ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ให้วงเงินเอกชนนำไปลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศปีนี้ 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยถึงวงเงินที่เปิดให้ภาคเอกชนของไทยสามารถนำไปลงทุนในกอง
ทุนรวมต่างประเทศในปี 49 ว่า ยังคงมีจำนวนรวมอยู่ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณ 104,000 ล้านบาท
เท่ากับวงเงินของปี 48 ทั้งนี้ หากภาคเอกชนหรือกองทุนต่าง ๆ ต้องการนำเงินออกนอกประเทศเพื่อลงทุนภายใต้วงเงิน
นี้ก็สามารถที่จะขอไปทาง ก.ล.ต. ได้โดยไม่ต้องขอมาทาง ธปท. อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมานั้นแม้ว่าจะมีเอกชน
จำนวนหนึ่งที่ขออนุญาตมายัง ธปท. เพื่อขอวงเงินในการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ แต่เมื่อสิ้นสุดปีมีเอกชน
นำเงินออกไปลงทุนจริงประมาณ 400-600 ล้านดอลลาร์ สรอ. เท่านั้น ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ากองทุนบำเหน็จบำนาญ
ข้าราชการ (กบข.) จะขออนุญาตนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 400 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากปีที่ผ่านมา
ที่นำเงินออกไปลงทุน 200 ล้านดอลลาร์ สรอ. นั้น เป็นเรื่องที่ กบข. สามารถที่จะทำได้โดยไม่ต้องยื่นเรื่องขออนุญาต
มายัง ธปท. แต่ขอไปยัง กลต. ได้เลย ภายใต้วงเงินที่จัดไว้ให้ สำหรับเอกชนรายอื่นคงจะพิจารณาความเหมาะสม
ของตัวเอง โดยสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่ส่งผลต่อการลงทุนมากนัก ทั้งนักลงทุนของไทยและนักลงทุนต่างชาติ แต่การ
ไปลงทุนในต่างประเทศกับการลงทุนในประเทศเป็นคนละเรื่องและคนละเหตุผลกัน นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในประเทศ
เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้มีทางเลือกในการลงทุนในประเทศมากขึ้น (ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. พร้อมสนับสนุนข้อมูลดำเนินคดี นายราเกซ สักเสนา นายอรรคบุษย์ ไกรฤกษ์ ผอ.อาวุโส
ฝ่ายคดี ธปท. กล่าวถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ของประเทศแคนาดาตัดสินใจให้ส่งตัว นายราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหายักยอก
ทรัพย์บีบีซีกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า หากนายราเกซไม่สามารถยื่นฎีกาได้น่าจะมีการส่งตัวกลับมาประเทศไทย
ภายใน 1 ปี เพื่อมาดำเนินคดี โดยคดีนี้มีอายุความ 15 ปี นับตั้งแต่การกระทำความผิดประมาณปี 2539 ซึ่ง ธปท.
