แท็ก
สุวรรณภูมิ
อลงกรณ์ เปิด หลักฐานสำคัญคดีเรียกเงิน 300 ล้านบาท โครงการคาร์ปาร์คสุวรรณภูมิ เป็นข้อสัญญาตกลงระบุฝ่ายรับเงินและฝ่ายจ่ายเงินค่าวิ่งเต้นประมูลงาน ชี้พบปมพิรุธบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยก่อตั้งเพื่อประมูลงานสุวรรณภูมิโดยเฉพาะ แถมเปลี่ยนชื่อกรรมการผู้จัดการและกรรมการผู้มีอำนาจ 3 รอบ หลังมีปัญหา พร้อมข้องใจทำไมนายกฯไม่กล้าชี้แจงต่อสาธารณชนเพื่อคลายปมกรณีน้องสาวพัวพัน
วันนี้ (14 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากที่ตนเปิดเผยเรื่องร้องเรียนจากตู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ของนายกฯกรณีเรียกเงิน 300 ล้านบาทก็รู้สึกสงสัยว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงไม่ชี้แจงให้สาธารณชนรับรู้กรณีมีผู้ร้องเรียนว่าน้องสาวของท่านและพรรคพวกเรียกร้องค่าวิ่งเต้นโครงการคาร์ปาร์ค สนามบินสุวรรณภูมิ หรือเพราะไม่กล้าเผชิญข้อเท็จจริงที่ท่านรับรู้มาตลอดแต่ไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในการให้ความเป็นธรรมกับผู้ร้องเรียน ดังนั้นตนจึงขอเรียกร้องให้นายกฯสร้างความจริงให้ชัดเจนและตอบคำถามให้ได้ การที่ท่านนิ่งเฉยแสดงว่าท่านรู้เห็นเป็นใจ
นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า จากการสืบสวนสอบสวนของตนทำให้ได้หลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งคือสัญญาข้อตกลงการจ่ายเงิน 300 ล้านบาท สำหรับค่าวิ่งเต้นประมูลงานก่อสร้างลานจอดรถ(คาร์ปาร์ค)พร้อมสัมปทานอายุ 25 ปีของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีการระบุในหนังสือร้องเรียนของกรรมการผู้จัดการบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทย จำกัด ฉบับลงวันที่ 28 มกราคม 2548 ที่ส่งถึงตู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ของนายกรัฐมนตรี
โดยในสัญญาข้อตกลงฉบับดังกล่าวลงวันที่ 1 สิงหาคม 2546 มีผู้ลงนาม 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายรับเงิน ได้แก่ นายปัญญา และนางณัฐชา กับฝ่ายจ่ายเงิน คือ นายลัทธพล กรรมการผู้จัดการบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยจำกัดลงนามพร้อมประทับตราบริษัทโดยมีนายธนพล 1 ในผู้ถือหุ้นของบริษัทลงนามเป็นพยาน ซึ่งสาระสำคัญของสัญญาข้อตกลงระบุว่าบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยได้มอบหมายให้นายปัญญาและนางณัฐชาทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเพื่อดำเนินการให้ได้งานก่อสร้างอาคารลานจอดรถของสนามบินสุวรรณภูมิ 2 อาคาร โดยให้ค่าตอบแทน ดังต่อไปนี้
1. บริษัทตกลงจะทำชำระค่าตอบแทนมีมูลค่า 300 ล้านบาท หากบริษัทได้เซ็นสัญญาในโครงการดังกล่าว
2. บริษัทจะชำระให้นายปัญญาเป็นค่าดำเนินการเป็นเงิน 5 ล้านบาทภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2546
3. บริษัทจะชำระให้นายปัญญาเป็นค่าดำเนินการเป็นเงิน 20 ล้านบาท ภายในวันที่ 5 กันยายน 2546
4. บริษัทจะชำระให้ในส่วนที่เหลืออีก 275 ล้านบาทในวันที่ลงนามสัญญา
โดยมีชื่อผู้ลงนามในสัญญาฝ่ายรับเงินคือนางณัฐชาและนายปัญญาตรงกับชื่อที่ระบุในหนังสือร้องเรียนของบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยที่ร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรี
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า เอกสารสัญญาข้อตกลงดังกล่าวตนได้รับหลังจากเริ่มสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้จากพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ “ผมแปลกใจมากไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำหนังสือแบบนี้ไว้เป็นหลักฐานแสดงว่าว่ากลุ่มที่ดำเนินการกลุ่มนี้ย่ามใจในอำนาจและความยิ่งใหญ่ที่หนุนหลัง เพราะในชีวิตการทำงานเป็น ส.ส.มา 13 ปีตั้งแต่ปี 2535 ยังไม่เคยเห็นพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ถือเป้นความประมาทของขบวนการดังกล่าวที่ทิ้งร่องรอยเอกสารไว้เป็นหลักฐานที่สำคัญในการกระทำความผิดครั้งนี้” นายอลงกรณ์กล่าว
นอกจากนั้นยังพบปมพิรุธของบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยจำกัดว่ามีความผิดปกติอย่างมาก นั่นคือในรายงานการประชุมตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2546 มีนายลัทธพลเป็นประธานแจ้งต่อที่ประชุมว่า มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายในการตั้งบริษัทเป็นเงิน 10 ล้านบาท และเรียกชำระค่าหุ้นเต็มจำนวนในครั้งแรก 100 ล้านบาท โดยให้มีกรรมการบริษัท 1 คน และกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัท 1 คน คือนายลัทธพล ซึ่งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครได้ออกหนังสือรับรองการจัดตั้งบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยจำกัดวันที่ 18 เม.ย.2546 แต่ที่แปลกมากคือในหนังสือยืนยันการชำระค่าหุ้นของบริษัทที่มีนายลัทธพลในฐานะกรรมการบริษัทมีถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ฉบับลงวันที่ 17 เม.ย. 2546 เพื่อประกอบคำขอจดทะเบียนบริษัทแจ้งว่ามีการชำระหุ้นครบ 100 ล้านบาทแล้ว และเงินจำนวนดังกล่าวเก็บรักษาไว้ในตู้เซฟในสำนักงานบริษัท จึงน่าสงสัยว่าทำไมถึงมีเงินสดเก็บไว้ในเซฟถึง 100 ล้านบาท และในการจัดตั้งบริษัททำไมถึงมีค่าใช้จ่ายแล้วถึง 10 ล้านบาท
นายอลงกรณ์เปิดเผยต่อไปว่า ที่พบพิรุธผิดปกติอีกประการหนึ่งคือ อีกเพียง 1 เดือนต่อมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็มีมติในวันที่ 22 พฤษภาคม 2546 ให้เพิ่มทุนบริษัทเป็น 500 ล้านบาท ซึ่งในหนังสือร้องเรียนระบุว่าเป็นไปตามคำแนะนำของคุณเยาวเรศ และได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว ต่อมาวันที่ 7 มกราคม 2547 นายลัทธพลแจ้งการเปลี่ยนชื่อเป็นนิธินันท์และลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทในวันที่ 19 มกราคม 2547 โดยมีนางสาวสุภาพร วงษ์พาดกลาง อายุ 24 ปี เข้ามาเป็นกรรมการแทนแต่ผู้เดียว โดยแจ้งที่อยู่ของสำนักงานใหม่โดยอยู่แถวเขตจตุจักร และในวันที่ 13 มิ.ย. 2548 ได้มีการแต่งตั้งกรรมการใหม่อีก 2 คน คือนางสาวสิตานัน คุณศิริ อายุ 25 ปี และนางสาวหนึ่งหทัย ก้างออนตา อายุ 21 ปี ซึ่งปรากฏว่ากรรมการใหม่ทั้ง 2 คน มีที่อยู่เดียวกับนางสาวสุภาพร ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยจำกัดอาจจะก่อตั้งขึ้นมาเพื่อหวังจะเข้าประมูลงานอาคารลานจอดรถของสนามบินสุวรรณภูมิตามที่กลุ่มวิ่งเต้นแนะนำ แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจึงเปลี่ยนแปลงกรรมการและที่อยู่ใหม่เพื่อเหตุผลบางประการ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 14 ก.ค. 2548--จบ--
