วันนี้ (27 มี.ค. 49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้ มีเหตุทางการเมือง ซึ่งได้กลบความสำคัญเรื่องรัฐบาลถังแตกไป อีกทั้งฝ่ายรัฐบาลหลายท่านออกมาอ้างว่า การชุมนุม หรือการกระทำของกลุ่มแนวร่วมพันธมิตรในขณะนี้กระทบกระเทือนกับเศรษฐกิจของประเทศชาติ หลายอย่างถดถอย จนเกรงว่าจะเป็นปัญหาวิกฤติของบ้านเมือง และเศรษฐกิจนั้น ตนต้องการเรียนว่าตั้งแต่ปี 2548 ตอนพิจารณางบประมาณก็ดี เมื่อเดือนสิงหาคมตอนงบประมาณเข้าสภาก็ดี ตนได้เคยเตือนรัฐบาลแล้วทั้งในสภาและในห้องงบประมาณว่า จะเกิดภาวะวิกฤติอย่างยิ่ง ไม่เกินเดือนมีนาคม 2549 เพราะเหตุรัฐบาลถังแตก ถังแตกเพราะนโยบายในการคงเงินคงคลังไว้ในอัตราที่ต่ำมาก เงินคงคลังในอดีตถูกใช้ไปในโครงการประชานิยม โดยปราศจากวินัยงบประมาณโดยสิ้นเชิง จนกำลังจะสุดสายป่าน จนถึงเดือนมีนานี่จะเกิดวิกฤติอีกครั้งหนึ่ง อย่างรุนแรง และยากแก่การแก้ไข ทราบว่าเมื่อวันสองวันนี้ มีรายงานจากกระทรวงการคลังว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ในภาวะที่ลำบากมาก เงินคงคลังของประเทศไทยขณะนี้เหลือสำรองงบประจำเงินเดือนค่าจ้างค่าปฏิบัติราชการเพียงแค่ 14 วันเท่านั้น เวลานี้เงินเข้าน้อยกว่าเงินออกทั้งๆที่เหลือเงินคงคลังติดดินอยู่อย่างนี้ และจะมีวิกฤติหลายเรื่อง งบก่อสร้างค้างจ่ายหมดทั่วประเทศ ทราบว่าหนองงูเห่าค้างผู้รับเหมาที่จะถึงกำหนดชำระอยู่แล้วหลายหมื่นล้าน งบก่อสร้างที่เป็นงบลงทุนรายเล็กรายน้อยทั่วประเทศ ไม่ว่ากรมทางหลวงชนบท กรมทางหลวงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลาย ผู้รับเหมาส่งงานไปแล้ว 6 เดือน ยังไม่ได้รับเงิน ซึ่งเป็นวิกฤตที่กระทบ วงการก่อสร้าง และเศรษฐกิจทั่วๆไป เมื่อผู้รับเหมาไม่ได้เงิน ก็ไม่มีเงินจ่ายค่าวัสดุ ไม่มีเงินจ่ายค่าแรงทั้งหลาย วันนี้มีการตั้งเบิกรออยู่ถึงเป็นหมื่นล้าน แต่กระทรวงการคลังไม่มีเงินจ่ายตามงวดปกติ
แต่ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ก็เป็นปัญหากับกระทรวงการคลังที่แก้ไขไม่ได้ เช่น ยุบสภา จัดเลือกตั้งใหม่ภายในเดือนสองเดือนนี้ จะต้องใช้งบประมาณเพื่อการเลือกตั้งมากกว่า 2 พันล้าน อาจจะถึง 3พันล้าน และถ้าการเลือกตั้งยืดเยื้อ จะต้องมีการเลือกตั้งรอบ 2 รอบ 3 เนื่องจากไม่ครบ 20% ในเขตที่มีผู้สมัครคนเดียว การเลือกตั้งใหม่อีกหลายๆ ครั้ง อาจจะมากกว่า 3 พันล้าน รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหน เวลานี้เป็นปัญหาว่า ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เอางบจากการขายรัฐวิสาหกิจมาใช้ไปหมดแล้ว เช่น จากการขายหุ้นของ ปตท. หรือ ทสท. กรมไปรษณีย์โทรเลข หรือ TOT หรือขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปหลายแห่ง เช่น อสมท. กระทรวงการคลังใช้เงินเขาล่วงหน้าไปหมดแล้ว กรณี กฟผ. หลังจากที่ศาลปกครองตัดสิน จะต้องคืนเงินค่าหุ้น