พร้อมที่จะสนับสนุนข้อมูลในการดำเนินคดีเมื่อกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ด้าน นายวีระชาติ ศรีบุญมา ผอ.ฝ่ายคดี
ธปท. กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ข้อสรุปกรณีคดีนายราเกซ ว่าศาลของประเทศแคนาดาจะยอมให้ยื่นฎีกาหรือ
ไม่ ซึ่งหากพิจารณาจากกฎหมายของประเทศไทยแล้ว ในกรณีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหากศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้วจะไม่รับ
ฎีกาอีก ซึ่งหากศาลแคนาดาไม่รับฎีกาจริง สนง.อัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางตามกฎหมายกับตำรวจจะ
ต้องหารือกันว่าจะรับตัวนายราเกซมาไทยอย่างไร โดยหลังจากที่กลับมาประเทศไทยแล้วจะอยู่ในความรับผิดชอบของ
อัยการคดีเศรษฐกิจ ส่วนกรณีอายุความที่ใกล้จะถึงครบกำหนดในเวลาอีกประมาณ 5 ปีนั้น ในกรณีที่ศาลของแคนาดา
รับฎีกาก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ในการพิจารณา ซึ่งในการดำเนินคดีนั้นหากสามารถนำตัวนายราเกซกลับเข้ามา
เพื่อเข้าสู่กระบวนการของศาลได้แล้ว แม้ว่าจะยังดำเนินคดีหรือสอบสวนไม่เสร็จภายในเวลาที่คดีหมดอายุความก็ไม่มี
ปัญหาในการลงโทษ (กรุงเทพธุรกิจ)
3. ธ.พาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ นายสุภัค ศิวะรักษ์ กก.ผจก.ใหญ่ ธ.ทหารไทย
เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0.25-0.50 มีผลทันทีในวันที่ 6 มี.ค.49 เพราะประเมิน
ว่าดอกเบี้ยโดยรวมจะยังขึ้นอีก ขณะที่ ธ.กรุงศรีอยุธยา แจ้งว่าได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอีกร้อยละ
0.25 มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.49 ด้าน ธ.นครหลวงไทยได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอีกร้อยละ 0.25 มีผล
ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.49 ส่วน ธ.ซิตี้แบงก์ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำเช่นกัน สำหรับ ธ.กรุงไทยยังไม่ปรับขึ้น
ดอกเบี้ยแต่จะรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 8 มี.ค.นี้ก่อน ขณะที่ นายชาติศิริ โสภณพนิช
กก.ผจก.ใหญ่ ธ.กรุงเทพ เปิดเผยว่า ธนาคารยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก แต่จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งให้
สอดคล้องกับภาวะตลาด (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. สศช. ลดเป้าจีดีพีปีนี้เหลือร้อยละ 4.5 สนง.คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) แถลงว่า จีดีพีของไทยในไตรมาส 4 ปี 48 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.7 ลดลงจากไตรมาส 3 ที่ขยาย
ตัวร้อยละ 5.4 เป็นผลจากปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 48 ขยายตัวร้อย
ละ 4.5 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.7 ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 49 สศช. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐ
กิจจากร้อยละ 4.7—5.7 เป็นร้อยละ 4.5-5.5 เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อัตรา
เงินเฟ้อตลอดปี 49 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 3.5-4.5 และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์
สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 2.4 ของจีดีพี ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากการ
ท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ตามเป้า 13.8 ล้านคน ทั้งนี้ สิ่งที่ สศช. ห่วงคือการ
ขาดดุลการค้าในปีนี้ เพราะเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาไทยขาดดุลการค้าไปแล้ว 442 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการตัด
สินใจของภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศต่อสถานการณ์เมืองไทย สศช. ประมาณการว่าน่าจะมีผลกระทบต่อความ
เชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนระยะสั้นบ้าง และจะคลี่คลายได้ไม่น่าจะเกินกลางปี 49 (มติชน, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของ สรอ.ในเดือน ม.ค.49 ลดลงในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.43 รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 6 มี.ค.49 คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของ สรอ.ในเดือน ม.ค.49 ลดลงร้อยละ 4.5 จากเดือนก่อน
หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ในเดือน ธ.ค.48 แม้ว่าจะลดลงน้อยกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 5.3
