คำอธิบายประกอบการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิตามแบบ บ.ล. 4/1 วิธีปฏิบัติ1. ให้บริษัทคำนวณและดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิเป็นรายวัน โดยต้องคำนวณให้เสร็จภายในวันที่ ทำการถัดไป2. ให้บริษัทจัดทำแบบรายงานการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิของสำนักงานใหญ่รวมสาขา (ถ้ามี) โดยแสดงยอดคงค้างของแต่ละรายการในแบบรายงานเป็นหน่วยบาทเศษของหนึ่งบาทตั้งแต่ห้าสิบ สตางค์ขึ้นไปให้ปัดเป็นหนึ่งบาท และใส่เครื่องหมายจุลภาค "," หลังหลักพันและหลักล้าน พร้อม ทั้งยื่นแบบรายงานดังกล่าวจำนวน 1 ชุดต่อฝ่ายกำกับธุรกิจหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต. ในกรณีดังนี้ การยื่นแบบรายงาน กำหนดส่ง กรณีปกติ : สิ้นวันทำการสุดท้ายของเดือนเป็นประจำทุก ๆ เดือน ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไปกรณี NCR เข้าใกล้ขั้นต่ำที่สำนักงานกำหนด : สิ้นวันเป็นรายวันติดต่อกันในกรณีที่เข้าเกณฑ์ต้องรายงานตามข้อ 5 ของประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ สธ. 50/2540 เรื่อง การคำนวณและการรายงานการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ ลง วันที่ 24 ธันวาคม 2540 โดยให้รายงาน ตั้งแต่ : วันที่บริษัทเริ่มมีเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิเท่ากับ \ หรือน้อยกว่าอัตราส่วนตามข้อดังกล่าว > ภายใน 1 วันทำการถัดจากวันที่จัดทำรายงาน จนถึง : วันที่บริษัทเริ่มมีเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิมากกว่า / อัตราส่วนตามข้อดังกล่าวเป็นเวลา 2 วันทำการติดต่อกัน / รายละเอียดประกอบการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ____________________________________________________________________________| | || รายการ | คำอธิบาย ||_______________________________|__________________________________________||ส่วนที่ 1 : เงินกองทุนสภาพคล่อง | || | ||1.เงินสดและเงินฝากธนาคาร |ธนบัตร และเหรียญกษาปณ์ที่บริษัทมีอยู่ เงินฝากธนาคาร|| |ทุกประเภท บัตรเงินฝาก (Negotiable Certificate| | |of Deposit: NCD) ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือ || |สถาบันการเงินอื่น และรวมถึงตราสารสั่งจ่ายใด ๆ ที่นำ || |ฝากธนาคารเพื่อเรียกเก็บตามระเบียบการหักบัญชีระห่วาง|| |ธนาคาร ซึ่งเรียกเก็บได้ภายในวันทำการถัดไป ทั้งนี้ ไม่ || |ว่ารายการดังกล่าวจะอยู่ในบัญชีของบริษัท หรือบัญชีของ || |บริษัทเพื่อลูกค้า (segregated account) ตามประกาศ|| |ว่าด้วย การแยกบัญชีเงินของลูกค้า || |การคำนวณรายการที่ 1 ในส่วนที่เป็นเงินฝาก ให้ใช้ยอด|| |เงินฝากในบัญชี โดยไม่ต้องคำนวณดอกเบี้ยค้างรับเป็นราย|| |วัน และในกรณีเป็น NCD ให้ใช้ราคาตลาดของ NCD นั้น|| |ถ้าไม่มี ให้ใช้ราคาที่ตราไว้หน้าตั๋ว (face value) || |สำหรับกรณีเป็น NCD ที่มีดอกเบี้ย หรือราคาทุนสำหรับ || |กรณีเป็น NCD ที่ไม่มีดอกเบี้ย || | ||2.