นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนตุลาคม 2549 ในวันที่ 30 ตุลาคม 2549 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 ขยายตัวร้อยละ 4.9 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวถึงร้อยละ 6.1 จากการชะลอลงของอุปสงค์ของภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่อุปสงค์ต่างประเทศยังขยายตัวดี ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการยังขยายตัวในเกณฑ์สูง ทั้งนี้ เมื่อปรับฤดูกาลแล้วเศรษฐกิจยังขยายตัวจากไตรมาสก่อนร้อยละ 1.0 ทั้งนี้ การขยายตัวที่ชะลอลงดังกล่าวเป็นไปตามที่คณะกรรมการฯ ได้ประเมินไว้ในรายงานฉบับก่อน สำหรับข้อมูลเครื่องชี้ล่าสุดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 สะท้อนการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ราคาน้ำมันใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ที่ยังอยู่ในระดับสูงและความไม่แน่นอน ในสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ยังกดดันการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนอยู่ อย่างไรก็ดี ภาคการส่งออกยังขยายตัวในเกณฑ์ดีตามอุปสงค์จากประเทศคู่ค้า
สำหรับเสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ แรงกดดันด้านราคาเริ่มปรับตัวลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 อยู่ที่ร้อยละ 3.6 และ 1.9 ตามลำดับ ชะลอลงมากจากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 6.0 และ 2.8 ตามลำดับ สะท้อนฐานการคำนวณที่สูงจากการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2548 กอปรกับการปรับตัวลดลงของราคาในหมวดพลังงานและหมวดการขนส่ง และสื่อสารเป็นสำคัญ ตลอดจนมาตรการควบคุมและดูแลราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะผันผวนและกลับมาปรับตัวสูงขึ้นยังคงมีอยู่ และอาจย้อนกลับมาสร้างแรงกดดันต่อ เงินเฟ้อได้ในระยะต่อไป ส่วนเสถียรภาพของระบบการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าเป็นห่วง แม้ว่าภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน และสถาบันการเงิน จะชะลอการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจลงไปบ้าง เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในไตรมาสที่ 2 กอปรกับความผันผวนในตลาดการเงินโลกจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมไปถึงความไม่ชัดเจนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่น้อยลงจากราคาน้ำมันที่ต่ำลงมากและอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัว ทำให้คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวต่อไปได้ โดยเฉพาะการลงทุนภาคธุรกิจที่มีศักยภาพพร้อมอยู่แล้ว ขณะที่ภาวะค่าครองชีพที่ไม่เร่งตัวขึ้น จะช่วยสถานะทางการเงินของภาคครัวเรือนให้ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลในไตรมาสที่ 2 กลับมาเกินดุลในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมจากทั้งดุลบริการ รายได้ และเงินโอน กอปรกับดุลการค้าที่ปรับตัวดีขึ้นจากราคาสินค้าส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในหมวดสินค้าเกษตรและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2549 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจำนวน 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ เครื่องชี้สภาพคล่องด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง โดยสัดส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศต่อยอดคงค้างหนี้ต่างประเทศระยะสั้นยังคงสูงกว่า 3 เท่า
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า
1. ราคาน้ำมันดูไบปรับลดลงต่ำกว่ารายงานฉบับก่อนตลอดช่วงประมาณการ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยสำหรับปี 2549 และ 2550 อยู่ที่ 62.6 และ 61.3 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลตามลำดับ โดยเป็นผลมาจากอุปสงค์น้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวลดลง กอปรกับอุปทานที่เริ่มมีมากขึ้น
2. ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับเร่งขึ้นมากกว่าข้อสมมติที่ใช้ในรายงานฉบับก่อนตลอดช่วงประมาณการจากราคาข้าวและยางพาราเป็นสำคัญ ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มิใช่เชื้อเพลิงในตลาดโลก ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก
3. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds มีแนวโน้มที่จะยุติการปรับขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 5.25 ไปจนถึงสิ้นปี 2549 และคงไว้ที่ระดับนี้ต่อไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ปี 2551 ทำให้อัตราดอกเบี้ยนี้ต่ำกว่าที่คาดไว้ในรายงานฉบับก่อนร้อยละ 0.25 ต่อปี
4. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเฉลี่ยในปี 2549 ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับข้อสมมติ ในรายงานฉบับก่อน เพราะอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปและเอเชียบางประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 สูงกว่าที่คาด และปรับเข้าสู่แนวโน้มเดิมในปี 2550
5. ค่าเงินในภูมิภาคยังคงมีแนวโน้มแข็งค่า แต่อ่อนลงเมื่อเทียบกับข้อสมมติเดิม เพราะค่าเงินเยนอ่อนลงกว่าที่คาด และคาดว่าค่าเงินในภูมิภาคนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2550 จะปรับแข็งขึ้นจากค่าเงินหยวน
6. รายจ่ายเพื่อการอุปโภคและการลงทุนของภาครัฐในปีงบประมาณ 2550 ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ข้อสมมติในรายงานฉบับก่อน เพราะมีการจัดทำงบประมาณที่เร็วขึ้น และวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล
สำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปนั้น ที่สำคัญมาจาก
(1) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่แม้ว่าจะปรับลดลงมากแต่ยังมีแนวโน้มผันผวนจากความไม่แน่นอนด้านอุปทานน้ำมันและความต้องการน้ำมันในตลาดโลก
