ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ผู้ว่าการ ธปท.ระบุมาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39 ช่วยลดปัญหาเอ็นพีแอลของ ธพ.ได้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยถึงการนำมาตรฐานทางบัญชีแบบใหม่ (ไอเอเอส 39) มาใช้ว่า จะช่วยลดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ ธพ.ได้
เนื่องจาก ธพ.ต้องกันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้ 100% หลังหักมูลค่าประกันลบด้วยส่วนลดออกไป ทำให้เอ็นพีแอลกลายเป็นสินเชื่อปกติที่
ธพ.สามารถตัดหนี้เป็นสูญออกจากบัญชีได้ (เดลินิวส์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.49 ปรับตัวลดลงที่ระดับ 95.3 ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค.ว่า ปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 95.3 จากระดับ 96.8 ในเดือน
ก.ย. ผลจากค่าดัชนี 3 ใน 5 ปัจจัยหลักปรับตัวลดลง ได้แก่ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมของยอดคำสั่งซื้อ ยอดขาย และปริมาณการผลิต ปรับตัว
ลดลงจาก 107.1, 106.7 และ 111.9 ในเดือน ก.ย. เป็น 105.2, 104.4 และ 111.1 ในเดือน ต.ค. ตามลำดับ ขณะที่ค่าดัชนี
ความเชื่อมั่นโดยรวมของต้นทุนการประกอบการ และผลการประกอบการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 78.4 และ 108.1 ในเดือน ก.ย. เป็น 97.5
และ 108.6 ในเดือน ต.ค.ตามลำดับ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีทิศทางลดลง ทั้งนี้ ดัชนีมีค่าต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้ประกอบการมี
ความเชื่อมั่นในระดับที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากหลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง และการขนส่งสินค้าทำได้ลำบากมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะวัตถุดิบมีราคาแพง ขาดแคลนแรงงาน ประกอบกับเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งผู้ประกอบการมองว่า
จะเป็นปัญหามากขึ้นในเดือน พ.ย.นี้ โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ดูแล
ราคาวัตถุดิบไม่ให้มีความผันผวนมากเกินไป รวมถึงแก้ปัญหาด้านการลงทุนโดยเร่งสร้างความชัดเจนในนโยบายที่เกี่ยวกับการลงทุน การให้สิทธิ
ประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุน การกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการทำงานเชิงรุกของรัฐบาล (มติชน, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ,
ไทยโพสต์, โพสต์ทูเดย์)
3. สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ยุบเลิก บบส. รายงานข่าวจากรัฐสภาแจ้งว่า จากการประชุมสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยุบเลิกบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) ตามที่
ครม.เสนอ โดยทรัพย์สินที่คงเหลืออยู่ ให้โอนแก่ ก.คลังภายใน 30 วันภายหลังวันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว
มีสาระสำคัญ โดยมีเหตุผลประกอบร่าง พ.ร.บ. ว่า โดยที่ปัจจุบันระบบสถาบันการเงินของประเทศมีหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนหลายแห่ง
ทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพแล้ว เพื่อเป็นการลดภาระของภาครัฐในการจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินและ
ให้สถาบันการเงินมีบทบาทในการบริหารสินทรัพย์โดยระบบปกติ จึงสมควรยุบเลิก บบส. (ข่าวสด)
4. รัฐบาลกำหนดเป้าหมายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วง 10 ปีข้างหน้ามุ่งสู่ความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมชิ้นส่วน
ยานยนต์ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม.และ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เป้าหมายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมุ่งสู่ความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และการมีความรู้ความสามารถในการเข้าใจเครื่องจักรและ
เครื่องยนต์ให้มากขึ้น แทนการตอบสนองเป้าหมายในด้านของการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย หรือมุ่งสู่การเป็นฐาน
สำคัญของการผลิตรถยนต์ของโลก ด้านโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงยอดการผลิตรถยนต์ในรอบ
10 เดือนแรกปีนี้ว่า มียอดผลิตรวมทั้งสิ้น 1.001 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 9.03% โดยเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 433,718 คัน เพิ่มขึ้น 20.58%
และเป็นการผลิตจำหน่ายในประเทศ 567,299 คัน เพิ่มขึ้น 1.46% ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะเดือน ต.ค.พบว่ายอดผลิตเริ่มลดลง โดยมีจำนวน