ตั๋วสัญญาใช้เงินและตั๋วแลกเงินที่ออกโดย|ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วแลกเงิน ที่ออกโดยสถาบันการเงิน|| สถาบันการเงิน |ตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน|| |ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นตั๋วของบริษัท หรือตั๋วของบริษัทเพื่อลูกค้า|| |(segregated account) ตามประกาศว่าด้วยการแยก|| |บัญชีเงินของลูกค้า || | || 2.1 สถาบันการเงินทั่วไป |สถาบันการเงินที่เปิดดำเนินการได้ตามปกติ || | || 2.2 สถาบันการเงินที่ถูกระงับ |สถาบันการเงินที่ถุกระงับกิจการโดยกระทรวงการคลัง || กิจการ | || | || 2.2.1 P/N หรือ B/E ที่ |P/N หรือ B/E ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่ถูกระงับกิจการ|| เปลี่ยนไม่ได้ |ที่ไม่สามารถนำไปแลกเป็น P/N หรือ NCD ที่ออกโดย | | |สถาบันการเงินอื่นตามที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด || | || 2.2.2 P/N หรือ B/E ที่ |P/N หรือ B/E ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่ถูกระงับกิจการ|| เปลี่ยนได้ |ที่สามารถนำไปแลกเป็น P/N หรือ NCD ที่ออกโดยสถาบัน|| |การเงินอื่นตามที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนดได้ โดย|| |ที่ตั๋วเงิน หรือบัตรเงินฝากใหม่มีเงื่อนไขการชำระเงินแตก|| |ต่างจากตั๋วเงิน หรือบัตรเงินฝากทั่วไปที่สถาบันการเงินอื่น|| |นั้นออกให้แก่ผู้ฝากเงินของตนเอง (ถ้าเงื่อนไขเหมือนกัน|| |ตั๋วเงินหรือบัตรเงินฝากใหม่และจะเป็นตั๋วเงินหรือบัตรเงิน|| |ฝากของสถาบันการเงินทั่วไปตามข้อ 1 หรือข้อ 2.1 แล้ว|| |แต่กรณี) || | || ก. มูลค่าหน้าตั๋ว/ราคาตลาด |P/N และ B/E ให้คำนวณมูลค่าตามราคาที่ตราไว้หน้าตั๋ว || |(face value) || | || ข. ค่าความเสี่ยง |- ค่าความเสี่ยงของ ข้อ 2.2.1 : P/N B/E ที่เปลี่ยน|| |ไม่ได้ ให้คิดค่าความเสี่ยงร้อยละ 100 ของมูลค่าหน้าตั๋ว/|| |ราคาตลาด || |- ค่าความเสี่ยงของ ข้อ 2.2.2 : P/N B/E ที่เปลี่ยน || |ได้ ให้คิดค่าความเสี่ยงเท่ากับ (1 - อัตราที่สามารถกู้ยืม|| |เงินจากสถาบันการเงิน ที่ออกตั๋วใหม่โดยใช้ตั๋วนั้นเป็น || |ประกัน) ถ้าสถาบันการเงินที่ออกตั๋วใหม่มิได้ประกาศอัตรา|| |การกู้ยืมเงินดังกล่าว ให้ใช้อัตราของสถาบันการเงินอื่น || |ที่ปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะเดียวกันแทนได้ || | ||3.เงินลงทุนในหลักทรัพย์โดยมี |หลักทรัพย์ที่บริษัทซื้อ โดยมีสัญญาว่าจะขายคืนให้คำนวณสิน|| สัญญาจะขายคืน |ทรัพย์สภาพคล่องสุทธิโดยเปรียบเทียบระหว่าง "ราคาขาย|| |คืน ณ ปัจจุบัน" กับ "หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยง"|| |ของคู่สัญญาแต่ละราย ดังนี้ || | || ก. ราคาขายคืน ณ ปัจจุบัน |ราคาซื้อ บวกด้วยดอกเบี้ยค้างรับ ณ วันที่รายงาน || |ดอกเบี้ยค้างรับ = ราคาซื้อ x อัตราดอกเบี้ยตามสัญญา || |x ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ซื้อถึงวันที่รายงาน/365 วัน || | || ข. หลักประกัน |มูลค่าตามราคาตลาด ณ วันที่รายงานของหลักทรัพย์ที่บริษัท|| |ซื้อไว้โดยมีสัญญาจะขายคืน ถ้าไม่มี ให้ใช้ราคาอื่นที่เหมาะ| | |สม || | | | ค. ค่าความเสี่ยง |ค่าความเสี่ยงของหลักประกัน = หลักประกัน x อัตรา || |ความเสี่ยงของหลักประกันประเภทนั้น (ใช้อัตราเดียวกับ || |ค่าความเสี่ยงของเงินลงทุนตามส่วนที่ 3) || |"หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยง" หมายถึง หลักประกัน || |(ข) หักด้วย ค่าความเสี่ยง (ค) || | || 3.1 หลักประกันหลังหักค่า |หมายถึง คู่สัญญารายที่ "ราคาขายคืน ณ ปัจจุบัน" ต่ำกว่า|| ความเสี่ยงคุ้มหนี้ |หรือเท่ากับ "หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยง" โดยใน| | |ช่อง ก. ข. และ ค. ให้ใช้ผลรวมของราคาขายคืน ณ| | |ปัจจุบัน หลักประกัน และค่าความเสี่ยง ตามลำดับ ของคู่|| |สัญญาทุกรายที่หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยงคุ้มหนี้และใน|| |ช่อง 3.1 ให้ใช้ "ราคาขายคืน ณ ปัจจุบัน" ตามช่อง ก.