นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าเกี่ยวกับการใช้สิทธิพิเศษภายใต้ CEPT ของไทย ในช่วง ม.ค.-ก.ย. 2548 มีมูลค่า 3,852.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 20.85 ของ มูลค่าการส่งออกรวมไปยังประเทศในอาเซียน เมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกภายใต้ CEPT ช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2547 ซึ่งมีมูลค่า 2,097.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.50 ประเทศที่ไทยใช้สิทธิพิเศษฯ ภายใต้ CEPT มากที่สุด คือ อินโดนีเซีย โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ 1,439 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิด เป็นร้อยละ 37 ของมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ สินค้าที่ใช้สิทธิพิเศษฯ เพิ่มสูง ได้แก่ รถยนต์ส่วนบุคคล ส่วนประกอบยานยนต์ ยานยนต์สำหรับขนส่ง เครื่องปรับอากาศ และแชมพู รองลงมา คือ มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ คิดเป็นร้อยละ 24 , 18 , 16 ตามลำดับ
รายการสินค้าสำคัญที่ไทยใช้สิทธิพิเศษฯ CEPT ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มี มูลค่าใช้สิทธิพิเศษฯ รวม 3,473.52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ซึ่งมีมูลค่า 2,585.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 34.32 รายการสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ สูง ได้แก่ ส่วนประกอบรถยนต์ รถยนต์บุคคล ยานยนต์สำหรับขนส่ง แชมพู เครื่องปรับอากาศ ซีเมนต์เม็ด ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ ตู้เย็น ยางรถบรรทุก
ส่วนสินค้าเกษตรมีมูลค่า 379.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2547 ซึ่งมีมูลค่า 321.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 17.85 รายการสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ สูงได้แก่ อาหารปรุงแต่ง อาหารสัตว์ อาหารปรุงแต่งเลี้ยงทารก ผลไม้สด สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง กากน้ำตาล
กลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มการใช้สิทธิ CEPT เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักรไฟฟ้า พลาสติก ยาง เครื่องสำอาง กระดาษ ส่วนกลุ่มสินค้าเกษตร ได้แก่ อาหารปรุงแต่ง น้ำตาล ผลไม้สด อาหารสัตว์ อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช ผลิตภัณฑ์นม
นายราเชนทร์ ได้กล่าวเพิ่มว่า เนื่องจากมีสินค้าบางรายการไม่สามารถผลิตโดยใช้กฎแหล่งกำเนิด สินค้าแบบมูลค่าเพิ่ม (Value Added 40%) ได้ อาเซียนจึงได้ปรับปรุงกฎใหม่โดยให้สามารถใช้หลักเกณฑ์ การแปรสภาพอย่างเพียงพอ ในลักษณะของการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรระหว่างวัตถุดิบที่นำเข้ากับสินค้า สำเร็จรูปที่ส่งออกเป็นเกณฑ์การพิจารณาการได้แหล่งกำเนิดสินค้าในสินค้าแป้งข้าวสาลี ผลิตภัณฑ์ไม้ และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมได้ ตั้งแต่ 27 กันยายน 2548 เป็นต้นไป รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อที่สำนัก ส่งเสริมและพัฒนาสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ โทร. สายด่วน 1385 โทร. 0 2547 4872 โทรสาร 0 2547 4816 www.dft.moc.go.th , e-mail : tpdft@moc.go.th
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
สส-
รายการสินค้าสำคัญที่ไทยใช้สิทธิพิเศษฯ CEPT ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มี มูลค่าใช้สิทธิพิเศษฯ รวม 3,473.52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ซึ่งมีมูลค่า 2,585.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 34.32 รายการสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ สูง ได้แก่ ส่วนประกอบรถยนต์ รถยนต์บุคคล ยานยนต์สำหรับขนส่ง แชมพู เครื่องปรับอากาศ ซีเมนต์เม็ด ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ ตู้เย็น ยางรถบรรทุก
ส่วนสินค้าเกษตรมีมูลค่า 379.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2547 ซึ่งมีมูลค่า 321.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 17.85 รายการสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ สูงได้แก่ อาหารปรุงแต่ง อาหารสัตว์ อาหารปรุงแต่งเลี้ยงทารก ผลไม้สด สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง กากน้ำตาล
กลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มการใช้สิทธิ CEPT เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักรไฟฟ้า พลาสติก ยาง เครื่องสำอาง กระดาษ ส่วนกลุ่มสินค้าเกษตร ได้แก่ อาหารปรุงแต่ง น้ำตาล ผลไม้สด อาหารสัตว์ อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช ผลิตภัณฑ์นม
นายราเชนทร์ ได้กล่าวเพิ่มว่า เนื่องจากมีสินค้าบางรายการไม่สามารถผลิตโดยใช้กฎแหล่งกำเนิด สินค้าแบบมูลค่าเพิ่ม (Value Added 40%) ได้ อาเซียนจึงได้ปรับปรุงกฎใหม่โดยให้สามารถใช้หลักเกณฑ์ การแปรสภาพอย่างเพียงพอ ในลักษณะของการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรระหว่างวัตถุดิบที่นำเข้ากับสินค้า สำเร็จรูปที่ส่งออกเป็นเกณฑ์การพิจารณาการได้แหล่งกำเนิดสินค้าในสินค้าแป้งข้าวสาลี ผลิตภัณฑ์ไม้ และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมได้ ตั้งแต่ 27 กันยายน 2548 เป็นต้นไป รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อที่สำนัก ส่งเสริมและพัฒนาสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ โทร. สายด่วน 1385 โทร. 0 2547 4872 โทรสาร 0 2547 4816 www.dft.moc.go.th , e-mail : tpdft@moc.go.th
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
สส-