แต่ก็นับเป็นการลดลงในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.43 ทั้งนี้เป็นผลจากคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เครื่องจักร คอมพิวเตอร์
และเครื่องบินโดยสารลดลง โดยคำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่มีอายุใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปลดลงร้อยละ 9.9 ลดลงในอัตรา
สูงสุดนับตั้งแต่ลดลงร้อยละ 14.2 ในเดือน ก.ค.43 เช่นเดียวกับคำสั่งซื้อเครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ที่ลดลงร้อย
ละ 2.4 และร้อยละ 13.7 ตามลำดับ ในขณะที่คำสั่งซื้อเครื่องบินโดยสารและชิ้นส่วนลดลงร้อยละ 68.3 โดยคำสั่ง
ซื้อเครื่องบินโดยสารโบอิ้งซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินโดยสารใหญ่ที่สุดของ สรอ.ลดลงเหลือ 39 ลำในเดือน
ม.ค.49 ลดลงจาก 204 ลำในเดือน ธ.ค.48 (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ในปีนี้ยังคงขยายตัวดีกว่าปีก่อนแม้ว่า
ธ.กลางยุโรปจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 2 มี.ค.49 ที่ผ่านมา รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 6 มี.ค.49 รมต.คลัง
ของออสเตรียเชื่อว่าเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ซึ่งประกอบประเทศสมาชิก 12 ประเทศที่
ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักจะขยายตัวระหว่างร้อยละ 1.9 ถึง 2.1 ในปีนี้หลังจากขยายตัวร้อยละ 1.3 ในปีก่อน
ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำหลายแห่งและรวมถึง ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ
นี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro zone ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากสัญญาณที่แสดง
ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การลงทุนและการส่งออกของประเทศใน Euro zone มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นจากการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.5 ต่อปีของ
ECB เมื่อวันที่ 2 มี.ค.49 ที่ผ่านมาก็ตาม ทั้งนี้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันและการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ของสินเชื่อ (รอยเตอร์)
3. ทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ณ สิ้นเดือน ก.พ.49 ลดลงอยู่ที่จำนวน 850.058 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ. รายงานจากโตเกียว เมื่อ 7 มี.ค.49 ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ซึ่งเป็น
ประเทศที่มีทุนสำรองฯ มากที่สุดในโลก) ณ สิ้นเดือน ก.พ.49 อยู่ที่ระดับ 850.058 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ลดลงเล็กน้อย
จากสิ้นเดือน ม.ค.49 ที่อยู่ในระดับสูงสุด ทั้งนี้ ทุนสำรองฯ ของประเทศญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงมาโดยตลอดตั้งแต่เดือน มี.ค.47
โดยล่าสุดทางการญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงในการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.เพื่อยับยั้งการแข็งค่าของเงินเยน และป้องกันภาวะ
การส่งออกที่ชะลอตัวอันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ในทางตรงกันข้าม ทุนสำรองฯ ของจีนกลับ
ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการต่อสู้กับความกดดันจากค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นภายใต้ระบบการบริหารค่าเงินแบบ
จัดการ ทั้งนี้ การที่ทางการจีนเข้าแทรกแซงในตลาดเงินอย่างแข็งแกร่งเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินหยวนส่งผลให้ทุน
สำรองฯ ของจีน ณ สิ้นปี 48 ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 818.9 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่า
ทุนสำรองฯ ของจีนจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นในเร็ว ๆ นี้ และบางคนเห็นว่าทุนสำรองฯ ของจีนอาจสะสม
จนขยายตัวสูงถึงระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ในสิ้นปี 49 อนึ่ง ทุนสำรองฯ ของญี่ปุ่นลดลงจากที่เคยอยู่ในระดับสูงสุด
ที่จำนวน 851.666 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เมื่อสิ้นเดือน ม.ค.49 เนื่องจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล สรอ.ในเดือน
ก.พ.49 เพิ่มขึ้น ทำให้มูลค่าของพันธบัตร สรอ.ที่ญี่ปุ่นถือครองอยู่ลดลง นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินยูโรก็ส่งผลให้ทุน
สำรองฯ ญี่ปุ่นลดลงด้วย (รอยเตอร์)
4. กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (OPEC) จำเป็นต้องคงปริมาณการผลิตน้ำมันต่อไปรายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 49 นาย Claude Mandil ผู้อำนวยการฐานการผลิตน้ำมันนานาชาติที่ปารีสกล่าวว่า
