ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธ.พาณิชย์ต้องตั้งสำรองเพิ่มร้อยละ 27 ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน
ธปท. กล่าวว่า การประกาศให้สถาบันการเงินต้องกันสำรองตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) จะทำให้สถาบันการเงิน
ต้องกันเงินสำรองหนี้เพิ่มจากหลักเกณฑ์เดิมร้อยละ 27 ของมูลค่าหลักประกัน เพราะเกณฑ์ IAS39 ต้องหักค่าเสื่อมราคาและค่าเสียโอกาสการขาย
รวมไปในหลักประกันด้วย ทำให้การตีราคาทรัพย์สินจากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 90 ของราคาหลักทรัพย์ จะเหลือเพียงร้อยละ 63 ของราคาหลักทรัพย์
ทั้งนี้ ตามมาตรฐาน IAS39 ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินทยอยกันสำรองแบ่งเป็น 3 งวดบัญชี งวดแรกเริ่มตั้งแต่เดือน ธ.ค.49 โดยให้กัน
เงินสำรอง 100% สำหรับลูกหนี้ที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วหรืออยู่ระหว่างบังคับคดี และลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างดำเนินคดี งวดที่ 2 เริ่มกันเงินสำรองเดือน
มิ.ย.50 โดยต้องมีการกันสำรอง 100% สำหรับลูกหนี้ที่ถูกจัดเป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ และชั้นสงสัยให้กันสำรอง จากเดิมให้กันสำรองแค่
ร้อยละ 50 ส่วนงวดที่ 3 จะเริ่มเดือน ธ.ค.50 สถาบันการเงินต้องกันสำรอง 100% สำหรับสินเชื่อจัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีจำนวน
มากที่สุดในระบบ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถาบันการเงินจะไม่ประสบปัญหามากนักที่จะใช้มาตรฐานการบัญชีแบบใหม่ อาจมีเพียงบางแห่งที่มีเงินทุน
ต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือบีไอเอสต่ำที่ต้องการขยายธุรกิจเท่านั้นที่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ซึ่งมาตรฐานใหม่อาจทำให้เงินกองทุนขั้นที่ 1 ลดลงได้ จากปัจจุบัน
ธ.พาณิชย์ในระบบมีกองทุนขั้นที่ 1 เฉลี่ยร้อยละ 10 แต่เงินกองทุนของ ธ.พาณิชย์โดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 14 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ
8.5 จึงคาดว่ามาตรการนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินมากนัก แต่จะทำให้สถาบันการเงินแข็งแกร่งขึ้น
(โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
2. เอ็นพีแอลอาจลดลงไม่ได้ตามเป้าเหลือร้อยละ 2 ภายในกลางปี 50 นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบาย
สถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ถึงตอนนี้การที่จะลดเอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินให้เหลือร้อยละ 2 ภายในกลางปี 50 คงเป็นไปได้ยาก
แม้จะมีการนำมาตรการทางบัญชีฉบับที่ 39 (IAS39) มาใช้หรือไม่ก็ตาม เนื่องจากการลดเอ็นพีแอลได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของ
สถาบันการเงินแต่ละแห่ง ไม่ได้ขึ้นกับ ธปท. อย่างเดียว โดย ธปท. เป็นเพียงผู้กระตุ้น ส่งเสริม และเปิดช่องทางให้แก่สถาบันการเงินให้
พยายามลดเอ็นพีแอลให้มากที่สุด หากฝ่ายบริหารกำหนดอาจตั้งเป้าต่ำ แต่ถ้ากรรมการหรือผู้ถือหุ้นกำหนดย่อมตั้งเป้าให้สูงเพื่อบีบให้คนขยันทำงาน
และได้ผลงานที่ดีกลับมา ซึ่งการกันเงินสำรองเอ็นพีแอลเป็นส่วนหนึ่งของประสิทธิภาพการทำงาน หากไม่ได้ลดลงแสดงว่าจัดการไม่ดี ปัจจุบันระบบ
สถาบันการเงินมีเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับร้อยละ 8.20 ของสินเชื่อรวมหรือประมาณ 4.85 แสนล้านบาท แต่หากหักเอ็นพีแอลที่มีการกันสำรองครบ
ถ้วนแล้วจะเหลือเอ็นพีแอลเพียงร้อยละ 4 ทั้งนี้ เอ็นพีแอลในระบบมีการกันเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญแล้วทั้งสิ้น 2.4 แสนล้านบาท
มากกว่าที่ ธปท. กำหนดถึง 4 หมื่นล้านบาท และยังมีหลักประกันสำหรับค้ำประกันหนี้แล้วทั้งสิ้น 2.79 แสนล้านบาท จึงไม่มีอะไรน่าห่วง
(โพสต์ทูเดย์, มติชน)
3. ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.0 — 5.0 แม้ว่าจะเกิดเหตุระเบิดหลายจุดใน
กรุงเทพมหานครส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยและค่าเงินบาทอ่อนตัวลง แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 50
ไว้ที่ร้อยละ 4.0 — 5.0 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 ในปี 49 แต่ก็มีความโน้มเอียงไปในเชิงลบต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
อันเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากเหตุวินาศกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตามธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะ
ความไม่เชื่อมั่นดังกล่าว ได้แก่ ธุรกิจเพื่อการบริโภคต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์การค้าและใกล้เคียง ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
ที่อาจถูกกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวนั้นย่อมส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรม รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ ที่พึ่งฐานลูกค้าต่างชาติ เช่น ธุรกิจบริการทาง
การแพทย์ รวมทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับสูงและโครงการนิคมอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความ
ไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้นก็อาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติรอดูท่าทีอยู่ แทนที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย
แม้ว่าราคาหลักทรัพย์ในตลาดจะปรับตัวลดลงมาแล้วก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ตลาดทุนไทยต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เดิมในการที่จะฟื้นตัว (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ภาคอุตสาหกรรมของ สรอ.ฟื้นตัวขึ้นในเดือน ธ.ค.49 รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 3 ม.ค.50
The Institute for Supply Management (ISM) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดการดำเนินกิจกรรมของภาคอุตสาหกรรม สรอ.
(Index of national factory activity) ในเดือน ธ.ค.49 ว่าอยู่ที่ระดับ 51.4 เพิ่มขึ้นจาก 49.5 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการเพิ่มขึ้น
เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม สรอ. และสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ
49.9 โดยดัชนีฯ ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนว่าเศรษฐกิจ สรอ.อยู่ในภาวะที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ และแม้ว่าผลการสำรวจเดียวกันจะ
พบว่า ดัชนีการจ้างงานในเดือน ธ.ค.49 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 49.7 จากระดับ 49.2 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงต่ำกว่า 50 ซึ่งสะท้อนการชะลอตัว
ของสถานการณ์การจ้างงาน สรอ. แต่แนวโน้มยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจาก Prices paid index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดผลกระทบจากการ
ขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ลดลงที่ระดับ 47.5 ในเดือน ธ.ค. จากระดับ 53.5 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีชี้วัดคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นที่ระดับ
52.1 จาก 48.7 ทั้งนี้ ข้อมูลจากการสำรวจของ ISM เป็นปัจจัยสนับสนุนว่า ธ.กลาง สรอ.อาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมต่อไป (รอยเตอร์)
2. จำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในเดือน ธ.ค.49 ลดลงต่ำสุดตั้งแต่ปี 2493 ที่จำนวน 108,000 ราย รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 3 ม.ค.50 ก.แรงงานเยอรมนี เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานในเยอรมนีในเดือน ธ.ค.49 ลดลงต่ำสุดตั้งแต่ปี 2493 ที่จำนวน
108,000 ราย ส่งผลให้อัตราการว่างงานต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 4 ปี เทียบต่อเดือน (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล)
และเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 รวมทั้งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 45,000 ราย นอกจากนี้ รัฐบาลยัง
คาดว่าผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของเยอรมนีในปี 49 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดตั้งแต่ปี 43 เป็นต้นมา และคาดว่า
จะขยายตัวต่อเนื่องถึงปี 50 เนื่องจากภาวะการจ้างงานช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้แข็งแกร่ง และสามารถชดเชยการปรับเพิ่มภาษีมูลค่า
เพิ่มที่เริ่มประกาศใช้ในวันที่ 1 ม.ค.50 ได้ ขณะที่ The DIW Economic Institute คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปี 49 จะขยายตัวร้อยละ
2.3 ส่วนปี 50 จะชะลอลงที่ร้อยละ 1.7 ก่อนที่จะกลับกระเตื้องฟื้นตัวอีกครั้งในปี 51 ที่ร้อยละ 2.5 . (รอยเตอร์)
3. ภาคการก่อสร้างของอังกฤษขยายตัวเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค.49 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 3 ม.ค.50 ดัชนีชี้วัดภาคการก่อสร้าง