เฉพาะแก่พนักงาน 2พันกว่าล้าน แก่ฝ่ายอื่นๆด้วย ตัวเลขร่วมหมื่นล้าน รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาคืน หรือจะต้องถ่วงเงินค่าหุ้นของพนักงานกฟผ. ออกไปซัก 6เดือน 8เดือน 1ปีอย่างนั้นหรือ ข้าราชการจำนวนมาก ที่ขอ early retire ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 ขณะนี้ยังไม่ได้รับเงินจำนวนมาก ข้าราชการบำนาญตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548 ตนได้รับคำร้องทุกข์ว่า บางหน่วยงาน ยังมีข้อขัดข้องเกี่ยวกับการรับเงินบำนาญ ขณะนี้เหลืองบ 4หมื่นล้าน เพียงแค่สำรองครึ่งเดือนของงบประจำ ข้าราชการทั้งหลายจะเดือดร้อนอย่างยิ่ง และวงการก่อสร้าง วงการเศรษฐกิจ ธุรกิจทั้งหลายจะถูกกระทบอย่างรุนแรง ประเทศของเราจะสู่ภาวะวิกฤติอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนธันวาคม ไม่ใช้เพราะม็อบ ตอนนั้นยังไม่มีม็อบเลย ดังนั้นจึงขอเรียนว่า พึงระวังในเรื่องเศรษฐกิจเหล่านี้ ว่าบ้านเมืองกำลังจะวิกฤติอีกแล้ว ผลการเลือกตั้งคราวนี้จะเป็นผลออกมาประการใดก็ตาม ข้อเสนอแนะก็คือว่า งบประจำที่กำลังวิกฤตขนาดนี้ ก็ยังไปขึ้นเงินเดือนครู จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเงินเดือนครู ไปขึ้นเงินเดือนกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในภาวะวิกฤติอย่างนี้ จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายกำนันผู้ใหญ่บ้าน เตรียมโครงการหลายๆโครงการว่า จะได้เงินจากการแปรรูปกฟผ.ถึง 6หมื่นล้านในช่วงปี 2549 วันนี้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรกับเงิน 6หมื่นล้านที่หายไป เมื่อเดือน พฤศจิกา 2548 ขณะที่มีปัญหาเรื่องถังแตก สื่อเคยสอบถามตนว่าเห็นด้วยไหม ที่รัฐบาลจะออกตั๋วเงินคลังกู้เงิน 1แสนล้าน และตนได้แสดงความเห็นว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไม่เห็นด้วยที่กู้ช้า และ น้อยเกินไป ภาวะขณะนั้นจริงๆต้องกู้ไม่ต่ำกว่า 1แสน5หมื่นล้าน แต่สุดท้ายก็ประกาศ 1แสน และเมื่อมีกระแสต่อต้านก็ลดเหลือ 8หมื่น แต่ต่อมาไม่กี่เดือน ก็ประกาศว่า จะแปลงเรื่องออกตั๋วเงินคลังเป็นหนี้เงินกู้ระยะยาว เพิ่มกันมาเป็น 1แสน6หมื่นล้าน แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ วันนี้เต็มเพดาน 8หมื่นแล้ว แต่ถ้า ครม.หรือ รัฐบาลไปขยายอีกซัก 8หมื่นเป็น แสนหก จะมีปัญหา1. คือ ครม.รักษาการณ์ อนุมัติเงินกู้จำนวนนี้ได้หรือไม่ 2. ถึงแม้รัฐบาลจะหางทางอนุมัติมาแล้ว อยู่ในช่วงฤดูกาล มีนา เมษา พฤษภา ที่อัตราดอกเบี้ยก็สูง ภาวะเศรษฐกิจนี้ จะเอาตั๋วเงินคลังที่ออกมาประมูลขายให้กับใคร ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดจากว่า รัฐบาลสร้างวิกฤตแก่ตัวเอง ไม่ใช่เพราะม็อบ ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ทางการเมือง อย่าไปโทษคุณสนธิ พันธมิตร มันคือวิกฤตที่จะต้องเกิดซึ่งได้เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ตั้ง 6 เดือนแล้ว และในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลขายสมบัติชาติไปแล้วหลายแสนล้าน เอาเงินมาใช้ไปแล้ว และถ้าเกิดการขายแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งหลายผิดกฏหมาย จะเอาเงินที่ไหนมาคืน
