ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ยืนยันการที่เงินบาทอ่อนค่าลงในขณะนี้เป็นไปตามกลไกตลาด ผู้ว่าการธนาคารแห่ง
ประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่เงินบาทอ่อนค่าลงเกือบแตะระดับ 41 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ในขณะนี้
เป็นไปตามกลไกของตลาด โดยหากพิจารณาค่าเงินสกุลหลักๆ เช่น ค่าเงินยูโรของยุโรป และเงินเยนของญี่ปุ่น ก็
อ่อนค่าลงเช่นกัน ในส่วนของเงินทุนไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างชาตินั้น ขณะนี้ยังมีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง
ถือว่าอยู่ในภาวะปกติ สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทย ณ วันที่ 14 มิ.ย.48 อยู่ที่ระดับ 40.88 บาทต่อ
ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งหากเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. เงินบาทอ่อนค่าลง 0.23% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า และอ่อน
ค่าลง 1.11% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และหากเทียบกับเงินยูโร เงินบาทอ่อนค่าลง 0.7% เมื่อเทียบกับวันก่อน
หน้า แต่แข็งค่าขึ้น 0.92% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน เงินบาทอ่อนค่าลง 0.43%
เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า และอ่อนค่าลง 0.97% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าลงมีสาเหตุจาก
การที่ สรอ.ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ประกอบกับการที่ประธาน ธ.กลาง
สรอ. (อลัน กรีนสแปน) ออกมากล่าวว่า ธ.กลาง สรอ.มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก จึงส่งผล
ให้เงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้น อนึ่ง คาดว่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งต้องรอดู
ปัจจัยต่างที่เกิดขึ้นด้วย (ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท.เชื่อมั่นว่าภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ ธพ. นางธาริษา
วัฒนเกส รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวลงนั้นจะไม่
กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ ธพ.มากนัก โดยการขยายตัวของสินเชื่อยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม และ ธพ.ก็ระมัด
ระวังในการปล่อยกู้อยู่แล้ว เพื่อไม่ให้มีหนี้เสียใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็ทยอยลด
ลงเรื่อยๆ โดย ณ สิ้น เม.ย.48 เอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินมีจำนวนทั้งสิ้น 596,193.20 ล.บาท คิดเป็น
10.68% ของสินเชื่อรวม นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรของ ธพ.ในไตรมาส 2 ของปีนี้ เชื่อว่าจะยังมี
กำไร โดยผลการดำเนินงานของ ธพ.ในไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน (โลกวันนี้)
3. นักลงทุนไทยส่วนใหญ่มีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้
จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) เปิดเผยว่า ต.ล.ท.ได้ว่าจ้างบริษัท แกลลัป ออแกไนเซชั่น
จำกัด ทำการสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนไทย และทัศนคติที่มีต่อตลาดหุ้นไทยในแง่มุมต่างๆ เพื่อนำข้อมูล
มาใช้ในการพัฒนาตลาดทุนไทยและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของ ต.ล.ท. โดยจากการสุ่มตัวอย่างกลุ่มผู้ลง
ทุน 3,474 คนทั่วประเทศ พบว่า 32% มีมุมมองที่ดีต่อการลงทุน และคิดว่าตลาดหุ้นจะมีการเติบโตได้ในอีก 2 ปี
ข้างหน้า รองลงมา 17% มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนกับเล่นพนัน ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะมีผลตอบแทบกลับ
มาหรือไม่ และ 13% มีข้อมูลการลงทุนจำกัด อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ 30% มองว่า ต.ล.ท.มีบทบาทในการผลักดัน
ให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต สำหรับสาเหตุที่ผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนใน ต.ล.ท. พบว่า 50% หวังว่าจะทำกำไร
ได้ รองลงมา 30% มีความสนใจต่อการลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว ส่วนแหล่งข้อมูลที่ใช้ตัดสินใจลงทุน 65% อาศัยแหล่ง
ข้อมูลในหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้วพบว่า อุปสรรคใหญ่สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นคือ กลุ่มผู้ลงทุนมีข้อมูล
