ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ปรับหลักเกณฑ์ พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท.
กล่าวว่า การแก้ไข พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนเข้าสู่กฤษฎีกาและจะเสนอเข้า ครม. อีกครั้งจึงจะส่งผ่านให้สภานิติ
บัญญัติแห่งชาติพิจารณาและทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธยก่อนประกาศใช้ โดยสาเหตุหลักที่มีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีอยู่
3 ปัจจัย คือ 1) สภาพของธุรกิจและตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ผ่านมา 2) มาตรฐานสากลที่กำกับดูแลมีการเปลี่ยนแปลงไป และ 3) มีสิ่ง
ที่ต้องปรับปรุงจากวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ทั้งนี้ ร่าง พรบ. ฉบับนี้มีคนบางกลุ่มรู้สึกว่า ธปท. ทำอยู่คนเดียวและมีอำนาจมากเกินไป แต่
กฎหมายที่มีการปรับปรุงใหม่เป็นสิ่งที่ ธปท. ต้องทำอยู่แล้ว แม้จะมีใครคานอำนาจน้อยลง ดังนั้น แม้ ก.คลังจะมีอำนาจน้อยลงแต่ก็สามารถตรวจสอบ
ได้ และที่มองว่า ธปท. ทำอะไรก็ได้ภายใต้ ครม. ชุดใหม่นี้ก็ไม่ใช่ เพราะการทำทุกอย่างมีคณะกรรมการสถาบันการเงินและคณะกรรมการ
นโยบายการเงินที่มีคนนอกร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งการดำเนินการภายใต้เงื่อนไขและกรอบที่ชัดเจนกำกับดูแลอยู่แล้ว ดังนั้น การร่าง พรบ.
ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่เพื่อเป็นการจัดระบบการเงินให้เรียบร้อยมากขึ้นและลดความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งกับผู้บริโภคและ
ธ.พาณิชย์ด้วย ในส่วนของมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) แม้จะเริ่มใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่ ธปท. จะเริ่มให้สถาบัน
การเงินค่อย ๆ ปรับตัวก่อน สำหรับสิ่งที่ต้องปรับปรุงอันเป็นผลมาจากเหตุการณ์เมื่อปี 40 นั้น ธปท. มองว่าขณะนี้สถาบันการเงินยังมีวิธีการเลี่ยงกฎ
ในการดำเนินธุรกิจผ่านการตั้งตัวแทน (นอมินี) โดยกฎหมายใหม่จะเข้าไปดูแลบริษัทในเครือที่สถาบันการเงินเข้าไปถือหุ้นโดยตรงไม่เกินร้อยละ
30 แล้วมาขอทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินแห่งนั้นแทน นอกจากนี้ ธปท. ยังมองถึงหลักธรรมาภิบาลที่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการหลายชุดเพื่อคาน
เสียงกันไม่ให้ใครมีอำนาจเพียงผู้เดียว และกรรมการสถาบันการเงินแห่งนั้นต้องไม่มีผลประโยชน์กับมีเงื่อนไขในเรื่องที่ตนพิจารณา รวมทั้งผู้สอบ
บัญชีเมื่อตรวจพบความผิดแล้วต้องรายงาน ธปท. ให้รับทราบทันที ดังนั้น การคุ้มครองของ ธปท. ก็ต้องเข้มแข็งและชัดเจนกว่าในช่วงที่ผ่านมา
(ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ)
2. เงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 9 ปี นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวถึงค่าเงินบาที่แข็งค่าถึง
ระดับ 35.26 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. เป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี ว่า เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากมีแรงเทขายเงินดอลลาร์
สรอ. ออกมามากเพื่อซื้อเงินบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะปรกติของอุปสงค์และอุปทาน ขณะที่ ธปท. มีหลายมาตรการดูแลเงินบาทอยู่ตลอดเวลา
ทั้งด้านปริมาณราคาและการสกัดกั้น ส่วนจะมีมาตรการใหม่ออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ต้องขอเวลาดูผลของมาตรการควบคุมการลงทุนในตราสารและ