วันนี้ (14 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากที่ตนเปิดเผยเรื่องร้องเรียนจากตู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ของนายกฯกรณีเรียกเงิน 300 ล้านบาทก็รู้สึกสงสัยว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงไม่ชี้แจงให้สาธารณชนรับรู้กรณีมีผู้ร้องเรียนว่าน้องสาวของท่านและพรรคพวกเรียกร้องค่าวิ่งเต้นโครงการคาร์ปาร์ค สนามบินสุวรรณภูมิ หรือเพราะไม่กล้าเผชิญข้อเท็จจริงที่ท่านรับรู้มาตลอดแต่ไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในการให้ความเป็นธรรมกับผู้ร้องเรียน ดังนั้นตนจึงขอเรียกร้องให้นายกฯสร้างความจริงให้ชัดเจนและตอบคำถามให้ได้ การที่ท่านนิ่งเฉยแสดงว่าท่านรู้เห็นเป็นใจ
นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า จากการสืบสวนสอบสวนของตนทำให้ได้หลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งคือสัญญาข้อตกลงการจ่ายเงิน 300 ล้านบาท สำหรับค่าวิ่งเต้นประมูลงานก่อสร้างลานจอดรถ(คาร์ปาร์ค)พร้อมสัมปทานอายุ 25 ปีของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีการระบุในหนังสือร้องเรียนของกรรมการผู้จัดการบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทย จำกัด ฉบับลงวันที่ 28 มกราคม 2548 ที่ส่งถึงตู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ของนายกรัฐมนตรี
โดยในสัญญาข้อตกลงฉบับดังกล่าวลงวันที่ 1 สิงหาคม 2546 มีผู้ลงนาม 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายรับเงิน ได้แก่ นายปัญญา และนางณัฐชา กับฝ่ายจ่ายเงิน คือ นายลัทธพล กรรมการผู้จัดการบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยจำกัดลงนามพร้อมประทับตราบริษัทโดยมีนายธนพล 1 ในผู้ถือหุ้นของบริษัทลงนามเป็นพยาน ซึ่งสาระสำคัญของสัญญาข้อตกลงระบุว่าบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยได้มอบหมายให้นายปัญญาและนางณัฐชาทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเพื่อดำเนินการให้ได้งานก่อสร้างอาคารลานจอดรถของสนามบินสุวรรณภูมิ 2 อาคาร โดยให้ค่าตอบแทน ดังต่อไปนี้
1. บริษัทตกลงจะทำชำระค่าตอบแทนมีมูลค่า 300 ล้านบาท หากบริษัทได้เซ็นสัญญาในโครงการดังกล่าว
2. บริษัทจะชำระให้นายปัญญาเป็นค่าดำเนินการเป็นเงิน 5 ล้านบาทภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2546
3. บริษัทจะชำระให้นายปัญญาเป็นค่าดำเนินการเป็นเงิน 20 ล้านบาท ภายในวันที่ 5 กันยายน 2546
4. บริษัทจะชำระให้ในส่วนที่เหลืออีก 275 ล้านบาทในวันที่ลงนามสัญญา
โดยมีชื่อผู้ลงนามในสัญญาฝ่ายรับเงินคือนางณัฐชาและนายปัญญาตรงกับชื่อที่ระบุในหนังสือร้องเรียนของบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยที่ร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรี
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า เอกสารสัญญาข้อตกลงดังกล่าวตนได้รับหลังจากเริ่มสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้จากพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ “ผมแปลกใจมากไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำหนังสือแบบนี้ไว้เป็นหลักฐานแสดงว่าว่ากลุ่มที่ดำเนินการกลุ่มนี้ย่ามใจในอำนาจและความยิ่งใหญ่ที่หนุนหลัง เพราะในชีวิตการทำงานเป็น ส.ส.มา 13 ปีตั้งแต่ปี 2535 ยังไม่เคยเห็นพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ถือเป้นความประมาทของขบวนการดังกล่าวที่ทิ้งร่องรอยเอกสารไว้เป็นหลักฐานที่สำคัญในการกระทำความผิดครั้งนี้” นายอลงกรณ์กล่าว
นอกจากนั้นยังพบปมพิรุธของบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยจำกัดว่ามีความผิดปกติอย่างมาก นั่นคือในรายงานการประชุมตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2546 มีนายลัทธพลเป็นประธานแจ้งต่อที่ประชุมว่า มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายในการตั้งบริษัทเป็นเงิน 10 ล้านบาท และเรียกชำระค่าหุ้นเต็มจำนวนในครั้งแรก 100 ล้านบาท โดยให้มีกรรมการบริษัท 1 คน และกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัท 1 คน คือนายลัทธพล ซึ่งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครได้ออกหนังสือรับรองการจัดตั้งบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยจำกัดวันที่ 18 เม.ย.2546 แต่ที่แปลกมากคือในหนังสือยืนยันการชำระค่าหุ้นของบริษัทที่มีนายลัทธพลในฐานะกรรมการบริษัทมีถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ฉบับลงวันที่ 17 เม.ย. 2546 เพื่อประกอบคำขอจดทะเบียนบริษัทแจ้งว่ามีการชำระหุ้นครบ 100 ล้านบาทแล้ว และเงินจำนวนดังกล่าวเก็บรักษาไว้ในตู้เซฟในสำนักงานบริษัท จึงน่าสงสัยว่าทำไมถึงมีเงินสดเก็บไว้ในเซฟถึง 100 ล้านบาท และในการจัดตั้งบริษัททำไมถึงมีค่าใช้จ่ายแล้วถึง 10 ล้านบาท
นายอลงกรณ์เปิดเผยต่อไปว่า ที่พบพิรุธผิดปกติอีกประการหนึ่งคือ อีกเพียง 1 เดือนต่อมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็มีมติในวันที่ 22 พฤษภาคม 2546 ให้เพิ่มทุนบริษัทเป็น 500 ล้านบาท ซึ่งในหนังสือร้องเรียนระบุว่าเป็นไปตามคำแนะนำของคุณเยาวเรศ และได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว ต่อมาวันที่ 7 มกราคม 2547 นายลัทธพลแจ้งการเปลี่ยนชื่อเป็นนิธินันท์และลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทในวันที่ 19 มกราคม 2547 โดยมีนางสาวสุภาพร วงษ์พาดกลาง อายุ 24 ปี เข้ามาเป็นกรรมการแทนแต่ผู้เดียว โดยแจ้งที่อยู่ของสำนักงานใหม่โดยอยู่แถวเขตจตุจักร และในวันที่ 13 มิ.ย. 2548 ได้มีการแต่งตั้งกรรมการใหม่อีก 2 คน คือนางสาวสิตานัน คุณศิริ อายุ 25 ปี และนางสาวหนึ่งหทัย ก้างออนตา อายุ 21 ปี ซึ่งปรากฏว่ากรรมการใหม่ทั้ง 2 คน มีที่อยู่เดียวกับนางสาวสุภาพร ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทลัทธ์เฟอร์ไทยจำกัดอาจจะก่อตั้งขึ้นมาเพื่อหวังจะเข้าประมูลงานอาคารลานจอดรถของสนามบินสุวรรณภูมิตามที่กลุ่มวิ่งเต้นแนะนำ แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจึงเปลี่ยนแปลงกรรมการและที่อยู่ใหม่เพื่อเหตุผลบางประการ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 14 ก.ค. 2548--จบ--