สำหรับตัดสินใจลงทุนน้อยมาก ซึ่ง ต.ล.ท.ต้องกลับมาทบทวนในเรื่องนี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ธุรกิจภาคบริการของไทยยังไม่มีความพร้อมในการเปิดเสรีภายใต้กรอบเอฟทีเอ นายอัทธ์
พิศาลวานิช ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษาศักยภาพการแข่งขัน
ธุรกิจภาคบริการของไทยภายใต้กรอบเอฟทีเอว่า จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ประกอบการธุรกิจบริการของไทย
จำนวน 120 คนใน 6 สาขาการค้าบริการ ประกอบด้วย สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยว การเงินการ
ธนาคาร คมนาคม ก่อสร้าง และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พบว่า ธุรกิจภาคบริการของไทยเกือบทั้งหมดไม่มีความพร้อมใน
การเปิดเอฟทีเอกับประเทศคู่เจรจาในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลากร เทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน ทุน และ
การบริหาร โดยเฉพาะการเปิดเสรีการค้าบริการกับ สรอ.และญี่ปุ่น จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่าง
มาก เนื่องจากผู้ประกอบการไทยมากกว่า 60% มีศักยภาพการแข่งขันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ
ของ สรอ.และญี่ปุ่น โดยสาขาการเงินการธนาคารและธุรกิจค้าส่งค้าปลีก จะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่หากเปิด
เสรีการค้าบริการกับจีนและอินเดีย ไทยจะได้รับผลกระทบน้อย เพราะศักยภาพการแข่งขันอยู่ในระดับกลาง (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ในไตรมาสที่ 3 กิจการทั่วโลกมีแผนการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 14
มิ.ย 48 ผลการสำรวจโดย Manpower Inc. ที่สำรวจนายจ้างมากกว่า 45,000 คนจาก 23 ประเทศทั่วโลกพบ
ว่า แผนการจ้างงานสำหรับ 3 เดือนข้างหน้าต่ำกว่าไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่อง
จากการจ้างงานในแถบเอเซียชะลอลงขณะที่สหภาพยุโรปภาวะการจ้างงานฟื้นตัว ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงจำนวน
16,000 คน ของกิจการในสรอ.คาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อไปอีกเนื่องจากภาคการก่อสร้าง
กำลังเฟื่องฟูจากการสูงขึ้นของราคาบ้านและดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนั้นผลการสำรวจใน
เยอรมนีพบว่ากิจการมีแผนที่จะสร้างงานมากกว่าที่จะปรับลดซึ่งสร้างความประหลาดใจและเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มี
การสำรวจภาวะการจ้างงานในปี 47 การฟื้นตัวของตลาดแรงงานในเยอรมนีดังกล่าวทำให้กิจการเริ่มจ้างงานใหม่
อีกครั้งในไตรมาสที่ 3 สำหรับแผนการจ้างงานในญี่ปุ่น จีน และไต้หวันยังคงดำเนินไปในทิศทางที่ดีมาก ซึ่งมีการ
จ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แต่แนวโน้มในสิงคโปร์และนิวซีแลนด์ยังคงไม่สดใสนัก(รอยเตอร์)
2. ผลสำรวจพบว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจในเยอรมนีลดลงแต่คาดว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อไป
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 14 มิ.ย.48 ผลสำรวจความเห็นของธุรกิจจำนวน 22,000 แห่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ
ขนาดกลางและขนาดเล็กในช่วงเดือน เม.ย.และ พ.ค.ปีนี้โดยหอการค้าและอุตสาหกรรมของเยอรมนี หรือ
DIHK ซึ่งนับเป็นการสำรวจที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดของเยอรมนีเทียบกับการสำรวจบรรยากาศทางธุรกิจ
โดย Ifo ซึ่งเป็นการสำรวจที่มีคนสนใจเฝ้าติดตามมากที่สุดที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างเพียง 7,000 ราย พบว่า
จำนวนธุรกิจที่มองแนวโน้มเศรษฐกิจในแง่ลบมีมากกว่าที่มองในแง่บวกเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี อย่างไรก็ดี ผล
สำรวจความเห็นของธุรกิจจำนวน 1,100 แห่งหลังจาก นรม.ของเยอรมนีประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในฤดู
ใบไม้ร่วงปีนี้ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้พบว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจดีขึ้นจากความเชื่อมั่นว่าพรรครัฐบาลจะได้ครองที่นั่งใน
สภาสูงเพิ่มขึ้นและสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่หลังจากที่ถูกขัดขวางจากพรรคฝ่ายค้านซึ่งครองที่นั่งในสภา