พันธบัตรระยะสั้นของบัญชีผู้มีถิ่นฐานต่างประเทศอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากหากมีมาตรการออกมาบ่อยคงไม่เหมาะสม ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทมี
ทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์และได้รับผลกระทบ โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบคือภาคเอกชนที่ส่งออกอย่างเดียว ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ประมาณร้อยละ 14 แต่ก็มีผลดีกับธุรกิจที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน)
3. สรอ. ขยายสิทธิจีเอสพีให้ไทยอีก 2 ปี เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.49 เว็บไซต์สถานทูต สรอ. ได้เผยแพร่ผลการประชุมของสภา
คองเกรส สรอ. อนุมัติกฎหมายขยายเวลาระบบสิทธิพิเศษทางศุลกากร (จีเอสพี) ไปอีก 2 ปี ส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าบางประเภทไป
สรอ. โดยไม่เสียภาษี จากเดิมสิทธิพิเศษดังกล่าวจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดยก่อนหน้านี้สภาผู้แทน สรอ. ก็ได้ผ่านกฎหมายย่อยที่มีบท
บัญญัติที่เหมือนกัน ทั้งนี้ สรอ. นำเข้าสินค้าจากไทยภายใต้โครงการระบบสิทธิพิเศษทางศุลกากรในปี 48 มูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
และตั้งแต่เดือน ม.ค. — ก.ย.49 สรอ. นำเข้าสินค้าที่มีสิทธิจีเอสพีจากไทย มูลค่า 3.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 48
ถึงร้อยละ 24.6 และในปี 49 จำนวนสินค้าที่ สรอ. นำเข้าจากไทยเป็นสินค้าที่มีสิทธิจีเอสพีเกือบร้อยละ 19 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด
(มติชน, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันตามที่คาดไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
12 ธ.ค.49 ธ.กลาง สรอ.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 เป็นต้นมา หลังจาก
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง 17 ครั้ง ทั้งนี้เป็นผลมาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวและขยายตัวในอัตราต่ำกว่าแนวโน้ม
ระยะยาวช่วยให้ ธ.กลาง สรอ.ลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยดัชนีชี้วัดผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง
นอกจากนี้ราคาบ้านในไตรมาสที่ 3 ปี 49 ที่ผ่านมายังเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 41 เป็นต้นมา นักค้าเงินส่วนใหญ่
จึงคาดว่าการเคลื่อนไหวอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของ ธ.กลาง สรอ.จะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าหากไม่มีสัญญาณชี้ชัดว่ามีแรงกดดันให้
เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ธ.กลาง สรอ.จะคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปี 50 ก่อนที่จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป (รอยเตอร์)
2. ยอดขาดดุลการค้าของ สรอ.ในเดือน ต.ค.49 ลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
12 ธ.ค.49 ยอดขาดดุลการค้าของ สรอ.ลดลงร้อยละ 8.4 ในเดือน ต.ค.49 มีจำนวน 58.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ลดลงมากสุดนับตั้งแต่เดือน
ธ.ค.44 สร้างความประหลาดใจให้นักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงน้อยกว่านี้ นอกจากนี้ยอดขาดดุลการค้ายังอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน
ส.ค.48 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่มีจำนวนต่ำกว่า 60 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่ายอดขาดดุลของทั้งปี 49 จะสูงถึง
760 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงร้อยละ 11.3 มาอยู่ที่ 55.47 ดอลลาร์ สรอ.
