปริมาณทั้งสิ้น 278,088 ตัน มูลค่า 70,364.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.92 โดยไทยส่งออกกุ้งไปสหรัฐฯ มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 54.98 ซึ่งนับว่าสินค้ากุ้งจากไทยยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันดพอควร แม้จะมิได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด 5.95% (เอดี) จากสหรัฐฯ นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังคงบังคับให้ผู้นำเข้า(แต่ส่วนใหญ่ผลักภาระมาให้ผู้ส่งออก)ต้องวางเงินค้ำประกัน (C-Bond) การนำเข้าล่วงหน้าในอัตรา 100% ของมูลค่าการนำเข้าปี 2547 คูณด้วยอัตราภาษีเอดีส่งผลให้ในปี 2548 ผู้ส่งออกของไทยต้องแบกรับภาระอย่างหนักในการการเสียภาษีทั้งสองดังกล่าว ซึ่งจากการเสียภาษี C-Bond นับเป็นการเก็บภาษีซ้ำซ้อนกับภาษีนำเข้าและมีความไม่เป็นธรรมทางการค้าโดยในขณะนี้รัฐบาลไทย โดยกรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างเตรียมข้อมูลเพื่อยื่นฟ้องต่อ WTO ให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการดังกล่าว ภายหลังจากที่อินเดียซึ่งถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการเดียวกันได้ยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ไปแล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งหากอินเดียเป็นฝ่ายชนะ ไทยก็จะได้รับผลดีด้วยเช่นกัน ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