ภายหลังการพบปะกันของกลุ่ม OPEC ในกรุงเวียนนาในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาระดับการผลิตน้ำมันว่าควรจะเปลี่ยนแปลง
จากเดิมหรือไม่ ซึ่งคาดว่ากลุ่ม OPEC จะยังคงปริมาณการผลิตเดิมต่อไปอีก ทั้งนี้ สมาชิก 11 ประเทศของกลุ่ม OPEC
ผลิตน้ำมันใกล้ถึงระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี ขณะที่ราคาน้ำมันของ สรอ สูงกว่าบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งผู้
สังเกตการณ์ในตลาดน้ำมันส่วนใหญ่ต่างคาดว่าหลังจากการประชุมสัปดาห์นี้ กลุ่ม OPEC จะคงปริมาณการผลิตน้ำมันต่อไป
ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าบางประเทศของกลุ่ม OPEC จะวิตกว่า สต็อกน้ำมันดิบของโลกในไตรมาสที่ 2 จะเพิ่มขึ้นส่งผลให้
ราคาน้ำมันตกต่ำ อย่างไรก็ตามปริมาณความต้องการน้ำมันในไตรมาสที่ 2 จะไม่ลดลง และจำเป็นที่จะต้องเพิ่มสต็อกน้ำมัน
ที่ขาดหายไปซึ่ง Mandil ชี้ว่า ไนจีเรีย ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกกลุ่ม OPECที่ส่งออกน้ำมันใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ได้ลด
ปริมาณการผลิตน้ำมันลงมากกว่า 10.5 ล้านบาร์เรลนับตั้งแต่ต้นปีนี้ เนื่องจากปัญหาความไม่สงบในประเทศ .รวมทั้ง
ปริมาณการผลิตน้ำมันของอิหร่านที่ลดลงเนื่องจากปัญหาการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 มี.ค. 49 6 มี.ค. 49 31 ม.ค. 48 แหล่ง
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.806 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.6030/38.8919 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.42422 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 750.81/ 9.51 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,200/10,300 10,300/10,400 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 56.49 57.8 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 30 สตางค์ เมื่อ 4 มี.ค. 49 26.74*/25.09** 26.74*/25.09** 19.69/14.59 ปตท.
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 4 มี.ค. 49
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ให้วงเงินเอกชนนำไปลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศปีนี้ 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยถึงวงเงินที่เปิดให้ภาคเอกชนของไทยสามารถนำไปลงทุนในกอง
ทุนรวมต่างประเทศในปี 49 ว่า ยังคงมีจำนวนรวมอยู่ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณ 104,000 ล้านบาท
เท่ากับวงเงินของปี 48 ทั้งนี้ หากภาคเอกชนหรือกองทุนต่าง ๆ ต้องการนำเงินออกนอกประเทศเพื่อลงทุนภายใต้วงเงิน
นี้ก็สามารถที่จะขอไปทาง ก.ล.ต. ได้โดยไม่ต้องขอมาทาง ธปท. อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมานั้นแม้ว่าจะมีเอกชน
จำนวนหนึ่งที่ขออนุญาตมายัง ธปท. เพื่อขอวงเงินในการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ แต่เมื่อสิ้นสุดปีมีเอกชน
นำเงินออกไปลงทุนจริงประมาณ 400-600 ล้านดอลลาร์ สรอ. เท่านั้น ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ากองทุนบำเหน็จบำนาญ
ข้าราชการ (กบข.) จะขออนุญาตนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 400 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากปีที่ผ่านมา
ที่นำเงินออกไปลงทุน 200 ล้านดอลลาร์ สรอ. นั้น เป็นเรื่องที่ กบข. สามารถที่จะทำได้โดยไม่ต้องยื่นเรื่องขออนุญาต
มายัง ธปท. แต่ขอไปยัง กลต. ได้เลย ภายใต้วงเงินที่จัดไว้ให้ สำหรับเอกชนรายอื่นคงจะพิจารณาความเหมาะสม
ของตัวเอง โดยสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่ส่งผลต่อการลงทุนมากนัก ทั้งนักลงทุนของไทยและนักลงทุนต่างชาติ แต่การ
ไปลงทุนในต่างประเทศกับการลงทุนในประเทศเป็นคนละเรื่องและคนละเหตุผลกัน นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในประเทศ
เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้มีทางเลือกในการลงทุนในประเทศมากขึ้น (ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. พร้อมสนับสนุนข้อมูลดำเนินคดี นายราเกซ สักเสนา นายอรรคบุษย์ ไกรฤกษ์ ผอ.อาวุโส
ฝ่ายคดี ธปท. กล่าวถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ของประเทศแคนาดาตัดสินใจให้ส่งตัว นายราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหายักยอก
ทรัพย์บีบีซีกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า หากนายราเกซไม่สามารถยื่นฎีกาได้น่าจะมีการส่งตัวกลับมาประเทศไทย
ภายใน 1 ปี เพื่อมาดำเนินคดี โดยคดีนี้มีอายุความ 15 ปี นับตั้งแต่การกระทำความผิดประมาณปี 2539 ซึ่ง ธปท.