|| |เป็นสินทรัพย์สภาพคล่องสุทธิ || | | | 3.2 หลักประกันหลังหัก |หมายถึง คู่สัญญารายที่ "ราคาขายคืน ณ ปัจจุบัน" มาก || ค่าความเสี่ยงไม่คุ้มหนี้ |กว่า "หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยง" โดยในช่อง ก. || |ข. และ ค. ให้ใช้ผลรวมของราคาขายคืน ณ ปัจจุบัน || |หลักประกัน และค่าความเสี่ยงตามลำดับ ของคู่สัญญาทุก || |รายที่หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยงไม่คุ้มหนี้ และในช่อง|| |3.2 ให้ใช้ "มูลค่าหลักประกัน" ตามช่อง ข. หักด้วย || |"ค่าความเสี่ยง" ตามช่อง ค. เป็นสินทรัพย์สภาพคล่อง || |สุทธิ | | | | |4. เงินลงทุน (ดูรายละเอียดประกอบใน |เงินลงทุนในหลักทรัพย์ และตราสารแห่งหนื้อื่น (ไม่รวมข้อ|| ส่วนที่ 3) | 2 : ตั๋วสัญญาใช้เงินและตั๋วแลกเงินที่ออกโดยสถาบันการ|| |เงิน ข้อ 3 : เงินลงทุนในหลักทรัพย์โดยมีสัญญาจะขายคืน|| |และหลักทรัพย์ที่ให้ยืมที่บริษัทเป็นผู้รับความเสี่ยงจากการ || |เปลี่ยนแปลงราคาของตราสารนั้น)โดยในช่อง ก.และ ข.|| |ให้ใช้ค่าที่คำนวณได้จากข้อ 6 ก.และ 6 ข. ของส่วนที่ 3|| |ตามลำดับ และในช่อง 4 ของส่วนที่ 1 ให้คำนวณสินทรัพย์|| |สภาพคล่องสุทธิโดยใช้ "มูลค่าเงินลงทุน" ตามช่อง ก. || |หักด้วย "ค่าความเสี่ยง" ตามช่อง ข. || | ||5. ลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ |ลูกหนี้ที่เกิดจากการประกอบธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์และ|| |ธุรกิจการยืมหรือให้ยืมหลักทรัพย์ || | | | 5.1 ลูกหนี้ซื้อหลักทรัพย์ตามคำสั่ง |บัญชีของลูกหนี้ที่สั่งซื้อหลักทรัพย์ด้วยเงินสด โดยไม่รวม || |ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดีประนอมหนี้ หรือ || |ผ่อนชำระ || | | | 5.1.1 ลูกหนี้ยังไม่พ้น |ลูกหนี้ซื้อหลักทรัพย์ตามคำสั่งที่อยู่ระหว่างการเรียกชำระเงิน| กำหนดชำระ |ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดระยะชำระเงินตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ || |หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์กำหนด (ยังอยู่ภายใน T + 3) || | | | ก. มูลหนี้ |ยอดเงินค้างชำระของลูกหนี้ ให้คำนวณโดยใช้ผลรวมของ || |ยอดสุทธิของลูกค้าทุกรายที่มียอดดุลสิทธิลูกหนี้ (ถ้าลูกค้า || |รายใดมียอดดุลสุทธิเจ้าหนี้ให้แสดงเป็นหนี้สินในรายการ || |เจ้าหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ในส่วนที่ 2 ข้อ 4.1 : ขาย || |หลักทรัพย์ตามคำสั่ง) | | | | | ค. ค่าความเสี่ยง |คำนวณค่าความเสี่ยงเท่ากับร้อยละ 1.5 ของมูลหนี้ในช่อง|| |ก. || |ให้คำนวณสินทรัพย์สภาพคล่องสุทธิในช่อง 5.1.1 โดยนำ || |"มูลหนี้" ตามช่อง ก. หักด้วย "ค่าความเสี่ยง" ตามช่อง|| |ค. | | | | | 5.1.2 ลูกหนี้พ้นกำหนดชำระ |ลูกหนี้ซื้อหลักทรัยพ์ตามคำสั่งที่ไม่สามารถชำระเงินได้ตาม || ภายใน 30 วัน |กำหนดแต่พ้นกำหนดเวลาที่ต้องชำระไม่เกิน 30 วัน (เกิน|| |T + 3 แต่อยู่ภายใน T + 3 + 30) ให้คำนวณสินทรัพย์ || |สภาพคล่องสุทธิ โดยเปรียบเทียบระหว่าง "มูลหนี้" กับ || |"หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยง" ของลูกหนี้แต่ละราย || |ดังนี้ | | | | | ก. มูลหนี้ |ยอดเงินค้างชำระของลูกหนี้ บวกด้วย ดอกเบี้ยค้างรับ || |ตามบัญชี (ถ้ามี) (ไม่ต้องคำนวณดอกเบี้ยค้างรับทุกวัน || |แต่ใช้ยอดที่ตั้งค้างรับไว้แล้ว) | | | | | ข.