101,246 คัน ลดลง 3.23% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว สาเหตุหนึ่งเกิดจากปัญหาน้ำท่วมและราคาน้ำมันในประเทศยังมีราคาแพง(โลกวันนี้ 6)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ. ณ สัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดที่จำนวน 12,000 คน รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 22 พ.ย.49 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ. ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่
18 พ.ย.49 เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดจำนวน 12,000 คน อยู่ที่จำนวน 321,000 คน จากจำนวน 309,000 คน ในสัปดาห์ก่อนหน้า และ
มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีจำนวน 310,000 คน แต่จำนวนดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่ตลาดแรงงานควบคุมได้ ซึ่ง ก.แรงงานกล่าวว่าไม่มี
ปัจจัยอะไรเป็นพิเศษที่ส่งผลให้จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานฯ เพิ่มสูงขึ้นในสัปดาห์ล่าสุด ส่วนจำนวนผู้ว่างงานเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเครื่อง
ชี้วัดแนวโน้มการว่างงานได้อย่างดี เพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 317,000 คน จากจำนวน 314,000 คนในสัปดาห์ก่อนหน้า สำหรับจำนวนผู้ที่กลับมาขอ
รับสวัสดิการว่างงานฯ ใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 14,000 คน อยู่ที่จำนวน 2.454 ล้านคนในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 พ.ย.49 (อันเป็นสัปดาห์ล่าสุดที่มี
การเปิดเผยตัวเลข) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่จำนวน 2.43 ล้านคน ทั้งนี้ อัตราการว่างงานในเดือน ต.ค.49 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ
4.4 จากร้อยละ 4.6 เนื่องจากมีการรับสมัครงานใหม่จำนวน 92,000 คน อนึ่ง ตัวเลขการว่างงานในเดือน พ.ย.49 รัฐบาลจะเปิดเผยในวันที่
8 ธ.ค.49 ซึ่งโดยปกติจะต้องเปิดเผยในวันศุกร์แรกของเดือน คือ ในวันที่ 1 ธ.ค.49 แต่เนื่องจากเดือน พ.ย.มีเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า
ซึ่งตรงกับวันที่ 23 พ.ย.49 ทำให้การรายงานตัวเลขล่าช้าออกไป 1 สัปดาห์ (รอยเตอร์)
2. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานใหม่ในเขตเศรษฐกิจยุโรปลดลงร้อยละ 1.3 ในเดือน ก.ย.49 เมื่อเทียบต่อเดือน รายงานจากบรัสเซลส์
เมื่อ 22 พ.ย.49 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานใหม่ใน 12 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุล
หลักหรือ Euro zone ลดลงร้อยละ 1.3 ในเดือน ก.ย.49 เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค.49 ลดลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 2.0
ต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และ 2.0 ในเดือน ส.ค.และ ก.ค.49 ตามลำดับ โดยหากเทียบต่อปีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6
ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 ต่อปี ทั้งนี้หากไม่รวมคำสั่งซื้อเรือ รถไฟและเครื่องบินโดยสารแล้ว คำสั่งซื้อโดยรวมลดลงร้อยละ
2.0 ต่อเดือนและเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.4 ต่อปี แต่อย่างไรก็ดี ตลาดก็ยังคงคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก
ร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 3.5 ต่อปีในเดือน ธ.ค.49 ที่จะถึงนี้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของ
ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยทั้งคณะกรรมาธิการยุโรปและ ECB คาดว่าเศรษฐกิจของ Euro zone จะขยายตัวร้อยละ 2.5 — 2.6
ในปี 49 นักวิเคราะห์บางคนยังคาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเป็นร้อยละ 3.75 ต่อปีในต้นปี 50 แล้วคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ต่อไป
เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะชะลอตัวลงจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การใช้นโยบายการคลังที่เข้มงวดขึ้นของหลายประเทศใน
Euro zone เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและค่าเงินยูโรที่สูงขึ้น (รอยเตอร์)
3. คาดญี่ปุ่นจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 50 รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 22 พ.ย.49 สำนักข่าว
รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า แม้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอาจจะชะลอตัวลงในปีหน้า เนื่อง
จากความต้องการสินค้าจากต่างประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัวลง แต่ปัจจัยดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของ
ธ.กลางญี่ปุ่นที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปีหน้า โดยคาดว่าจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ในเดือน
มี.ค.50 ในขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะเติบโตร้อยละ 2.1 ในปี งปม. 50/51 ต่ำกว่าปี งปม. 49/50 ที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.5