ต่อบาร์เรลทำให้ยอดขาดดุลการค้ากับกลุ่มประเทศโอเปคลดลงร้อยละ 18.3 ซึ่งช่วยชดเชยยอดนำเข้าสินค้าสำหรับผู้บริโภค อาหาร เครื่องดื่มและ
สินค้าไฮเทคที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ผลจากการที่ค่าเงินดอลลาร์ลดลงช่วยให้ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดเป็น
ประวัติการณ์โดยมีจำนวน 123.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือน ก.ย.49 โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกธุรกิจบริการ
สินค้าทุนและสินค้าสำหรับผู้บริโภค (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน พ.ย.49 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด รายงานจากลอนดอนเมื่อ 12 ธ.ค.49 ข้อมูลจากทางการ
เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.75 ที่ระดับร้อยละ 2.7 สูงกว่าเป้าหมายของ ธ.กลางอังกฤษซึ่ง
กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2.0 และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลในเดือน ม.ค.40 โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นมากมาจากการ
ที่ราคาน้ำมันโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน ประกอบกับต้นทุนค่าไฟฟ้า ก๊าซ และพลังงานอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน
อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์แสดงความเห็นว่า การปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษเป็นปัจจัยสนับสนุนความคาดหวังว่า ธ.กลางอังกฤษอาจปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนกลับมองว่า การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลางอังกฤษเมื่อเดือน
ส.ค.และ พ.ย.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาปัจจัยการปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อไว้เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะปรับตัวลดลงใน
ต้นปีหน้า (รอยเตอร์)
4. ผลการสำรวจชี้ว่าอัตราค่าจ้างแรงงานของอังกฤษในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบเกือบ 6 ปี รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 49 Recruitment and Employment Confederation/KPMG เปิดเผยว่า ดัชนี permanent placement ซึ่งใช้
เป็นเครื่องชี้วัดการขยายตัวของการจ้างงานประจำในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 61.2 จากระดับ 59.3 ในเดือนก่อนหน้า และนับเป็นระดับ
สูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี ส่งผลให้ดัชนีชี้วัดค่าจ้างแรงงานสำหรับลูกจ้างประจำในเดือน พ.ย. 49 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปีอยู่ที่ระดับ
62.85 จากระดับ 61.3 ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนีค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 57.8 จากระดับ 58.3 ซึ่งบ่งชี้ว่า
นายจ้างกำลังประสบปัญหาการจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความวิตกเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านราคาเมื่อค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งภายหลังจากอัตราเงินเฟ้อในเดือน พ.ย. เร่งตัวขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบทศวรรษ ทั้งนี้ ธ.กลางอังกฤษได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบาย 2 ครั้งในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมาเพื่อสกัดอัตราเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 ธ.ค. 49 12 ธ.ค. 49 31 ม.ค. 49
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.327 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.1649/35.4477 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 738.25/13.33 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,500/10,600 10,500/10,600 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.29 56.74 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม เมื่อ 2 ธ.ค. 49 ** ปรับเพิ่ม เมื่อ 7 ธ.ค. 49 26.09*/23.74** 26.09*/23.74** 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ปรับหลักเกณฑ์ พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท.
กล่าวว่า การแก้ไข พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนเข้าสู่กฤษฎีกาและจะเสนอเข้า ครม. อีกครั้งจึงจะส่งผ่านให้สภานิติ
บัญญัติแห่งชาติพิจารณาและทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธยก่อนประกาศใช้ โดยสาเหตุหลักที่มีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีอยู่
3 ปัจจัย คือ 1) สภาพของธุรกิจและตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ผ่านมา 2) มาตรฐานสากลที่กำกับดูแลมีการเปลี่ยนแปลงไป และ 3) มีสิ่ง
ที่ต้องปรับปรุงจากวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ทั้งนี้ ร่าง พรบ. ฉบับนี้มีคนบางกลุ่มรู้สึกว่า ธปท. ทำอยู่คนเดียวและมีอำนาจมากเกินไป แต่
กฎหมายที่มีการปรับปรุงใหม่เป็นสิ่งที่ ธปท. ต้องทำอยู่แล้ว แม้จะมีใครคานอำนาจน้อยลง ดังนั้น แม้ ก.คลังจะมีอำนาจน้อยลงแต่ก็สามารถตรวจสอบ
ได้ และที่มองว่า ธปท. ทำอะไรก็ได้ภายใต้ ครม. ชุดใหม่นี้ก็ไม่ใช่ เพราะการทำทุกอย่างมีคณะกรรมการสถาบันการเงินและคณะกรรมการ
นโยบายการเงินที่มีคนนอกร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งการดำเนินการภายใต้เงื่อนไขและกรอบที่ชัดเจนกำกับดูแลอยู่แล้ว ดังนั้น การร่าง พรบ.
ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่เพื่อเป็นการจัดระบบการเงินให้เรียบร้อยมากขึ้นและลดความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งกับผู้บริโภคและ
ธ.พาณิชย์ด้วย ในส่วนของมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) แม้จะเริ่มใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่ ธปท. จะเริ่มให้สถาบัน
การเงินค่อย ๆ ปรับตัวก่อน สำหรับสิ่งที่ต้องปรับปรุงอันเป็นผลมาจากเหตุการณ์เมื่อปี 40 นั้น ธปท. มองว่าขณะนี้สถาบันการเงินยังมีวิธีการเลี่ยงกฎ
ในการดำเนินธุรกิจผ่านการตั้งตัวแทน (นอมินี) โดยกฎหมายใหม่จะเข้าไปดูแลบริษัทในเครือที่สถาบันการเงินเข้าไปถือหุ้นโดยตรงไม่เกินร้อยละ
30 แล้วมาขอทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินแห่งนั้นแทน นอกจากนี้ ธปท. ยังมองถึงหลักธรรมาภิบาลที่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการหลายชุดเพื่อคาน
เสียงกันไม่ให้ใครมีอำนาจเพียงผู้เดียว และกรรมการสถาบันการเงินแห่งนั้นต้องไม่มีผลประโยชน์กับมีเงื่อนไขในเรื่องที่ตนพิจารณา รวมทั้งผู้สอบ
บัญชีเมื่อตรวจพบความผิดแล้วต้องรายงาน ธปท. ให้รับทราบทันที ดังนั้น การคุ้มครองของ ธปท. ก็ต้องเข้มแข็งและชัดเจนกว่าในช่วงที่ผ่านมา
(ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ)
2. เงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 9 ปี นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวถึงค่าเงินบาที่แข็งค่าถึง
ระดับ 35.26 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. เป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี ว่า เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากมีแรงเทขายเงินดอลลาร์
สรอ. ออกมามากเพื่อซื้อเงินบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะปรกติของอุปสงค์และอุปทาน ขณะที่ ธปท. มีหลายมาตรการดูแลเงินบาทอยู่ตลอดเวลา
ทั้งด้านปริมาณราคาและการสกัดกั้น ส่วนจะมีมาตรการใหม่ออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ต้องขอเวลาดูผลของมาตรการควบคุมการลงทุนในตราสารและ
พันธบัตรระยะสั้นของบัญชีผู้มีถิ่นฐานต่างประเทศอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากหากมีมาตรการออกมาบ่อยคงไม่เหมาะสม ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทมี
ทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์และได้รับผลกระทบ โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบคือภาคเอกชนที่ส่งออกอย่างเดียว ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ประมาณร้อยละ 14 แต่ก็มีผลดีกับธุรกิจที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน)
3. สรอ. ขยายสิทธิจีเอสพีให้ไทยอีก 2 ปี เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.49 เว็บไซต์สถานทูต สรอ. ได้เผยแพร่ผลการประชุมของสภา
คองเกรส สรอ. อนุมัติกฎหมายขยายเวลาระบบสิทธิพิเศษทางศุลกากร (จีเอสพี) ไปอีก 2 ปี ส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าบางประเภทไป
สรอ. โดยไม่เสียภาษี จากเดิมสิทธิพิเศษดังกล่าวจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดยก่อนหน้านี้สภาผู้แทน สรอ. ก็ได้ผ่านกฎหมายย่อยที่มีบท
บัญญัติที่เหมือนกัน ทั้งนี้ สรอ. นำเข้าสินค้าจากไทยภายใต้โครงการระบบสิทธิพิเศษทางศุลกากรในปี 48 มูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
และตั้งแต่เดือน ม.ค. — ก.ย.49 สรอ. นำเข้าสินค้าที่มีสิทธิจีเอสพีจากไทย มูลค่า 3.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 48
ถึงร้อยละ 24.6 และในปี 49 จำนวนสินค้าที่ สรอ. นำเข้าจากไทยเป็นสินค้าที่มีสิทธิจีเอสพีเกือบร้อยละ 19 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด
(มติชน, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันตามที่คาดไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
12 ธ.ค.49 ธ.กลาง สรอ.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 เป็นต้นมา หลังจาก
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง 17 ครั้ง ทั้งนี้เป็นผลมาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวและขยายตัวในอัตราต่ำกว่าแนวโน้ม
ระยะยาวช่วยให้ ธ.กลาง สรอ.ลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยดัชนีชี้วัดผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง
นอกจากนี้ราคาบ้านในไตรมาสที่ 3 ปี 49 ที่ผ่านมายังเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 41 เป็นต้นมา นักค้าเงินส่วนใหญ่
จึงคาดว่าการเคลื่อนไหวอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของ ธ.กลาง สรอ.จะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าหากไม่มีสัญญาณชี้ชัดว่ามีแรงกดดันให้
เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ธ.กลาง สรอ.จะคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปี 50 ก่อนที่จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป (รอยเตอร์)
2. ยอดขาดดุลการค้าของ สรอ.ในเดือน ต.ค.49 ลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
12 ธ.ค.49 ยอดขาดดุลการค้าของ สรอ.ลดลงร้อยละ 8.4 ในเดือน ต.ค.49 มีจำนวน 58.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ลดลงมากสุดนับตั้งแต่เดือน
ธ.ค.44 สร้างความประหลาดใจให้นักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงน้อยกว่านี้ นอกจากนี้ยอดขาดดุลการค้ายังอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน
ส.ค.48 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่มีจำนวนต่ำกว่า 60 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่ายอดขาดดุลของทั้งปี 49 จะสูงถึง
760 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงร้อยละ 11.3 มาอยู่ที่ 55.47 ดอลลาร์ สรอ.
