1. การผลิต
ปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีปริมาณการผลิต 5.4 ล้านชิ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 6.9 และ 14.3ตามลำดับ สำหรับปริมาณการผลิตในปี 2548 มีปริมาณการผลิต 22.3 ล้านชิ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนลดลงร้อยละ 6.7
ปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนที่ลดลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น นอกจากนี้การลงทุนของภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง ซึ่งสินค้าไม้และเครื่องเรือนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่ใช้ในการก่อสร้างและการตกแต่งอาคารสถานที่ จึงทำให้การผลิตปรับตัวลดลง
2. การส่งออกและการนำเข้า
2.1 การส่งออก
ภาวะการส่งออกของสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 515.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 9.2และ 4.8 ตามลำดับ โดยมีรายละเอียดการส่งออกในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์สินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน ซึ่งแบ่งการพิจารณาเป็น 3 กลุ่มประเภทสินค้า ดังนี้
1). กลุ่มเครื่องเรือนและชิ้นส่วนเครื่องเรือน ในช่วงไตรมาสนี้ มีมูลค่าการส่งออก 296.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 57 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 9.0 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 โดยผลิตภัณฑ์สินค้าภายในกลุ่มที่มีสัดส่วนในการส่งออกมากที่สุด คือ สินค้าประเภทเครื่องเรือนไม้ ตลาดส่งออกสำคัญของกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องเรือนและชิ้นส่วนเครื่องเรือน คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร
2). กลุ่มผลิตภัณฑ์ไม้ ประกอบด้วยเครื่องใช้ทำด้วยไม้ อุปกรณ์ก่อสร้างไม้ กรอบรูปไม้
รูปแกะสลักและเครื่องประดับทำด้วยไม้ ในไตรมาสนี้ มีมูลค่าการส่งออก 95.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกร้อยละ 18 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าประเภทไม้และเครื่องเรือนทั้งหมดเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 3.5 และ 5.9 ตามลำดับ ตลาดส่งออกที่สำคัญในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร
3). กลุ่มไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ไม้แผ่น ซึ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูป แผ่นไม้วีเนียร์ ไม้อัด ไฟเบอร์บอร์ด (Fiber Board) และผลิตภัณฑ์ไม้อื่น ๆ โดยไตรมาสนี้
มีมูลค่าการส่งออก 143.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกคิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าประเภทไม้และเครื่องเรือนทั้งหมด เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 0.9 ตลาดส่งออกที่สำคัญของกลุ่มไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ไม้แผ่น ได้แก่ ประเทศจีน มาเลเซีย และไต้หวัน
ในปี 2548 สินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนมีมูลค่าการส่งออก 2,086.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยบวกมาจากการส่งออกเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุ ธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ กก ผักตบชวา ที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น กระเตื้องขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้อุปสงค์ในตลาดใหม่ของไทย เช่น จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลางก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
2.2 การนำเข้า
ภาวะการนำเข้าของสินค้าประเภทไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าวัตถุดิบไม้ท่อนประเภทไม้เนื้อแข็ง ซึ่งได้แก่ ไม้ซุง และผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปประเภทต่าง ๆ นำเข้ามาผลิตสินค้าต่อเนื่องเช่นเครื่องเรือนประเภทต่างๆ โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีมูลค่าการนำเข้ารวมกันจำนวน 167.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 2.6 แหล่งนำเข้าที่สำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ คือ ไม้ซุงท่อน ส่วนใหญ่มีการนำเข้ามาจากประเทศเมียนมาร์ และมาเลเซีย ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทไม้หรือไม้แปรรูป ประเภทต่าง ๆ มีการนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย ลาว และสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนใหญ่ และในส่วนผลิตภัณฑ์ไม้อัดและไม้วีเนียร์นำเข้ามาจากประเทศจีน มาเลเซียและ อินโดนีเซีย ตามลำดับ
3. สรุปและแนวโน้ม
ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 ภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นเพราะต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้การลงทุนของภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง ทำให้สินค้าไม้และเครื่องเรือน อุปกรณ์ก่อสร้างไม้ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการก่อสร้างและการตกแต่งอาคารสถานที่มีการผลิตปรับตัวลดลง สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนในปี 2549 คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การลงทุนในการก่อสร้างของภาคเอกชนชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าไม้และเครื่องเรือนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญชะลอตัวตามไปด้วย
สำหรับการส่งออกโดยรวมปี 2548 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 5.4 เนื่องจากมีปัจจัยบวกที่สำคัญคือการส่งออกเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุธรรมชาติได้รับความสนใจจากนานาชาติมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น กระเตื้องขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้อุปสงค์ในตลาดใหม่ของไทย เช่น จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลางก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นสำหรับการส่งออกไปยังตลาดสำคัญๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปยังคงมีแนวโน้มที่ดี ขณะที่แนวโน้มการส่งออกในปี 2549 อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์คาดว่าจะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงจากจีนซึ่งสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมากและมีต้นทุนต่ำกว่าไทย ในขณะเดียวกันเวียดนามเริ่มมีบทบาทในตลาดสหรัฐอเมริกามากขึ้น เนื่องจากการที่จีนได้รับผลกระทบจากมาตรการ AD ของสหรัฐอเมริกาทำให้นักลงทุนที่เคยลงทุนในจีนได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนามและมีการพัฒนาการผลิตเพื่อการส่งออกอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเวียดนามจึงน่าจะกลายมาเป็นแหล่งนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วนที่สำคัญ ของตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น การที่สินค้าจากจีน และเวียดนามเข้ามาแข่งขันในตลาดโลก และมีข้อได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการของไทยจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงควบคู่กับการปรับปรุงรูปแบบและประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะเรื่องความคิดสร้างสรรค์และเทคนิคการออกแบบ เพื่อยกระดับตลาดสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไทยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ นอกจากนี้อาจพิจารณาหาตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้มากขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีปริมาณการผลิต 5.4 ล้านชิ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 6.9 และ 14.3ตามลำดับ สำหรับปริมาณการผลิตในปี 2548 มีปริมาณการผลิต 22.3 ล้านชิ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนลดลงร้อยละ 6.7
ปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนที่ลดลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น นอกจากนี้การลงทุนของภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง ซึ่งสินค้าไม้และเครื่องเรือนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่ใช้ในการก่อสร้างและการตกแต่งอาคารสถานที่ จึงทำให้การผลิตปรับตัวลดลง
2. การส่งออกและการนำเข้า
2.1 การส่งออก
ภาวะการส่งออกของสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 515.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 9.2และ 4.8 ตามลำดับ โดยมีรายละเอียดการส่งออกในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์สินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน ซึ่งแบ่งการพิจารณาเป็น 3 กลุ่มประเภทสินค้า ดังนี้
1). กลุ่มเครื่องเรือนและชิ้นส่วนเครื่องเรือน ในช่วงไตรมาสนี้ มีมูลค่าการส่งออก 296.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 57 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 9.0 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 โดยผลิตภัณฑ์สินค้าภายในกลุ่มที่มีสัดส่วนในการส่งออกมากที่สุด คือ สินค้าประเภทเครื่องเรือนไม้ ตลาดส่งออกสำคัญของกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องเรือนและชิ้นส่วนเครื่องเรือน คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร
2). กลุ่มผลิตภัณฑ์ไม้ ประกอบด้วยเครื่องใช้ทำด้วยไม้ อุปกรณ์ก่อสร้างไม้ กรอบรูปไม้
รูปแกะสลักและเครื่องประดับทำด้วยไม้ ในไตรมาสนี้ มีมูลค่าการส่งออก 95.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกร้อยละ 18 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าประเภทไม้และเครื่องเรือนทั้งหมดเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 3.5 และ 5.9 ตามลำดับ ตลาดส่งออกที่สำคัญในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร
3). กลุ่มไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ไม้แผ่น ซึ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูป แผ่นไม้วีเนียร์ ไม้อัด ไฟเบอร์บอร์ด (Fiber Board) และผลิตภัณฑ์ไม้อื่น ๆ โดยไตรมาสนี้