พร้อมที่จะสนับสนุนข้อมูลในการดำเนินคดีเมื่อกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ด้าน นายวีระชาติ ศรีบุญมา ผอ.ฝ่ายคดี
ธปท. กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ข้อสรุปกรณีคดีนายราเกซ ว่าศาลของประเทศแคนาดาจะยอมให้ยื่นฎีกาหรือ
ไม่ ซึ่งหากพิจารณาจากกฎหมายของประเทศไทยแล้ว ในกรณีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหากศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้วจะไม่รับ
ฎีกาอีก ซึ่งหากศาลแคนาดาไม่รับฎีกาจริง สนง.อัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางตามกฎหมายกับตำรวจจะ
ต้องหารือกันว่าจะรับตัวนายราเกซมาไทยอย่างไร โดยหลังจากที่กลับมาประเทศไทยแล้วจะอยู่ในความรับผิดชอบของ
อัยการคดีเศรษฐกิจ ส่วนกรณีอายุความที่ใกล้จะถึงครบกำหนดในเวลาอีกประมาณ 5 ปีนั้น ในกรณีที่ศาลของแคนาดา
รับฎีกาก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ในการพิจารณา ซึ่งในการดำเนินคดีนั้นหากสามารถนำตัวนายราเกซกลับเข้ามา
เพื่อเข้าสู่กระบวนการของศาลได้แล้ว แม้ว่าจะยังดำเนินคดีหรือสอบสวนไม่เสร็จภายในเวลาที่คดีหมดอายุความก็ไม่มี
ปัญหาในการลงโทษ (กรุงเทพธุรกิจ)
3. ธ.พาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ นายสุภัค ศิวะรักษ์ กก.ผจก.ใหญ่ ธ.ทหารไทย
เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0.25-0.50 มีผลทันทีในวันที่ 6 มี.ค.49 เพราะประเมิน
ว่าดอกเบี้ยโดยรวมจะยังขึ้นอีก ขณะที่ ธ.กรุงศรีอยุธยา แจ้งว่าได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอีกร้อยละ
0.25 มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.49 ด้าน ธ.นครหลวงไทยได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอีกร้อยละ 0.25 มีผล
ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.49 ส่วน ธ.ซิตี้แบงก์ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำเช่นกัน สำหรับ ธ.กรุงไทยยังไม่ปรับขึ้น
ดอกเบี้ยแต่จะรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 8 มี.ค.นี้ก่อน ขณะที่ นายชาติศิริ โสภณพนิช
กก.ผจก.ใหญ่ ธ.กรุงเทพ เปิดเผยว่า ธนาคารยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก แต่จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งให้
สอดคล้องกับภาวะตลาด (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. สศช. ลดเป้าจีดีพีปีนี้เหลือร้อยละ 4.5 สนง.คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) แถลงว่า จีดีพีของไทยในไตรมาส 4 ปี 48 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.7 ลดลงจากไตรมาส 3 ที่ขยาย
ตัวร้อยละ 5.4 เป็นผลจากปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 48 ขยายตัวร้อย
ละ 4.5 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.7 ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 49 สศช. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐ
กิจจากร้อยละ 4.7—5.7 เป็นร้อยละ 4.5-5.5 เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อัตรา
เงินเฟ้อตลอดปี 49 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 3.5-4.5 และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์
สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 2.4 ของจีดีพี ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากการ
ท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ตามเป้า 13.8 ล้านคน ทั้งนี้ สิ่งที่ สศช. ห่วงคือการ
ขาดดุลการค้าในปีนี้ เพราะเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาไทยขาดดุลการค้าไปแล้ว 442 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการตัด
สินใจของภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศต่อสถานการณ์เมืองไทย สศช. ประมาณการว่าน่าจะมีผลกระทบต่อความ
เชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนระยะสั้นบ้าง และจะคลี่คลายได้ไม่น่าจะเกินกลางปี 49 (มติชน, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของ สรอ.ในเดือน ม.ค.49 ลดลงในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.43 รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 6 มี.ค.49 คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของ สรอ.ในเดือน ม.ค.49 ลดลงร้อยละ 4.5 จากเดือนก่อน
หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ในเดือน ธ.ค.48 แม้ว่าจะลดลงน้อยกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 5.3
แต่ก็นับเป็นการลดลงในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.43 ทั้งนี้เป็นผลจากคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เครื่องจักร คอมพิวเตอร์
และเครื่องบินโดยสารลดลง โดยคำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่มีอายุใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปลดลงร้อยละ 9.9 ลดลงในอัตรา
สูงสุดนับตั้งแต่ลดลงร้อยละ 14.2 ในเดือน ก.ค.43 เช่นเดียวกับคำสั่งซื้อเครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ที่ลดลงร้อย
ละ 2.4 และร้อยละ 13.7 ตามลำดับ ในขณะที่คำสั่งซื้อเครื่องบินโดยสารและชิ้นส่วนลดลงร้อยละ 68.3 โดยคำสั่ง
ซื้อเครื่องบินโดยสารโบอิ้งซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินโดยสารใหญ่ที่สุดของ สรอ.ลดลงเหลือ 39 ลำในเดือน
ม.ค.49 ลดลงจาก 204 ลำในเดือน ธ.ค.48 (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ในปีนี้ยังคงขยายตัวดีกว่าปีก่อนแม้ว่า
ธ.กลางยุโรปจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 2 มี.ค.49 ที่ผ่านมา รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 6 มี.ค.49 รมต.คลัง
ของออสเตรียเชื่อว่าเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ซึ่งประกอบประเทศสมาชิก 12 ประเทศที่
ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักจะขยายตัวระหว่างร้อยละ 1.9 ถึง 2.1 ในปีนี้หลังจากขยายตัวร้อยละ 1.3 ในปีก่อน
ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำหลายแห่งและรวมถึง ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ
นี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro zone ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากสัญญาณที่แสดง
ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การลงทุนและการส่งออกของประเทศใน Euro zone มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นจากการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.5 ต่อปีของ
ECB เมื่อวันที่ 2 มี.ค.49 ที่ผ่านมาก็ตาม ทั้งนี้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันและการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ของสินเชื่อ (รอยเตอร์)
3. ทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ณ สิ้นเดือน ก.พ.49 ลดลงอยู่ที่จำนวน 850.058 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ. รายงานจากโตเกียว เมื่อ 7 มี.ค.49 ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ซึ่งเป็น
ประเทศที่มีทุนสำรองฯ มากที่สุดในโลก) ณ สิ้นเดือน ก.พ.49 อยู่ที่ระดับ 850.058 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ลดลงเล็กน้อย
จากสิ้นเดือน ม.ค.49 ที่อยู่ในระดับสูงสุด ทั้งนี้ ทุนสำรองฯ ของประเทศญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงมาโดยตลอดตั้งแต่เดือน มี.ค.47
โดยล่าสุดทางการญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงในการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.เพื่อยับยั้งการแข็งค่าของเงินเยน และป้องกันภาวะ