จากผลสำรวจความเห็นของผู้บริหารด้านจัดซื้อของธุรกิจในภาคการก่อสร้างของอังกฤษโดยสถาบันเพื่อการจัดซื้อและจัดหาหรือ CIPS เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่
ระดับ 57.5 ในเดือน ธ.ค.49 จากระดับ 54.8 ในเดือน พ.ย.49 โดยภาควิศวกรรมโยธาขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ทั้งนี้ระดับที่
สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าผู้บริหารด้านจัดซื้อส่วนใหญ่เชื่อว่าภาคการก่อสร้างจะยังคงขยายตัวต่อไปโดยดูจากคำสั่งซื้อที่ได้รับและแผนการลงทุนเพิ่มของ
ภาคธุรกิจ (รอยเตอร์)
4. คาดว่าในปี 50 จีนจะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ราว 63.81 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่
3 ม.ค. 50 นสพ.ท้องถิ่นของจีนรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจาก Chinese Academy of Social Science (CASS) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำ
ของจีน ที่คาดว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment — FDI) ในปี 50 จะขยายตัวจากปี 49 ร้อยละ 4.0
เป็นจำนวน 61.36 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่แหล่งข่าวจาก ก.พาณิชย์ของจีนคาดว่าในปี 49 จีนจะมี FDI 60.3 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 48 ทั้งนี้ CASS เห็นว่าจีนมีความจำเป็นต้องเข้มงวดกับการเก็งกำไรของเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ และการร่าง
กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการในจีนซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ขณะที่นาย Chen Dongqi รองประธานสถาบันวิจัย
เศรษฐกิจมหภาคของจีนคาดว่า ค่าเงินหยวนคาดว่าจะสามารถแข็งค่าขึ้นอีกร้อยละ 5.0 จึงจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ตั้งแต่เดือน ก.ค. 48
ธ.กลางจีนได้ปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.1 และเลิกผูกค่าเงินหยวนกับเงินดอลลาร์ สรอ. นับตั้งแต่นั้นมาเงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่าง
ต่อเนื่องถึงร้อยละ 3.9 สำหรับในปี 50 นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นราวร้อยละ 5.0 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 4 ม.ค. 50 3 ม.ค. 50 31 ม.ค. 49 แหล่
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.089 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.8648/36.2335 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.125 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 659.25/15.46 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,650/10,750 10,850/10,950 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.8 55.33 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเมื่อ 23 ธ.ค. 49 ** ปรับเมื่อ 16 ธ.ค. 49 26.49*/23.34** 26.49*/23.34** 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธ.พาณิชย์ต้องตั้งสำรองเพิ่มร้อยละ 27 ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน
ธปท. กล่าวว่า การประกาศให้สถาบันการเงินต้องกันสำรองตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) จะทำให้สถาบันการเงิน
ต้องกันเงินสำรองหนี้เพิ่มจากหลักเกณฑ์เดิมร้อยละ 27 ของมูลค่าหลักประกัน เพราะเกณฑ์ IAS39 ต้องหักค่าเสื่อมราคาและค่าเสียโอกาสการขาย
รวมไปในหลักประกันด้วย ทำให้การตีราคาทรัพย์สินจากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 90 ของราคาหลักทรัพย์ จะเหลือเพียงร้อยละ 63 ของราคาหลักทรัพย์
ทั้งนี้ ตามมาตรฐาน IAS39 ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินทยอยกันสำรองแบ่งเป็น 3 งวดบัญชี งวดแรกเริ่มตั้งแต่เดือน ธ.ค.49 โดยให้กัน
เงินสำรอง 100% สำหรับลูกหนี้ที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วหรืออยู่ระหว่างบังคับคดี และลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างดำเนินคดี งวดที่ 2 เริ่มกันเงินสำรองเดือน
มิ.ย.50 โดยต้องมีการกันสำรอง 100% สำหรับลูกหนี้ที่ถูกจัดเป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ และชั้นสงสัยให้กันสำรอง จากเดิมให้กันสำรองแค่
ร้อยละ 50 ส่วนงวดที่ 3 จะเริ่มเดือน ธ.ค.50 สถาบันการเงินต้องกันสำรอง 100% สำหรับสินเชื่อจัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีจำนวน
มากที่สุดในระบบ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถาบันการเงินจะไม่ประสบปัญหามากนักที่จะใช้มาตรฐานการบัญชีแบบใหม่ อาจมีเพียงบางแห่งที่มีเงินทุน
ต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือบีไอเอสต่ำที่ต้องการขยายธุรกิจเท่านั้นที่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ซึ่งมาตรฐานใหม่อาจทำให้เงินกองทุนขั้นที่ 1 ลดลงได้ จากปัจจุบัน
ธ.พาณิชย์ในระบบมีกองทุนขั้นที่ 1 เฉลี่ยร้อยละ 10 แต่เงินกองทุนของ ธ.พาณิชย์โดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 14 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ
8.5 จึงคาดว่ามาตรการนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินมากนัก แต่จะทำให้สถาบันการเงินแข็งแกร่งขึ้น
(โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
2. เอ็นพีแอลอาจลดลงไม่ได้ตามเป้าเหลือร้อยละ 2 ภายในกลางปี 50 นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบาย
สถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ถึงตอนนี้การที่จะลดเอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินให้เหลือร้อยละ 2 ภายในกลางปี 50 คงเป็นไปได้ยาก
แม้จะมีการนำมาตรการทางบัญชีฉบับที่ 39 (IAS39) มาใช้หรือไม่ก็ตาม เนื่องจากการลดเอ็นพีแอลได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของ
สถาบันการเงินแต่ละแห่ง ไม่ได้ขึ้นกับ ธปท. อย่างเดียว โดย ธปท. เป็นเพียงผู้กระตุ้น ส่งเสริม และเปิดช่องทางให้แก่สถาบันการเงินให้
พยายามลดเอ็นพีแอลให้มากที่สุด หากฝ่ายบริหารกำหนดอาจตั้งเป้าต่ำ แต่ถ้ากรรมการหรือผู้ถือหุ้นกำหนดย่อมตั้งเป้าให้สูงเพื่อบีบให้คนขยันทำงาน
และได้ผลงานที่ดีกลับมา ซึ่งการกันเงินสำรองเอ็นพีแอลเป็นส่วนหนึ่งของประสิทธิภาพการทำงาน หากไม่ได้ลดลงแสดงว่าจัดการไม่ดี ปัจจุบันระบบ
สถาบันการเงินมีเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับร้อยละ 8.20 ของสินเชื่อรวมหรือประมาณ 4.85 แสนล้านบาท แต่หากหักเอ็นพีแอลที่มีการกันสำรองครบ
ถ้วนแล้วจะเหลือเอ็นพีแอลเพียงร้อยละ 4 ทั้งนี้ เอ็นพีแอลในระบบมีการกันเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญแล้วทั้งสิ้น 2.4 แสนล้านบาท
มากกว่าที่ ธปท. กำหนดถึง 4 หมื่นล้านบาท และยังมีหลักประกันสำหรับค้ำประกันหนี้แล้วทั้งสิ้น 2.79 แสนล้านบาท จึงไม่มีอะไรน่าห่วง
(โพสต์ทูเดย์, มติชน)
3. ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.0 — 5.0 แม้ว่าจะเกิดเหตุระเบิดหลายจุดใน
กรุงเทพมหานครส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยและค่าเงินบาทอ่อนตัวลง แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 50
ไว้ที่ร้อยละ 4.0 — 5.0 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 ในปี 49 แต่ก็มีความโน้มเอียงไปในเชิงลบต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
อันเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากเหตุวินาศกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตามธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะ
ความไม่เชื่อมั่นดังกล่าว ได้แก่ ธุรกิจเพื่อการบริโภคต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์การค้าและใกล้เคียง ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
ที่อาจถูกกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวนั้นย่อมส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรม รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ ที่พึ่งฐานลูกค้าต่างชาติ เช่น ธุรกิจบริการทาง
การแพทย์ รวมทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับสูงและโครงการนิคมอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความ
ไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้นก็อาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติรอดูท่าทีอยู่ แทนที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย
แม้ว่าราคาหลักทรัพย์ในตลาดจะปรับตัวลดลงมาแล้วก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ตลาดทุนไทยต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เดิมในการที่จะฟื้นตัว (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ภาคอุตสาหกรรมของ สรอ.ฟื้นตัวขึ้นในเดือน ธ.ค.49 รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 3 ม.ค.50
The Institute for Supply Management (ISM) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดการดำเนินกิจกรรมของภาคอุตสาหกรรม สรอ.