ต่อบาร์เรลทำให้ยอดขาดดุลการค้ากับกลุ่มประเทศโอเปคลดลงร้อยละ 18.3 ซึ่งช่วยชดเชยยอดนำเข้าสินค้าสำหรับผู้บริโภค อาหาร เครื่องดื่มและ
สินค้าไฮเทคที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ผลจากการที่ค่าเงินดอลลาร์ลดลงช่วยให้ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดเป็น
ประวัติการณ์โดยมีจำนวน 123.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือน ก.ย.49 โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกธุรกิจบริการ
สินค้าทุนและสินค้าสำหรับผู้บริโภค (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน พ.ย.49 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด รายงานจากลอนดอนเมื่อ 12 ธ.ค.49 ข้อมูลจากทางการ
เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.75 ที่ระดับร้อยละ 2.7 สูงกว่าเป้าหมายของ ธ.กลางอังกฤษซึ่ง
กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2.0 และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลในเดือน ม.ค.40 โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นมากมาจากการ
ที่ราคาน้ำมันโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน ประกอบกับต้นทุนค่าไฟฟ้า ก๊าซ และพลังงานอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน
อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์แสดงความเห็นว่า การปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษเป็นปัจจัยสนับสนุนความคาดหวังว่า ธ.กลางอังกฤษอาจปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนกลับมองว่า การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลางอังกฤษเมื่อเดือน
ส.ค.และ พ.ย.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาปัจจัยการปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อไว้เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะปรับตัวลดลงใน
ต้นปีหน้า (รอยเตอร์)
4. ผลการสำรวจชี้ว่าอัตราค่าจ้างแรงงานของอังกฤษในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบเกือบ 6 ปี รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 49 Recruitment and Employment Confederation/KPMG เปิดเผยว่า ดัชนี permanent placement ซึ่งใช้
เป็นเครื่องชี้วัดการขยายตัวของการจ้างงานประจำในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 61.2 จากระดับ 59.3 ในเดือนก่อนหน้า และนับเป็นระดับ
สูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี ส่งผลให้ดัชนีชี้วัดค่าจ้างแรงงานสำหรับลูกจ้างประจำในเดือน พ.ย. 49 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปีอยู่ที่ระดับ
62.85 จากระดับ 61.3 ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนีค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 57.8 จากระดับ 58.3 ซึ่งบ่งชี้ว่า
นายจ้างกำลังประสบปัญหาการจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความวิตกเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านราคาเมื่อค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งภายหลังจากอัตราเงินเฟ้อในเดือน พ.ย. เร่งตัวขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบทศวรรษ ทั้งนี้ ธ.กลางอังกฤษได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบาย 2 ครั้งในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมาเพื่อสกัดอัตราเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 ธ.ค. 49 12 ธ.ค. 49 31 ม.ค. 49
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.327 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.1649/35.4477 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 738.25/13.33 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,500/10,600 10,500/10,600 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.29 56.74 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม เมื่อ 2 ธ.ค. 49 ** ปรับเพิ่ม เมื่อ 7 ธ.ค. 49 26.09*/23.74** 26.09*/23.74** 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--