(2) การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่อาจต่ำกว่าคาด และวัฎจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจชะลอลงเร็วกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
(3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อาจปรับตัวดีขึ้นจากความชัดเจนของแนวนโยบายภาครัฐที่จะช่วยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนภายในประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่ามีโอกาสประมาณร้อยละ 81 ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2549 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.5 - 5.0 และมีโอกาสร้อยละ 80 ที่เศรษฐกิจปี 2550 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5 - 5.5
ส่วนความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปนั้น ความเสี่ยงที่อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่ากรณีฐานมาจากราคาน้ำมันที่อาจกลับมาเร่งขึ้น และผลกระทบจากภาวะอุทกภัยที่อาจส่งผลให้ราคาพืชผลเกษตรสูงขึ้นกว่าที่คาด และสำหรับความเสี่ยงที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่ากรณีฐานมาจากความเสี่ยงด้านลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงมาตรการควบคุมราคาของทางการทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2549 จะอยู่ที่ร้อยละ 4.3 - 4.8 และชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 - 3.0 ในปี 2550 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.0-2.5 ในปี 2549 และร้อยละ 1.5-2.5 ในปี 2550
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณา ดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2549 คณะกรรมการฯ เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 และเดือนกรกฎาคม 2549 ยังคงขยายตัวได้แม้ว่าอัตราการขยายตัวจะชะลอลงจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ขณะที่ภาคการส่งออกยังอยู่ในเกณฑ์ดี เสถียรภาพทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจากที่อัตราเงินเฟ้อลดลงและดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันเหมาะสม จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันไว้ที่ร้อยละ 5.00 ต่อปี
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 คณะกรรมการฯ ประเมินว่า ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้อย่างน่าพอใจ แม้อุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงกว่าในครึ่งปีแรก แต่มูลค่าการส่งออกขยายตัวดีต่อเนื่องและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง สำหรับเศรษฐกิจในปีหน้ามีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ และเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันเหมาะสมกับสภาวะของเศรษฐกิจในขณะนี้ จึงเห็นควร ให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันไว้ที่ร้อยละ 5.00 ต่อปี
ข้อมูลเพิ่มเติม : สุรัช แทนบุญ โทร. 0 2283 6185 E-mail: [email protected]
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 ขยายตัวร้อยละ 4.9 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวถึงร้อยละ 6.1 จากการชะลอลงของอุปสงค์ของภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่อุปสงค์ต่างประเทศยังขยายตัวดี ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการยังขยายตัวในเกณฑ์สูง ทั้งนี้ เมื่อปรับฤดูกาลแล้วเศรษฐกิจยังขยายตัวจากไตรมาสก่อนร้อยละ 1.0 ทั้งนี้ การขยายตัวที่ชะลอลงดังกล่าวเป็นไปตามที่คณะกรรมการฯ ได้ประเมินไว้ในรายงานฉบับก่อน สำหรับข้อมูลเครื่องชี้ล่าสุดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 สะท้อนการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ราคาน้ำมันใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ที่ยังอยู่ในระดับสูงและความไม่แน่นอน ในสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ยังกดดันการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนอยู่ อย่างไรก็ดี ภาคการส่งออกยังขยายตัวในเกณฑ์ดีตามอุปสงค์จากประเทศคู่ค้า
สำหรับเสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ แรงกดดันด้านราคาเริ่มปรับตัวลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 อยู่ที่ร้อยละ 3.6 และ 1.9 ตามลำดับ ชะลอลงมากจากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 6.0 และ 2.8 ตามลำดับ สะท้อนฐานการคำนวณที่สูงจากการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2548 กอปรกับการปรับตัวลดลงของราคาในหมวดพลังงานและหมวดการขนส่ง และสื่อสารเป็นสำคัญ ตลอดจนมาตรการควบคุมและดูแลราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะผันผวนและกลับมาปรับตัวสูงขึ้นยังคงมีอยู่ และอาจย้อนกลับมาสร้างแรงกดดันต่อ เงินเฟ้อได้ในระยะต่อไป ส่วนเสถียรภาพของระบบการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าเป็นห่วง แม้ว่าภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน และสถาบันการเงิน จะชะลอการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจลงไปบ้าง เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในไตรมาสที่ 2 กอปรกับความผันผวนในตลาดการเงินโลกจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมไปถึงความไม่ชัดเจนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่น้อยลงจากราคาน้ำมันที่ต่ำลงมากและอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัว ทำให้คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวต่อไปได้ โดยเฉพาะการลงทุนภาคธุรกิจที่มีศักยภาพพร้อมอยู่แล้ว ขณะที่ภาวะค่าครองชีพที่ไม่เร่งตัวขึ้น จะช่วยสถานะทางการเงินของภาคครัวเรือนให้ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลในไตรมาสที่ 2 กลับมาเกินดุลในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมจากทั้งดุลบริการ รายได้ และเงินโอน กอปรกับดุลการค้าที่ปรับตัวดีขึ้นจากราคาสินค้าส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในหมวดสินค้าเกษตรและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2549 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจำนวน 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ เครื่องชี้สภาพคล่องด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง โดยสัดส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศต่อยอดคงค้างหนี้ต่างประเทศระยะสั้นยังคงสูงกว่า 3 เท่า