การส่งออกที่ชะลอตัวอันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ในทางตรงกันข้าม ทุนสำรองฯ ของจีนกลับ
ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการต่อสู้กับความกดดันจากค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นภายใต้ระบบการบริหารค่าเงินแบบ
จัดการ ทั้งนี้ การที่ทางการจีนเข้าแทรกแซงในตลาดเงินอย่างแข็งแกร่งเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินหยวนส่งผลให้ทุน
สำรองฯ ของจีน ณ สิ้นปี 48 ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 818.9 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่า
ทุนสำรองฯ ของจีนจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นในเร็ว ๆ นี้ และบางคนเห็นว่าทุนสำรองฯ ของจีนอาจสะสม
จนขยายตัวสูงถึงระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ในสิ้นปี 49 อนึ่ง ทุนสำรองฯ ของญี่ปุ่นลดลงจากที่เคยอยู่ในระดับสูงสุด
ที่จำนวน 851.666 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เมื่อสิ้นเดือน ม.ค.49 เนื่องจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล สรอ.ในเดือน
ก.พ.49 เพิ่มขึ้น ทำให้มูลค่าของพันธบัตร สรอ.ที่ญี่ปุ่นถือครองอยู่ลดลง นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินยูโรก็ส่งผลให้ทุน
สำรองฯ ญี่ปุ่นลดลงด้วย (รอยเตอร์)
4. กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (OPEC) จำเป็นต้องคงปริมาณการผลิตน้ำมันต่อไปรายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 49 นาย Claude Mandil ผู้อำนวยการฐานการผลิตน้ำมันนานาชาติที่ปารีสกล่าวว่า
ภายหลังการพบปะกันของกลุ่ม OPEC ในกรุงเวียนนาในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาระดับการผลิตน้ำมันว่าควรจะเปลี่ยนแปลง
จากเดิมหรือไม่ ซึ่งคาดว่ากลุ่ม OPEC จะยังคงปริมาณการผลิตเดิมต่อไปอีก ทั้งนี้ สมาชิก 11 ประเทศของกลุ่ม OPEC
ผลิตน้ำมันใกล้ถึงระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี ขณะที่ราคาน้ำมันของ สรอ สูงกว่าบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งผู้
สังเกตการณ์ในตลาดน้ำมันส่วนใหญ่ต่างคาดว่าหลังจากการประชุมสัปดาห์นี้ กลุ่ม OPEC จะคงปริมาณการผลิตน้ำมันต่อไป
ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าบางประเทศของกลุ่ม OPEC จะวิตกว่า สต็อกน้ำมันดิบของโลกในไตรมาสที่ 2 จะเพิ่มขึ้นส่งผลให้
ราคาน้ำมันตกต่ำ อย่างไรก็ตามปริมาณความต้องการน้ำมันในไตรมาสที่ 2 จะไม่ลดลง และจำเป็นที่จะต้องเพิ่มสต็อกน้ำมัน
ที่ขาดหายไปซึ่ง Mandil ชี้ว่า ไนจีเรีย ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกกลุ่ม OPECที่ส่งออกน้ำมันใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ได้ลด
ปริมาณการผลิตน้ำมันลงมากกว่า 10.5 ล้านบาร์เรลนับตั้งแต่ต้นปีนี้ เนื่องจากปัญหาความไม่สงบในประเทศ .รวมทั้ง
ปริมาณการผลิตน้ำมันของอิหร่านที่ลดลงเนื่องจากปัญหาการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 มี.ค. 49 6 มี.ค. 49 31 ม.ค. 48 แหล่ง
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.806 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.6030/38.8919 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.42422 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 750.81/ 9.51 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,200/10,300 10,300/10,400 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 56.49 57.8 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 30 สตางค์ เมื่อ 4 มี.ค. 49 26.74*/25.09** 26.74*/25.09** 19.69/14.59 ปตท.
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 4 มี.ค. 49
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--