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้จัดทำขึ้นหลังจากที่ทางการเปิดเผยตัวเลขว่าเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.5 เทียบต่อปีในช่วงไตรมาส 3
ที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากความต้องการสินค้าใน
ต่างประเทศ แต่คาดว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวต่อเนื่องด้วยปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าภายในประเทศ ในขณะที่การชะลอตัวของ
เศรษฐกิจ สรอ. และการลงทุนในสินค้าทุนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นด้วย ซึ่งคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครี่งแรกของปี
งปม. 50/51 จะชะลอตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจของหลายประเทศชะลอตัว (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางเกาหลีใต้เตรียมปรับเพิ่มอัตราส่วนเงินสำรองเงินฝากระยะสั้นเพื่อลดสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงิน รายงาน
จากโซล เมื่อ 23 พ.ย.49 ธ.กลางเกาหลีใต้วางแผนที่จะปรับเพิ่มอัตราส่วนเงินสำรองเงินฝากระยะสั้นที่มีระยะเวลาการฝากต่ำกว่า
1 ปีจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ในขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะลดอัตราส่วนเงินสำรองเงินฝากระยะยาวที่มีระยะเวลาการฝากนานกว่า 1 ปี
เป็นร้อยละ 0 จากร้อยละ 1 — 2 ในปัจจุบัน ทั้งนี้มาตรการข้างต้นมุ่งที่จะลดสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินซึ่งทั้งรัฐบาลและ ธ.กลาง
เกาหลีใต้อ้างว่ามีส่วนทำให้ราคาบ้านในเขตตัวเมืองสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 พ.ย. 49 22 พ.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อม
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.591 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 36.3934/36.6954 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 729.43/18.41 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,800/10,900 10,700/10,800 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 56.03 56.87 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 พ.ย. 49 25.69*/23.84 25.69*/23.84 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ผู้ว่าการ ธปท.ระบุมาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39 ช่วยลดปัญหาเอ็นพีแอลของ ธพ.ได้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยถึงการนำมาตรฐานทางบัญชีแบบใหม่ (ไอเอเอส 39) มาใช้ว่า จะช่วยลดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ ธพ.ได้
เนื่องจาก ธพ.ต้องกันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้ 100% หลังหักมูลค่าประกันลบด้วยส่วนลดออกไป ทำให้เอ็นพีแอลกลายเป็นสินเชื่อปกติที่
ธพ.สามารถตัดหนี้เป็นสูญออกจากบัญชีได้ (เดลินิวส์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.49 ปรับตัวลดลงที่ระดับ 95.3 ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค.ว่า ปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 95.3 จากระดับ 96.8 ในเดือน
ก.ย. ผลจากค่าดัชนี 3 ใน 5 ปัจจัยหลักปรับตัวลดลง ได้แก่ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมของยอดคำสั่งซื้อ ยอดขาย และปริมาณการผลิต ปรับตัว
ลดลงจาก 107.1, 106.7 และ 111.9 ในเดือน ก.ย. เป็น 105.2, 104.4 และ 111.1 ในเดือน ต.ค. ตามลำดับ ขณะที่ค่าดัชนี
ความเชื่อมั่นโดยรวมของต้นทุนการประกอบการ และผลการประกอบการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 78.4 และ 108.1 ในเดือน ก.ย. เป็น 97.5
และ 108.6 ในเดือน ต.ค.ตามลำดับ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีทิศทางลดลง ทั้งนี้ ดัชนีมีค่าต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้ประกอบการมี
ความเชื่อมั่นในระดับที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากหลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง และการขนส่งสินค้าทำได้ลำบากมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะวัตถุดิบมีราคาแพง ขาดแคลนแรงงาน ประกอบกับเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งผู้ประกอบการมองว่า
จะเป็นปัญหามากขึ้นในเดือน พ.ย.นี้ โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ดูแล
ราคาวัตถุดิบไม่ให้มีความผันผวนมากเกินไป รวมถึงแก้ปัญหาด้านการลงทุนโดยเร่งสร้างความชัดเจนในนโยบายที่เกี่ยวกับการลงทุน การให้สิทธิ
ประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุน การกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการทำงานเชิงรุกของรัฐบาล (มติชน, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ,