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า
1. ราคาน้ำมันดูไบปรับลดลงต่ำกว่ารายงานฉบับก่อนตลอดช่วงประมาณการ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยสำหรับปี 2549 และ 2550 อยู่ที่ 62.6 และ 61.3 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลตามลำดับ โดยเป็นผลมาจากอุปสงค์น้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวลดลง กอปรกับอุปทานที่เริ่มมีมากขึ้น
2. ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับเร่งขึ้นมากกว่าข้อสมมติที่ใช้ในรายงานฉบับก่อนตลอดช่วงประมาณการจากราคาข้าวและยางพาราเป็นสำคัญ ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มิใช่เชื้อเพลิงในตลาดโลก ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก
3. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds มีแนวโน้มที่จะยุติการปรับขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 5.25 ไปจนถึงสิ้นปี 2549 และคงไว้ที่ระดับนี้ต่อไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ปี 2551 ทำให้อัตราดอกเบี้ยนี้ต่ำกว่าที่คาดไว้ในรายงานฉบับก่อนร้อยละ 0.25 ต่อปี
4. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเฉลี่ยในปี 2549 ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับข้อสมมติ ในรายงานฉบับก่อน เพราะอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปและเอเชียบางประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 สูงกว่าที่คาด และปรับเข้าสู่แนวโน้มเดิมในปี 2550
5. ค่าเงินในภูมิภาคยังคงมีแนวโน้มแข็งค่า แต่อ่อนลงเมื่อเทียบกับข้อสมมติเดิม เพราะค่าเงินเยนอ่อนลงกว่าที่คาด และคาดว่าค่าเงินในภูมิภาคนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2550 จะปรับแข็งขึ้นจากค่าเงินหยวน
6. รายจ่ายเพื่อการอุปโภคและการลงทุนของภาครัฐในปีงบประมาณ 2550 ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ข้อสมมติในรายงานฉบับก่อน เพราะมีการจัดทำงบประมาณที่เร็วขึ้น และวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล
สำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปนั้น ที่สำคัญมาจาก
(1) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่แม้ว่าจะปรับลดลงมากแต่ยังมีแนวโน้มผันผวนจากความไม่แน่นอนด้านอุปทานน้ำมันและความต้องการน้ำมันในตลาดโลก
(2) การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่อาจต่ำกว่าคาด และวัฎจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจชะลอลงเร็วกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
(3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อาจปรับตัวดีขึ้นจากความชัดเจนของแนวนโยบายภาครัฐที่จะช่วยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนภายในประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่ามีโอกาสประมาณร้อยละ 81 ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2549 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.5 - 5.0 และมีโอกาสร้อยละ 80 ที่เศรษฐกิจปี 2550 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5 - 5.5
ส่วนความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปนั้น ความเสี่ยงที่อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่ากรณีฐานมาจากราคาน้ำมันที่อาจกลับมาเร่งขึ้น และผลกระทบจากภาวะอุทกภัยที่อาจส่งผลให้ราคาพืชผลเกษตรสูงขึ้นกว่าที่คาด และสำหรับความเสี่ยงที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่ากรณีฐานมาจากความเสี่ยงด้านลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงมาตรการควบคุมราคาของทางการทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2549 จะอยู่ที่ร้อยละ 4.3 - 4.8 และชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 - 3.0 ในปี 2550 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.0-2.5 ในปี 2549 และร้อยละ 1.5-2.5 ในปี 2550
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณา ดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2549 คณะกรรมการฯ เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 และเดือนกรกฎาคม 2549 ยังคงขยายตัวได้แม้ว่าอัตราการขยายตัวจะชะลอลงจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ขณะที่ภาคการส่งออกยังอยู่ในเกณฑ์ดี เสถียรภาพทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจากที่อัตราเงินเฟ้อลดลงและดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันเหมาะสม จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันไว้ที่ร้อยละ 5.00 ต่อปี
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 คณะกรรมการฯ ประเมินว่า ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้อย่างน่าพอใจ แม้อุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงกว่าในครึ่งปีแรก แต่มูลค่าการส่งออกขยายตัวดีต่อเนื่องและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง สำหรับเศรษฐกิจในปีหน้ามีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ และเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันเหมาะสมกับสภาวะของเศรษฐกิจในขณะนี้ จึงเห็นควร ให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันไว้ที่ร้อยละ 5.00 ต่อปี
ข้อมูลเพิ่มเติม : สุรัช แทนบุญ โทร. 0 2283 6185 E-mail: [email protected]
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--