สูงมากกว่า เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปขยายตัวร้อยละ 1.0 ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ สูงกว่าที่นัก
วิเคราะห์คาดไว้และเป็นการขยายตัวต่อไตรมาสสูงสุดในรอบ 4 ปี แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีชี้วัดแนวโน้มเศรษฐกิจและ
ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวกลับชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง DIHK คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ
1.0 ลดลงจากร้อยละ 1.5 ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษในเดือน พ.ค.48 ยังคงอยู่ในระดับสูงในรอบ 7 ปีที่ร้อยละ 0.4
เทียบต่อเดือน รายงานจากลอนดอน เมื่อ 14 มิ.ย.48 สำนักงานสถิติอังกฤษ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของ
อังกฤษในเดือน พ.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน และหากเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 สูงกว่าที่นัก
วิเคราะห์คาดการณ์ว่าไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยมีปัจจัยสำคัญคือราคาอาหารสดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตัว
เลขดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษอยู่ในระดับสูงในรอบ 7 ปี แต่ก็ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ ธ.กลางอังกฤษกำหนดที่
ร้อยละ 2.0 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวเปิดเผยภายหลังจากผู้ว่าการ ธ.กลางอังกฤษกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่าน
มาว่า ผู้กำหนดนโยบายการเงินพยายามรักษาสมดุลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวสวนทางกับความเสี่ยงด้าน
ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดความกดดันในการพิจารณาด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธ.กลาง ทั้งนี้ ล่าสุด
ธ.กลางอังกฤษประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 4.75 เป็นเดือนที่ 10 แต่ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับ
ลดอัตราดอกเบี้ยในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เนื่องจากการใช้จ่ายผู้บริโภคเริ่มชะลอตัวอย่างชัดเจน (รอยเตอร์)
4. ยอดการค้าปลีกของอังกฤษในเดือน พ.ค. อาจจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 รายงานจากกรุง
ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.48 ผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์
คาดว่า ยอดการค้าปลีกของอังกฤษในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาอาจจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 0.5 ในเดือน เม.ย.48 เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ภาษี และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่โดยแท้จริง
แล้วระดับการจ้างงานได้ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็อยู่ในภาวะปกติ ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่ายอด
การค้าปลีกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.7 จากร้อยละ 2.3 ในปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สงคราม
อิรักเมื่อสองปีก่อน ด้าน Confederation of British Industry กล่าวว่า กลุ่มผู้ค้าปลีกมีมุมมองว่า
สถานการณ์ในเดือน พ.ค. เป็นช่วงเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 13 ปี ขณะที่ British Retail Consortium
กล่าวว่า ยอดการค้าปลีกในเดือน พ.ค.48 ลดลงร้อยละ 2.4 เทียบต่อปี(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 มิ.ย. 48 14 มิ.ย .48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.905 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40. 7131/40.0019 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.5 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 683.68/17.16 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,150/8,250 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 49.37 50.06 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.94*/18.99** 22.94*/18.99** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 มิ.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 มิ.ย 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ยืนยันการที่เงินบาทอ่อนค่าลงในขณะนี้เป็นไปตามกลไกตลาด ผู้ว่าการธนาคารแห่ง
ประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่เงินบาทอ่อนค่าลงเกือบแตะระดับ 41 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ในขณะนี้
เป็นไปตามกลไกของตลาด โดยหากพิจารณาค่าเงินสกุลหลักๆ เช่น ค่าเงินยูโรของยุโรป และเงินเยนของญี่ปุ่น ก็
อ่อนค่าลงเช่นกัน ในส่วนของเงินทุนไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างชาตินั้น ขณะนี้ยังมีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง
ถือว่าอยู่ในภาวะปกติ สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทย ณ วันที่ 14 มิ.ย.48 อยู่ที่ระดับ 40.88 บาทต่อ
ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งหากเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. เงินบาทอ่อนค่าลง 0.23% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า และอ่อน
ค่าลง 1.11% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และหากเทียบกับเงินยูโร เงินบาทอ่อนค่าลง 0.7% เมื่อเทียบกับวันก่อน
หน้า แต่แข็งค่าขึ้น 0.92% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน เงินบาทอ่อนค่าลง 0.43%
เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า และอ่อนค่าลง 0.97% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าลงมีสาเหตุจาก
การที่ สรอ.ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ประกอบกับการที่ประธาน ธ.กลาง
สรอ. (อลัน กรีนสแปน) ออกมากล่าวว่า ธ.กลาง สรอ.มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก จึงส่งผล
ให้เงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้น อนึ่ง คาดว่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งต้องรอดู
ปัจจัยต่างที่เกิดขึ้นด้วย (ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท.เชื่อมั่นว่าภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ ธพ. นางธาริษา
วัฒนเกส รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวลงนั้นจะไม่
กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ ธพ.มากนัก โดยการขยายตัวของสินเชื่อยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม และ ธพ.ก็ระมัด
ระวังในการปล่อยกู้อยู่แล้ว เพื่อไม่ให้มีหนี้เสียใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็ทยอยลด
ลงเรื่อยๆ โดย ณ สิ้น เม.ย.48 เอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินมีจำนวนทั้งสิ้น 596,193.20 ล.บาท คิดเป็น
10.68% ของสินเชื่อรวม นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรของ ธพ.ในไตรมาส 2 ของปีนี้ เชื่อว่าจะยังมี
กำไร โดยผลการดำเนินงานของ ธพ.ในไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน (โลกวันนี้)
3. นักลงทุนไทยส่วนใหญ่มีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้
จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) เปิดเผยว่า ต.ล.ท.ได้ว่าจ้างบริษัท แกลลัป ออแกไนเซชั่น
จำกัด ทำการสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนไทย และทัศนคติที่มีต่อตลาดหุ้นไทยในแง่มุมต่างๆ เพื่อนำข้อมูล
มาใช้ในการพัฒนาตลาดทุนไทยและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของ ต.ล.ท. โดยจากการสุ่มตัวอย่างกลุ่มผู้ลง
ทุน 3,474 คนทั่วประเทศ พบว่า 32% มีมุมมองที่ดีต่อการลงทุน และคิดว่าตลาดหุ้นจะมีการเติบโตได้ในอีก 2 ปี
ข้างหน้า รองลงมา 17% มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนกับเล่นพนัน ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะมีผลตอบแทบกลับ
มาหรือไม่ และ 13% มีข้อมูลการลงทุนจำกัด อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ 30% มองว่า ต.ล.ท.มีบทบาทในการผลักดัน
ให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต สำหรับสาเหตุที่ผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนใน ต.ล.ท. พบว่า 50% หวังว่าจะทำกำไร
ได้ รองลงมา 30% มีความสนใจต่อการลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว ส่วนแหล่งข้อมูลที่ใช้ตัดสินใจลงทุน 65% อาศัยแหล่ง
ข้อมูลในหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้วพบว่า อุปสรรคใหญ่สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นคือ กลุ่มผู้ลงทุนมีข้อมูล