มีมูลค่าการส่งออก 143.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกคิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าประเภทไม้และเครื่องเรือนทั้งหมด เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 0.9 ตลาดส่งออกที่สำคัญของกลุ่มไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ไม้แผ่น ได้แก่ ประเทศจีน มาเลเซีย และไต้หวัน
ในปี 2548 สินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนมีมูลค่าการส่งออก 2,086.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยบวกมาจากการส่งออกเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุ ธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ กก ผักตบชวา ที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น กระเตื้องขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้อุปสงค์ในตลาดใหม่ของไทย เช่น จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลางก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
2.2 การนำเข้า
ภาวะการนำเข้าของสินค้าประเภทไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าวัตถุดิบไม้ท่อนประเภทไม้เนื้อแข็ง ซึ่งได้แก่ ไม้ซุง และผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปประเภทต่าง ๆ นำเข้ามาผลิตสินค้าต่อเนื่องเช่นเครื่องเรือนประเภทต่างๆ โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีมูลค่าการนำเข้ารวมกันจำนวน 167.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 2.6 แหล่งนำเข้าที่สำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ คือ ไม้ซุงท่อน ส่วนใหญ่มีการนำเข้ามาจากประเทศเมียนมาร์ และมาเลเซีย ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทไม้หรือไม้แปรรูป ประเภทต่าง ๆ มีการนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย ลาว และสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนใหญ่ และในส่วนผลิตภัณฑ์ไม้อัดและไม้วีเนียร์นำเข้ามาจากประเทศจีน มาเลเซียและ อินโดนีเซีย ตามลำดับ
3. สรุปและแนวโน้ม
ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 ภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นเพราะต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้การลงทุนของภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง ทำให้สินค้าไม้และเครื่องเรือน อุปกรณ์ก่อสร้างไม้ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการก่อสร้างและการตกแต่งอาคารสถานที่มีการผลิตปรับตัวลดลง สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนในปี 2549 คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การลงทุนในการก่อสร้างของภาคเอกชนชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าไม้และเครื่องเรือนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญชะลอตัวตามไปด้วย
สำหรับการส่งออกโดยรวมปี 2548 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 5.4 เนื่องจากมีปัจจัยบวกที่สำคัญคือการส่งออกเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุธรรมชาติได้รับความสนใจจากนานาชาติมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น กระเตื้องขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้อุปสงค์ในตลาดใหม่ของไทย เช่น จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลางก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นสำหรับการส่งออกไปยังตลาดสำคัญๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปยังคงมีแนวโน้มที่ดี ขณะที่แนวโน้มการส่งออกในปี 2549 อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์คาดว่าจะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงจากจีนซึ่งสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมากและมีต้นทุนต่ำกว่าไทย ในขณะเดียวกันเวียดนามเริ่มมีบทบาทในตลาดสหรัฐอเมริกามากขึ้น เนื่องจากการที่จีนได้รับผลกระทบจากมาตรการ AD ของสหรัฐอเมริกาทำให้นักลงทุนที่เคยลงทุนในจีนได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนามและมีการพัฒนาการผลิตเพื่อการส่งออกอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเวียดนามจึงน่าจะกลายมาเป็นแหล่งนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วนที่สำคัญ ของตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น การที่สินค้าจากจีน และเวียดนามเข้ามาแข่งขันในตลาดโลก และมีข้อได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการของไทยจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงควบคู่กับการปรับปรุงรูปแบบและประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะเรื่องความคิดสร้างสรรค์และเทคนิคการออกแบบ เพื่อยกระดับตลาดสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไทยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ นอกจากนี้อาจพิจารณาหาตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้มากขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-