(Index of national factory activity) ในเดือน ธ.ค.49 ว่าอยู่ที่ระดับ 51.4 เพิ่มขึ้นจาก 49.5 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการเพิ่มขึ้น
เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม สรอ. และสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ
49.9 โดยดัชนีฯ ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนว่าเศรษฐกิจ สรอ.อยู่ในภาวะที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ และแม้ว่าผลการสำรวจเดียวกันจะ
พบว่า ดัชนีการจ้างงานในเดือน ธ.ค.49 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 49.7 จากระดับ 49.2 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงต่ำกว่า 50 ซึ่งสะท้อนการชะลอตัว
ของสถานการณ์การจ้างงาน สรอ. แต่แนวโน้มยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจาก Prices paid index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดผลกระทบจากการ
ขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ลดลงที่ระดับ 47.5 ในเดือน ธ.ค. จากระดับ 53.5 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีชี้วัดคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นที่ระดับ
52.1 จาก 48.7 ทั้งนี้ ข้อมูลจากการสำรวจของ ISM เป็นปัจจัยสนับสนุนว่า ธ.กลาง สรอ.อาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมต่อไป (รอยเตอร์)
2. จำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในเดือน ธ.ค.49 ลดลงต่ำสุดตั้งแต่ปี 2493 ที่จำนวน 108,000 ราย รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 3 ม.ค.50 ก.แรงงานเยอรมนี เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานในเยอรมนีในเดือน ธ.ค.49 ลดลงต่ำสุดตั้งแต่ปี 2493 ที่จำนวน
108,000 ราย ส่งผลให้อัตราการว่างงานต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 4 ปี เทียบต่อเดือน (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล)
และเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 รวมทั้งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 45,000 ราย นอกจากนี้ รัฐบาลยัง
คาดว่าผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของเยอรมนีในปี 49 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดตั้งแต่ปี 43 เป็นต้นมา และคาดว่า
จะขยายตัวต่อเนื่องถึงปี 50 เนื่องจากภาวะการจ้างงานช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้แข็งแกร่ง และสามารถชดเชยการปรับเพิ่มภาษีมูลค่า
เพิ่มที่เริ่มประกาศใช้ในวันที่ 1 ม.ค.50 ได้ ขณะที่ The DIW Economic Institute คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปี 49 จะขยายตัวร้อยละ
2.3 ส่วนปี 50 จะชะลอลงที่ร้อยละ 1.7 ก่อนที่จะกลับกระเตื้องฟื้นตัวอีกครั้งในปี 51 ที่ร้อยละ 2.5 . (รอยเตอร์)
3. ภาคการก่อสร้างของอังกฤษขยายตัวเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค.49 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 3 ม.ค.50 ดัชนีชี้วัดภาคการก่อสร้าง
จากผลสำรวจความเห็นของผู้บริหารด้านจัดซื้อของธุรกิจในภาคการก่อสร้างของอังกฤษโดยสถาบันเพื่อการจัดซื้อและจัดหาหรือ CIPS เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่
ระดับ 57.5 ในเดือน ธ.ค.49 จากระดับ 54.8 ในเดือน พ.ย.49 โดยภาควิศวกรรมโยธาขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ทั้งนี้ระดับที่
สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าผู้บริหารด้านจัดซื้อส่วนใหญ่เชื่อว่าภาคการก่อสร้างจะยังคงขยายตัวต่อไปโดยดูจากคำสั่งซื้อที่ได้รับและแผนการลงทุนเพิ่มของ
ภาคธุรกิจ (รอยเตอร์)
4. คาดว่าในปี 50 จีนจะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ราว 63.81 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่
3 ม.ค. 50 นสพ.ท้องถิ่นของจีนรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจาก Chinese Academy of Social Science (CASS) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำ
ของจีน ที่คาดว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment — FDI) ในปี 50 จะขยายตัวจากปี 49 ร้อยละ 4.0
เป็นจำนวน 61.36 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่แหล่งข่าวจาก ก.พาณิชย์ของจีนคาดว่าในปี 49 จีนจะมี FDI 60.3 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 48 ทั้งนี้ CASS เห็นว่าจีนมีความจำเป็นต้องเข้มงวดกับการเก็งกำไรของเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ และการร่าง
กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการในจีนซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ขณะที่นาย Chen Dongqi รองประธานสถาบันวิจัย
เศรษฐกิจมหภาคของจีนคาดว่า ค่าเงินหยวนคาดว่าจะสามารถแข็งค่าขึ้นอีกร้อยละ 5.0 จึงจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ตั้งแต่เดือน ก.ค. 48
ธ.กลางจีนได้ปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.1 และเลิกผูกค่าเงินหยวนกับเงินดอลลาร์ สรอ. นับตั้งแต่นั้นมาเงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่าง
ต่อเนื่องถึงร้อยละ 3.9 สำหรับในปี 50 นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นราวร้อยละ 5.0 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 4 ม.ค. 50 3 ม.ค. 50 31 ม.ค. 49 แหล่
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.089 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.8648/36.2335 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.125 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 659.25/15.46 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,650/10,750 10,850/10,950 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.8 55.33 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเมื่อ 23 ธ.ค. 49 ** ปรับเมื่อ 16 ธ.ค. 49 26.49*/23.34** 26.49*/23.34** 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--