สำหรับตัดสินใจลงทุนน้อยมาก ซึ่ง ต.ล.ท.ต้องกลับมาทบทวนในเรื่องนี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ธุรกิจภาคบริการของไทยยังไม่มีความพร้อมในการเปิดเสรีภายใต้กรอบเอฟทีเอ นายอัทธ์
พิศาลวานิช ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษาศักยภาพการแข่งขัน
ธุรกิจภาคบริการของไทยภายใต้กรอบเอฟทีเอว่า จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ประกอบการธุรกิจบริการของไทย
จำนวน 120 คนใน 6 สาขาการค้าบริการ ประกอบด้วย สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยว การเงินการ
ธนาคาร คมนาคม ก่อสร้าง และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พบว่า ธุรกิจภาคบริการของไทยเกือบทั้งหมดไม่มีความพร้อมใน
การเปิดเอฟทีเอกับประเทศคู่เจรจาในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลากร เทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน ทุน และ
การบริหาร โดยเฉพาะการเปิดเสรีการค้าบริการกับ สรอ.และญี่ปุ่น จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่าง
มาก เนื่องจากผู้ประกอบการไทยมากกว่า 60% มีศักยภาพการแข่งขันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ
ของ สรอ.และญี่ปุ่น โดยสาขาการเงินการธนาคารและธุรกิจค้าส่งค้าปลีก จะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่หากเปิด
เสรีการค้าบริการกับจีนและอินเดีย ไทยจะได้รับผลกระทบน้อย เพราะศักยภาพการแข่งขันอยู่ในระดับกลาง (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ในไตรมาสที่ 3 กิจการทั่วโลกมีแผนการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 14
มิ.ย 48 ผลการสำรวจโดย Manpower Inc. ที่สำรวจนายจ้างมากกว่า 45,000 คนจาก 23 ประเทศทั่วโลกพบ
ว่า แผนการจ้างงานสำหรับ 3 เดือนข้างหน้าต่ำกว่าไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่อง
จากการจ้างงานในแถบเอเซียชะลอลงขณะที่สหภาพยุโรปภาวะการจ้างงานฟื้นตัว ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงจำนวน
16,000 คน ของกิจการในสรอ.คาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อไปอีกเนื่องจากภาคการก่อสร้าง
กำลังเฟื่องฟูจากการสูงขึ้นของราคาบ้านและดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนั้นผลการสำรวจใน
เยอรมนีพบว่ากิจการมีแผนที่จะสร้างงานมากกว่าที่จะปรับลดซึ่งสร้างความประหลาดใจและเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มี
การสำรวจภาวะการจ้างงานในปี 47 การฟื้นตัวของตลาดแรงงานในเยอรมนีดังกล่าวทำให้กิจการเริ่มจ้างงานใหม่
อีกครั้งในไตรมาสที่ 3 สำหรับแผนการจ้างงานในญี่ปุ่น จีน และไต้หวันยังคงดำเนินไปในทิศทางที่ดีมาก ซึ่งมีการ
จ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แต่แนวโน้มในสิงคโปร์และนิวซีแลนด์ยังคงไม่สดใสนัก(รอยเตอร์)
2. ผลสำรวจพบว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจในเยอรมนีลดลงแต่คาดว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อไป
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 14 มิ.ย.48 ผลสำรวจความเห็นของธุรกิจจำนวน 22,000 แห่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ
ขนาดกลางและขนาดเล็กในช่วงเดือน เม.ย.และ พ.ค.ปีนี้โดยหอการค้าและอุตสาหกรรมของเยอรมนี หรือ
DIHK ซึ่งนับเป็นการสำรวจที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดของเยอรมนีเทียบกับการสำรวจบรรยากาศทางธุรกิจ
โดย Ifo ซึ่งเป็นการสำรวจที่มีคนสนใจเฝ้าติดตามมากที่สุดที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างเพียง 7,000 ราย พบว่า
จำนวนธุรกิจที่มองแนวโน้มเศรษฐกิจในแง่ลบมีมากกว่าที่มองในแง่บวกเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี อย่างไรก็ดี ผล
สำรวจความเห็นของธุรกิจจำนวน 1,100 แห่งหลังจาก นรม.ของเยอรมนีประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในฤดู
ใบไม้ร่วงปีนี้ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้พบว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจดีขึ้นจากความเชื่อมั่นว่าพรรครัฐบาลจะได้ครองที่นั่งใน
สภาสูงเพิ่มขึ้นและสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่หลังจากที่ถูกขัดขวางจากพรรคฝ่ายค้านซึ่งครองที่นั่งในสภา