ดังนั้นในภาวะวิกฤติขนาดนี้ นายพิเชษฐ์ต้องการเสนอแนะให้รัฐบาลต้องแก้ไขด่วน หนึ่งขณะนี้รัฐบาลต้องใช้คืนธนาคารออมสินในรูปหนี้กองทุนหมู่บ้านที่กู้มา 8หมื่นล้าน ต้องคืนปีละหมื่นล้าน 8ปี พร้อมดอกเบี้ยประจำปี ตกปีละประมาณหมื่นหนึ่งพันถึงหมื่นสองพันล้าน ให้ชะลอเรื่องนี้ไว้ มาแก้ไขปัญหาเรื่องเงินเดือน เรื่องงบลงทุนของผู้ประกอบการทั้งหลายที่ค้างเขา ขณะนี้กองทุนสวัสดิการสังคม มีเงินตั้ง 3แสนกว่าล้าน แล้วเอาเงินไปเล่นหุ้น ซื้อหุ้นชินคอร์ป เอาเงินไปซื้อหุ้นพยุงตลาดหุ้นในแต่ละวันตามคำสั่งของผู้มีอำนาจในรัฐบาล กองทุนประกันสังคมต้องยุติบทบาทอันนี้ และเงินที่จะส่งในกองทุนประกันสังคมรัฐบาลน่าจะชะลอไว้ได้ เพราะตรงนั้นมีตั้ง 3หมื่นกว่าล้านแล้ว ถ้าวันนี้รัฐบาลไม่มีเงินที่จะมาจัดเลือกตั้ง 2-3พันล้าน ไม่มีเงินที่จะมาคืนค่าหุ้น กฟผ.ที่ขายไปแล้ว และถูกศาลปกครองยกเลิก ถ้าในอดีตรัฐบาลไม่ไปสร้างเชียงใหม่ซาฟารี และทุ่มเทกับเชียงใหม่เป็นหมื่นๆล้าน วันนี้พิจิตรไม่หนักหนาถึงขนาดนี้ ถ้าในอดีตรัฐบาลไม่เอาเงินไปซื้อเครื่องบินประจำนายกรัฐมนตรีไทยคู่ฟ้า 2พันกว่าล้าน วันนี้ไม่เดือดร้อนอย่างนี้ ถ้าในอดีตรัฐบาลไม่ไปทำทัวร์นกขมิ้น ไปเที่ยวแจกที่บุรีรัมย์ ที่เชียงใหม่ ที่ไหนเยอะแยะไปหมดเป็นหมื่นล้าน วันนี้ไม่เดือดร้อนอย่างนี้ จึงเสนอว่า รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายประชานิยม หยุดนโยบายประชานิยมทั้งหมดเอาไว้ก่อน ทั้งส่วนที่จ่ายไปแล้วและยังไม่ได้จ่าย มิฉะนั้นวิกฤตงบประมาณปี 50 รัฐบาลจะทำงบประมาณไม่ได้ และถึงทำไปมันก็สร้างตัวเลขหลอกประชาชนไปอีก
รัฐบาลต้องทบทวนว่า ถ้าปีนี้ GDP ไม่ได้ตามเป้าที่บอกว่าจะถึง 5.5-6% แล้วสุดท้ายเหลือต่ำกว่า 4% และหนี้สาธารณะที่ซ่อนเอาไว้ รวมทั้งที่กำลังจะต้องกู้เพิ่ม ณ ขณะนี้ ถ้า GDP อยู่ที่ตัวประมาณ 7ล้านล้าน แต่หนี้สาธารณะมันทะลุ 3ล้าน 5แสนล้านไปแล้วล่ะ จะทำอย่างไรกับภาวะหนี้สาธารณะที่มันเกินครึ่งของ GDP แล้ว รัฐบาลจะต้องแถลงให้ประชาชนอย่างโปร่งใสเพื่อทราบว่า ที่อ้างทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากในอดีตที่ประมาณ 3หมื่น2พันล้านเหรียญ ในยุคประชาธิปัตย์ มาเป็นประมาณ 5หมื่น2พันล้านเหรียญในขณะนี้ เป็นส่วนที่อยู่ในบัญชีของฝ่ายออกบัตรที่ค้ำประกันค่าเงินเท่าไหร่ และ5หมื่นกว่าจริงๆแล้วอยู่ในบัญชีที่หลวงตามหาบัวบอกว่าคลังหลวงน่ะเท่าไหร่ เพราะตรงนี้คือส่วนที่จะต้องมาค้ำค่าเงินบาท และในอดีตขณะที่เรามีทุนสำรอง 