ไทยโพสต์, โพสต์ทูเดย์)
3. สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ยุบเลิก บบส. รายงานข่าวจากรัฐสภาแจ้งว่า จากการประชุมสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยุบเลิกบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) ตามที่
ครม.เสนอ โดยทรัพย์สินที่คงเหลืออยู่ ให้โอนแก่ ก.คลังภายใน 30 วันภายหลังวันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว
มีสาระสำคัญ โดยมีเหตุผลประกอบร่าง พ.ร.บ. ว่า โดยที่ปัจจุบันระบบสถาบันการเงินของประเทศมีหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนหลายแห่ง
ทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพแล้ว เพื่อเป็นการลดภาระของภาครัฐในการจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินและ
ให้สถาบันการเงินมีบทบาทในการบริหารสินทรัพย์โดยระบบปกติ จึงสมควรยุบเลิก บบส. (ข่าวสด)
4. รัฐบาลกำหนดเป้าหมายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วง 10 ปีข้างหน้ามุ่งสู่ความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมชิ้นส่วน
ยานยนต์ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม.และ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เป้าหมายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมุ่งสู่ความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และการมีความรู้ความสามารถในการเข้าใจเครื่องจักรและ
เครื่องยนต์ให้มากขึ้น แทนการตอบสนองเป้าหมายในด้านของการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย หรือมุ่งสู่การเป็นฐาน
สำคัญของการผลิตรถยนต์ของโลก ด้านโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงยอดการผลิตรถยนต์ในรอบ
10 เดือนแรกปีนี้ว่า มียอดผลิตรวมทั้งสิ้น 1.001 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 9.03% โดยเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 433,718 คัน เพิ่มขึ้น 20.58%
และเป็นการผลิตจำหน่ายในประเทศ 567,299 คัน เพิ่มขึ้น 1.46% ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะเดือน ต.ค.พบว่ายอดผลิตเริ่มลดลง โดยมีจำนวน
101,246 คัน ลดลง 3.23% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว สาเหตุหนึ่งเกิดจากปัญหาน้ำท่วมและราคาน้ำมันในประเทศยังมีราคาแพง(โลกวันนี้ 6)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ. ณ สัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดที่จำนวน 12,000 คน รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 22 พ.ย.49 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ. ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่
18 พ.ย.49 เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดจำนวน 12,000 คน อยู่ที่จำนวน 321,000 คน จากจำนวน 309,000 คน ในสัปดาห์ก่อนหน้า และ
มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีจำนวน 310,000 คน แต่จำนวนดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่ตลาดแรงงานควบคุมได้ ซึ่ง ก.แรงงานกล่าวว่าไม่มี
ปัจจัยอะไรเป็นพิเศษที่ส่งผลให้จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานฯ เพิ่มสูงขึ้นในสัปดาห์ล่าสุด ส่วนจำนวนผู้ว่างงานเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเครื่อง
ชี้วัดแนวโน้มการว่างงานได้อย่างดี เพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 317,000 คน จากจำนวน 314,000 คนในสัปดาห์ก่อนหน้า สำหรับจำนวนผู้ที่กลับมาขอ
รับสวัสดิการว่างงานฯ ใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 14,000 คน อยู่ที่จำนวน 2.454 ล้านคนในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 พ.ย.49 (อันเป็นสัปดาห์ล่าสุดที่มี
การเปิดเผยตัวเลข) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่จำนวน 2.43 ล้านคน ทั้งนี้ อัตราการว่างงานในเดือน ต.ค.49 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ
4.4 จากร้อยละ 4.6 เนื่องจากมีการรับสมัครงานใหม่จำนวน 92,000 คน อนึ่ง ตัวเลขการว่างงานในเดือน พ.ย.49 รัฐบาลจะเปิดเผยในวันที่
8 ธ.ค.49 ซึ่งโดยปกติจะต้องเปิดเผยในวันศุกร์แรกของเดือน คือ ในวันที่ 1 ธ.ค.49 แต่เนื่องจากเดือน พ.ย.มีเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า
ซึ่งตรงกับวันที่ 23 พ.ย.49 ทำให้การรายงานตัวเลขล่าช้าออกไป 1 สัปดาห์ (รอยเตอร์)
2. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานใหม่ในเขตเศรษฐกิจยุโรปลดลงร้อยละ 1.3 ในเดือน ก.ย.49 เมื่อเทียบต่อเดือน รายงานจากบรัสเซลส์
เมื่อ 22 พ.ย.49 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานใหม่ใน 12 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุล
หลักหรือ Euro zone ลดลงร้อยละ 1.3 ในเดือน ก.ย.49 เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค.49 ลดลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 2.0
ต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และ 2.0 ในเดือน ส.ค.และ ก.ค.49 ตามลำดับ โดยหากเทียบต่อปีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6
ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 ต่อปี ทั้งนี้หากไม่รวมคำสั่งซื้อเรือ รถไฟและเครื่องบินโดยสารแล้ว คำสั่งซื้อโดยรวมลดลงร้อยละ
2.0 ต่อเดือนและเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.4 ต่อปี แต่อย่างไรก็ดี ตลาดก็ยังคงคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก
ร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 3.5 ต่อปีในเดือน ธ.ค.49 ที่จะถึงนี้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของ
ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยทั้งคณะกรรมาธิการยุโรปและ ECB คาดว่าเศรษฐกิจของ Euro zone จะขยายตัวร้อยละ 2.5 — 2.6
ในปี 49 นักวิเคราะห์บางคนยังคาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเป็นร้อยละ 3.75 ต่อปีในต้นปี 50 แล้วคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ต่อไป
เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะชะลอตัวลงจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การใช้นโยบายการคลังที่เข้มงวดขึ้นของหลายประเทศใน
Euro zone เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและค่าเงินยูโรที่สูงขึ้น (รอยเตอร์)
3. คาดญี่ปุ่นจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 50 รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 22 พ.ย.49 สำนักข่าว
รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า แม้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอาจจะชะลอตัวลงในปีหน้า เนื่อง
จากความต้องการสินค้าจากต่างประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัวลง แต่ปัจจัยดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของ
ธ.กลางญี่ปุ่นที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปีหน้า โดยคาดว่าจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ในเดือน
มี.ค.50 ในขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะเติบโตร้อยละ 2.1 ในปี งปม. 50/51 ต่ำกว่าปี งปม. 49/50 ที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.5
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้จัดทำขึ้นหลังจากที่ทางการเปิดเผยตัวเลขว่าเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.5 เทียบต่อปีในช่วงไตรมาส 3
ที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากความต้องการสินค้าใน
ต่างประเทศ แต่คาดว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวต่อเนื่องด้วยปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าภายในประเทศ ในขณะที่การชะลอตัวของ
เศรษฐกิจ สรอ. และการลงทุนในสินค้าทุนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นด้วย ซึ่งคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครี่งแรกของปี
งปม. 50/51 จะชะลอตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจของหลายประเทศชะลอตัว (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางเกาหลีใต้เตรียมปรับเพิ่มอัตราส่วนเงินสำรองเงินฝากระยะสั้นเพื่อลดสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงิน รายงาน
จากโซล เมื่อ 23 พ.ย.49 ธ.กลางเกาหลีใต้วางแผนที่จะปรับเพิ่มอัตราส่วนเงินสำรองเงินฝากระยะสั้นที่มีระยะเวลาการฝากต่ำกว่า
1 ปีจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ในขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะลดอัตราส่วนเงินสำรองเงินฝากระยะยาวที่มีระยะเวลาการฝากนานกว่า 1 ปี
เป็นร้อยละ 0 จากร้อยละ 1 — 2 ในปัจจุบัน ทั้งนี้มาตรการข้างต้นมุ่งที่จะลดสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินซึ่งทั้งรัฐบาลและ ธ.กลาง
เกาหลีใต้อ้างว่ามีส่วนทำให้ราคาบ้านในเขตตัวเมืองสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 พ.ย. 49 22 พ.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อม
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.591 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 36.3934/36.6954 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 729.43/18.41 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,800/10,900 10,700/10,800 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 56.03 56.87 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 พ.ย. 49 25.69*/23.84 25.69*/23.84 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--