สูงมากกว่า เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปขยายตัวร้อยละ 1.0 ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ สูงกว่าที่นัก
วิเคราะห์คาดไว้และเป็นการขยายตัวต่อไตรมาสสูงสุดในรอบ 4 ปี แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีชี้วัดแนวโน้มเศรษฐกิจและ
ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวกลับชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง DIHK คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ
1.0 ลดลงจากร้อยละ 1.5 ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษในเดือน พ.ค.48 ยังคงอยู่ในระดับสูงในรอบ 7 ปีที่ร้อยละ 0.4
เทียบต่อเดือน รายงานจากลอนดอน เมื่อ 14 มิ.ย.48 สำนักงานสถิติอังกฤษ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของ
อังกฤษในเดือน พ.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน และหากเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 สูงกว่าที่นัก
วิเคราะห์คาดการณ์ว่าไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยมีปัจจัยสำคัญคือราคาอาหารสดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตัว
เลขดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษอยู่ในระดับสูงในรอบ 7 ปี แต่ก็ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ ธ.กลางอังกฤษกำหนดที่
ร้อยละ 2.0 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวเปิดเผยภายหลังจากผู้ว่าการ ธ.กลางอังกฤษกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่าน
มาว่า ผู้กำหนดนโยบายการเงินพยายามรักษาสมดุลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวสวนทางกับความเสี่ยงด้าน
ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดความกดดันในการพิจารณาด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธ.กลาง ทั้งนี้ ล่าสุด
ธ.กลางอังกฤษประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 4.75 เป็นเดือนที่ 10 แต่ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับ
ลดอัตราดอกเบี้ยในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เนื่องจากการใช้จ่ายผู้บริโภคเริ่มชะลอตัวอย่างชัดเจน (รอยเตอร์)
4. ยอดการค้าปลีกของอังกฤษในเดือน พ.ค. อาจจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 รายงานจากกรุง
ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.48 ผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์
คาดว่า ยอดการค้าปลีกของอังกฤษในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาอาจจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 0.5 ในเดือน เม.ย.48 เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ภาษี และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่โดยแท้จริง
แล้วระดับการจ้างงานได้ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็อยู่ในภาวะปกติ ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่ายอด
การค้าปลีกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.7 จากร้อยละ 2.3 ในปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สงคราม
อิรักเมื่อสองปีก่อน ด้าน Confederation of British Industry กล่าวว่า กลุ่มผู้ค้าปลีกมีมุมมองว่า
สถานการณ์ในเดือน พ.ค. เป็นช่วงเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 13 ปี ขณะที่ British Retail Consortium
กล่าวว่า ยอดการค้าปลีกในเดือน พ.ค.48 ลดลงร้อยละ 2.4 เทียบต่อปี(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 มิ.ย. 48 14 มิ.ย .48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.905 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40. 7131/40.0019 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.5 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 683.68/17.16 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,150/8,250 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 49.37 50.06 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.94*/18.99** 22.94*/18.99** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 มิ.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 มิ.ย 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--