3หมื่น2พันล้าน ฐานเงินคือเงินบาทที่แบงค์ชาติออกไปทั่วประเทศมีเพียง 5แสนล้านบาท วันนี้2ปีผ่านมา รัฐบาลพิมพ์ธนบัตรเพิ่มมา 2แสนกว่าล้าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฐานเงินเราวันนี้ตกประมาณ 7แสน3หมื่นล้านบาท เงินบาททั้งหมดที่ออกมา ทุนสำรองค้ำประกันฐานเงินเหล่านี้มันมีเสถียรภาพมากกว่าในอดีตหรือด้อยกว่าในอดีตแค่ไหน เพราะรัฐบาลพูดเฉพาะว่าทุนสำรองเพิ่มขึ้น ไม่ได้พูดเลยว่าพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น ขายเงินบาทเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้ต้องรีบทำความเข้าใจกับสังคมโดยรีบด่วน มิฉะนั้นวิกฤติอันนี้ จะเกิดจากความไม่ไว้วางใจของต่างประเทศ ที่ประเทศไทยไม่รักษาวินัยการคลัง และวินัยการงบประมาณเลย มันจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น
สุดท้าย นายพิเชษฐ์ ได้กล่าวติงไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อกลางปี 46 รัฐบาลบิดเบือน โดยอ้างว่าใช้หนี้ IMF ก่อนกำหนด ข้อเท็จจริงคือหนี้ IMF แต่ละงวด ที่เบิกมาครบกำหนดที่จะต้องจ่ายใน 3 ปี รัฐบาลชวน 2 สมัยนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ และตนเองเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง ได้หยุดรับเงินกู้ IMF ก่อนกำหนดปีกว่า คือได้ทำการหยุดรับตั้งแต่กลางปี 43 เพราะฉะนั้นงวดสุดท้ายกลางปี 43 ที่ควรจะไปครบ ประมาณปี 48 ก็จบกลางปี 46 ประมาณกันยายน เพราะแต่ละงวดจะครบกำหนดชำระใน 3 ปี ก็คือกลางปี 46 แต่รัฐบาลนี้สร้างภาพบิดเบือน โดยไปจ่ายหนี้นอก IMF คือหนี้ ADB 7พันกว่าล้านเหรียญ หนี้ world bank กับหนี้ ADB ซึ่งไม่เคยอยู่ในหนี้ของ IMF เลยไม่ได้เบิกมา พันกว่าล้านเหรียญ หลายหมื่นล้านบาท ขณะนั้นดอกเบี้ยของ ADB และ world bank เพียงแค่ไม่ถึงร้อยละ 2 วันนี้อัตราดอกเบี้ยเราไป 4กว่าแล้ว ตอนนั้นใช้ก่อนกำหนด ดอกเบี้ยต่ำมาก และยังไปเสียค่าปรับอีกในจำนวนที่รัฐบาลไม่ยอมเปิดเผย ถ้าไม่ไปคืนเงิน ADB เมื่อกลางปี 46 อย่างน้อยเราก็เหลือเงิน 4-5หมื่นล้านที่จะแก้ไขปัญหาในขณะนี้ แต่ถ้าวันนี้เราต้องกู้ มันไม่ใช่ดอกเบี้ยร้อยละ 2 แล้ว และนี่คือความเสียหายที่เกิดจากรัฐบาลในนโยบายที่บิดเบือนเพื่อสร้างภาพ ให้คนเชื่อว่าประกาศอิสระภาพจ่ายเงิน IMF ก่อนกำหนดนั่นเอง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 มี.ค. 2549--จบ--
แต่ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ก็เป็นปัญหากับกระทรวงการคลังที่แก้ไขไม่ได้ เช่น ยุบสภา จัดเลือกตั้งใหม่ภายในเดือนสองเดือนนี้ จะต้องใช้งบประมาณเพื่อการเลือกตั้งมากกว่า 2 พันล้าน อาจจะถึง 3พันล้าน และถ้าการเลือกตั้งยืดเยื้อ จะต้องมีการเลือกตั้งรอบ 2 รอบ 3 เนื่องจากไม่ครบ 20% ในเขตที่มีผู้สมัครคนเดียว การเลือกตั้งใหม่อีกหลายๆ ครั้ง อาจจะมากกว่า 3 พันล้าน รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหน เวลานี้เป็นปัญหาว่า ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เอางบจากการขายรัฐวิสาหกิจมาใช้ไปหมดแล้ว เช่น จากการขายหุ้นของ ปตท. หรือ ทสท. กรมไปรษณีย์โทรเลข หรือ TOT หรือขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปหลายแห่ง เช่น อสมท. กระทรวงการคลังใช้เงินเขาล่วงหน้าไปหมดแล้ว กรณี กฟผ. หลังจากที่ศาลปกครองตัดสิน จะต้องคืนเงินค่าหุ้น เฉพาะแก่พนักงาน 2พันกว่าล้าน แก่ฝ่ายอื่นๆด้วย ตัวเลขร่วมหมื่นล้าน รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาคืน หรือจะต้องถ่วงเงินค่าหุ้นของพนักงานกฟผ. ออกไปซัก 6เดือน 8เดือน 1ปีอย่างนั้นหรือ ข้าราชการจำนวนมาก ที่ขอ early retire ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 ขณะนี้ยังไม่ได้รับเงินจำนวนมาก ข้าราชการบำนาญตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548 ตนได้รับคำร้องทุกข์ว่า บางหน่วยงาน ยังมีข้อขัดข้องเกี่ยวกับการรับเงินบำนาญ ขณะนี้เหลืองบ 4หมื่นล้าน เพียงแค่สำรองครึ่งเดือนของงบประจำ ข้าราชการทั้งหลายจะเดือดร้อนอย่างยิ่ง และวงการก่อสร้าง วงการเศรษฐกิจ ธุรกิจทั้งหลายจะถูกกระทบอย่างรุนแรง ประเทศของเราจะสู่ภาวะวิกฤติอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนธันวาคม ไม่ใช้เพราะม็อบ ตอนนั้นยังไม่มีม็อบเลย ดังนั้นจึงขอเรียนว่า พึงระวังในเรื่องเศรษฐกิจเหล่านี้ ว่าบ้านเมืองกำลังจะวิกฤติอีกแล้ว ผลการเลือกตั้งคราวนี้จะเป็นผลออกมาประการใดก็ตาม ข้อเสนอแนะก็คือว่า งบประจำที่กำลังวิกฤตขนาดนี้ ก็ยังไปขึ้นเงินเดือนครู จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเงินเดือนครู ไปขึ้นเงินเดือนกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในภาวะวิกฤติอย่างนี้ จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายกำนันผู้ใหญ่บ้าน เตรียมโครงการหลายๆโครงการว่า จะได้เงินจากการแปรรูปกฟผ.ถึง 6หมื่นล้านในช่วงปี 2549 วันนี้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรกับเงิน 6หมื่นล้านที่หายไป เมื่อเดือน พฤศจิกา 2548 ขณะที่มีปัญหาเรื่องถังแตก สื่อเคยสอบถามตนว่าเห็นด้วยไหม ที่รัฐบาลจะออกตั๋วเงินคลังกู้เงิน 1แสนล้าน และตนได้แสดงความเห็นว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไม่เห็นด้วยที่กู้ช้า และ น้อยเกินไป ภาวะขณะนั้นจริงๆต้องกู้ไม่ต่ำกว่า 1แสน5หมื่นล้าน แต่สุดท้ายก็ประกาศ 1แสน และเมื่อมีกระแสต่อต้านก็ลดเหลือ 8หมื่น แต่ต่อมาไม่กี่เดือน ก็ประกาศว่า จะแปลงเรื่องออกตั๋วเงินคลังเป็นหนี้เงินกู้ระยะยาว เพิ่มกันมาเป็น 1แสน6หมื่นล้าน แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ วันนี้เต็มเพดาน 8หมื่นแล้ว แต่ถ้า ครม.หรือ รัฐบาลไปขยายอีกซัก 8หมื่นเป็น แสนหก จะมีปัญหา1. คือ ครม.รักษาการณ์ อนุมัติเงินกู้จำนวนนี้ได้หรือไม่ 2. ถึงแม้รัฐบาลจะหางทางอนุมัติมาแล้ว อยู่ในช่วงฤดูกาล มีนา เมษา พฤษภา ที่อัตราดอกเบี้ยก็สูง ภาวะเศรษฐกิจนี้ จะเอาตั๋วเงินคลังที่ออกมาประมูลขายให้กับใคร ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดจากว่า รัฐบาลสร้างวิกฤตแก่ตัวเอง ไม่ใช่เพราะม็อบ ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ทางการเมือง อย่าไปโทษคุณสนธิ พันธมิตร มันคือวิกฤตที่จะต้องเกิดซึ่งได้เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ตั้ง 6 เดือนแล้ว และในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลขายสมบัติชาติไปแล้วหลายแสนล้าน เอาเงินมาใช้ไปแล้ว และถ้าเกิดการขายแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งหลายผิดกฏหมาย จะเอาเงินที่ไหนมาคืน
ดังนั้นในภาวะวิกฤติขนาดนี้ นายพิเชษฐ์ต้องการเสนอแนะให้รัฐบาลต้องแก้ไขด่วน หนึ่งขณะนี้รัฐบาลต้องใช้คืนธนาคารออมสินในรูปหนี้กองทุนหมู่บ้านที่กู้มา 8หมื่นล้าน ต้องคืนปีละหมื่นล้าน 8ปี พร้อมดอกเบี้ยประจำปี ตกปีละประมาณหมื่นหนึ่งพันถึงหมื่นสองพันล้าน ให้ชะลอเรื่องนี้ไว้ มาแก้ไขปัญหาเรื่องเงินเดือน เรื่องงบลงทุนของผู้ประกอบการทั้งหลายที่ค้างเขา ขณะนี้กองทุนสวัสดิการสังคม มีเงินตั้ง 3แสนกว่าล้าน แล้วเอาเงินไปเล่นหุ้น ซื้อหุ้นชินคอร์ป เอาเงินไปซื้อหุ้นพยุงตลาดหุ้นในแต่ละวันตามคำสั่งของผู้มีอำนาจในรัฐบาล กองทุนประกันสังคมต้องยุติบทบาทอันนี้ และเงินที่จะส่งในกองทุนประกันสังคมรัฐบาลน่าจะชะลอไว้ได้ เพราะตรงนั้นมีตั้ง 3หมื่นกว่าล้านแล้ว ถ้าวันนี้รัฐบาลไม่มีเงินที่จะมาจัดเลือกตั้ง 2-3พันล้าน ไม่มีเงินที่จะมาคืนค่าหุ้น กฟผ.ที่ขายไปแล้ว และถูกศาลปกครองยกเลิก ถ้าในอดีตรัฐบาลไม่ไปสร้างเชียงใหม่ซาฟารี และทุ่มเทกับเชียงใหม่เป็นหมื่นๆล้าน วันนี้พิจิตรไม่หนักหนาถึงขนาดนี้ ถ้าในอดีตรัฐบาลไม่เอาเงินไปซื้อเครื่องบินประจำนายกรัฐมนตรีไทยคู่ฟ้า 2พันกว่าล้าน วันนี้ไม่เดือดร้อนอย่างนี้ ถ้าในอดีตรัฐบาลไม่ไปทำทัวร์นกขมิ้น ไปเที่ยวแจกที่บุรีรัมย์ ที่เชียงใหม่ ที่ไหนเยอะแยะไปหมดเป็นหมื่นล้าน วันนี้ไม่เดือดร้อนอย่างนี้ จึงเสนอว่า รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายประชานิยม หยุดนโยบายประชานิยมทั้งหมดเอาไว้ก่อน ทั้งส่วนที่จ่ายไปแล้วและยังไม่ได้จ่าย มิฉะนั้นวิกฤตงบประมาณปี 50 รัฐบาลจะทำงบประมาณไม่ได้ และถึงทำไปมันก็สร้างตัวเลขหลอกประชาชนไปอีก
รัฐบาลต้องทบทวนว่า ถ้าปีนี้ GDP ไม่ได้ตามเป้าที่บอกว่าจะถึง 5.5-6% แล้วสุดท้ายเหลือต่ำกว่า 4% และหนี้สาธารณะที่ซ่อนเอาไว้ รวมทั้งที่กำลังจะต้องกู้เพิ่ม ณ ขณะนี้ ถ้า GDP อยู่ที่ตัวประมาณ 7ล้านล้าน แต่หนี้สาธารณะมันทะลุ 3ล้าน 5แสนล้านไปแล้วล่ะ จะทำอย่างไรกับภาวะหนี้สาธารณะที่มันเกินครึ่งของ GDP แล้ว รัฐบาลจะต้องแถลงให้ประชาชนอย่างโปร่งใสเพื่อทราบว่า ที่อ้างทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากในอดีตที่ประมาณ 3หมื่น2พันล้านเหรียญ ในยุคประชาธิปัตย์ มาเป็นประมาณ 5หมื่น2พันล้านเหรียญในขณะนี้ เป็นส่วนที่อยู่ในบัญชีของฝ่ายออกบัตรที่ค้ำประกันค่าเงินเท่าไหร่ และ5หมื่นกว่าจริงๆแล้วอยู่ในบัญชีที่หลวงตามหาบัวบอกว่าคลังหลวงน่ะเท่าไหร่ เพราะตรงนี้คือส่วนที่จะต้องมาค้ำค่าเงินบาท และในอดีตขณะที่เรามีทุนสำรอง 3หมื่น2พันล้าน ฐานเงินคือเงินบาทที่แบงค์ชาติออกไปทั่วประเทศมีเพียง 5แสนล้านบาท วันนี้2ปีผ่านมา รัฐบาลพิมพ์ธนบัตรเพิ่มมา 2แสนกว่าล้าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฐานเงินเราวันนี้ตกประมาณ 7แสน3หมื่นล้านบาท เงินบาททั้งหมดที่ออกมา ทุนสำรองค้ำประกันฐานเงินเหล่านี้มันมีเสถียรภาพมากกว่าในอดีตหรือด้อยกว่าในอดีตแค่ไหน เพราะรัฐบาลพูดเฉพาะว่าทุนสำรองเพิ่มขึ้น ไม่ได้พูดเลยว่าพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น ขายเงินบาทเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้ต้องรีบทำความเข้าใจกับสังคมโดยรีบด่วน มิฉะนั้นวิกฤติอันนี้ จะเกิดจากความไม่ไว้วางใจของต่างประเทศ ที่ประเทศไทยไม่รักษาวินัยการคลัง และวินัยการงบประมาณเลย มันจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น
สุดท้าย นายพิเชษฐ์ ได้กล่าวติงไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อกลางปี 46 รัฐบาลบิดเบือน โดยอ้างว่าใช้หนี้ IMF ก่อนกำหนด ข้อเท็จจริงคือหนี้ IMF แต่ละงวด ที่เบิกมาครบกำหนดที่จะต้องจ่ายใน 3 ปี รัฐบาลชวน 2 สมัยนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ และตนเองเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง ได้หยุดรับเงินกู้ IMF ก่อนกำหนดปีกว่า คือได้ทำการหยุดรับตั้งแต่กลางปี 43 เพราะฉะนั้นงวดสุดท้ายกลางปี 43 ที่ควรจะไปครบ ประมาณปี 48 ก็จบกลางปี 46 ประมาณกันยายน เพราะแต่ละงวดจะครบกำหนดชำระใน 3 ปี ก็คือกลางปี 46 แต่รัฐบาลนี้สร้างภาพบิดเบือน โดยไปจ่ายหนี้นอก IMF คือหนี้ ADB 7พันกว่าล้านเหรียญ หนี้ world bank กับหนี้ ADB ซึ่งไม่เคยอยู่ในหนี้ของ IMF เลยไม่ได้เบิกมา พันกว่าล้านเหรียญ หลายหมื่นล้านบาท ขณะนั้นดอกเบี้ยของ ADB และ world bank เพียงแค่ไม่ถึงร้อยละ 2 วันนี้อัตราดอกเบี้ยเราไป 4กว่าแล้ว ตอนนั้นใช้ก่อนกำหนด ดอกเบี้ยต่ำมาก และยังไปเสียค่าปรับอีกในจำนวนที่รัฐบาลไม่ยอมเปิดเผย ถ้าไม่ไปคืนเงิน ADB เมื่อกลางปี 46 อย่างน้อยเราก็เหลือเงิน 4-5หมื่นล้านที่จะแก้ไขปัญหาในขณะนี้ แต่ถ้าวันนี้เราต้องกู้ มันไม่ใช่ดอกเบี้ยร้อยละ 2 แล้ว และนี่คือความเสียหายที่เกิดจากรัฐบาลในนโยบายที่บิดเบือนเพื่อสร้างภาพ ให้คนเชื่อว่าประกาศอิสระภาพจ่ายเงิน IMF ก่อนกำหนดนั่นเอง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 มี.ค. 2549--จบ--