หลักประกัน |มูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันการชำระหนี้ของลูกค้า || |ซึ่งได้แก่ | | |- หลักทรัพย์ตามคำสั่งซื้อของลูกค้าซึ่งยังมิได้ชำระค่าซื้อให้|| | บริษัท | | |- ทรัพย์สินที่ลูกหนี้นำมาวางเป็นประกันในการเปิดบัญชีซื้อ-|| | ขายหลักทรัพย์ด้วยเงินสดกับบริษัท || | | | ค.ค่าความเสี่ยง |ค่าความเสี่ยงของหลักประกัน = หลักประกัน x อัตราค่า || |ความเสี่ยงของหลักประกันนั้น || |การคำนวณมูลค่าหลักประกัน และค่าความเสี่ยงของหลัก || |ประกันประเภทต่าง ๆ ให้ใช้เกณฑ์ดังนี้ | | | | | |- เงินสด : คำนวณมูลค่าโดยใช้เงินที่ลูกค้านำมาวาง || | บวก ดอกเบี้ยค้างรับตามบัญชี (ถ้ามี) และค่าความเสี่ยง| | เท่ากับ 0% | | |- L/C หรือ หนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ || | คำนวณมูลค่าโดยใช้วงเงินที่ได้รับการค้ำประกัน และค่า|| | ความเสี่ยงเท่ากับ 0% || |- P/N NCD B/E ที่ออกโดยสถาบันการเงิน : คำนวณ | | | เหมือนข้อ 2 ตั๋วสัญญาใช้เงินและตั๋วแลกเงินที่ออกโดย || | สถาบันการเงิน | | |- หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือศูนย์ซื้อขาย|| | หลักทรัพย์ : คำนวณมูลค่าโดยใช้ราคาตลาด ณ วันที่ || | รายงาน ถ้าไม่มีให้ใช้ราคาอื่นที่เหมาะสม และคำนวณ || | ค่าความเสี่ยง โดยใช้อัตราความเสี่ยง ดังนี้ || | | | 1 ก.ค.-31 ธ.ค. 41 1 ม.ค. 42 เป็นต้นไป | |- หุ้นใน SET 50 ร้อยละ 10 ร้อยละ 10 | |- หุ้นที่ไม่อยู่ใน SET 50 ร้อยละ 10 ร้อยละ 30 | |- หุ้นที่ติดเครื่องหมาย C, SP ร้อยละ 100 ร้อยละ 100 | | ตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป | | | |- พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และตราสารหนี้อื่น|| | : คำนวณมูลค่าโดยใช้ราคาตลาด ณ วันที่รายงาน ถ้า || | ไม่มีให้ใช้ราคาอื่นที่เหมาะสม และคำนวณค่าความเสี่ยง|| | โดยใช้อัตราเช่นเดียวกับเงินลงทุนประเภทเดียวกันนี้ตาม| | ข้อ 4 : เงินลงทุน "หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยง"|| | หมายถึง "หลักประกัน" ตามช่อง ข. หักด้วย "ค่าความ| | เสี่ยง" ของหลักประกันตามช่องค. || | || 5.1.2.1 หลักประกันหลังหัก |หมายถึง ลูกค้ารายที่ "มูลหนี้" ต่ำกว่าหรือเท่ากับ "หลัก || ความเสี่ยงคุ้มหนี้ |ประกันหลังหักค่าความเสี่ยง" โดยในช่องก. ข. และ ค.|| |ให้ใช้ผลรวมของมูลหนี้หลักประกัน และค่าความเสี่ยง ตาม|| |ลำดับ ของลูกค้าทุกรายที่หลักประกันหลังหักค่าความเสี่ยง || |คุ้มหนี้ และในช่อง 5.1.2.1 ให้ใช้ "มูลหนี้" ในช่อง ก.|| |เป็นสินทรัพย์สภาพคล่องสุทธิ | | | | | 5.1.2.2 หลักประกันหลังหัก |หมายถึง ลูกค้ารายที่ "มูลหนี้" มากกว่า "หลักประกันหลัง|| ค่าความเสี่ยงไม่ |หักค่าความเสี่ยง" โดยในช่อง ก. ข. ค. ให้ใช้ผลรวม || คุ้มหนี้ |ของมูลหนี้ หลักประกัน และค่าความเสี่ยง ตามลำดับ ของ|| |ลูกค้าทุกรายที่หลักประกันหลักหักค่าความเสี่ยงไม่คุ้มหนี้ || |และในช่อง 5.1.2.2 ให้ใช้ "หลักประกัน" ตามช่อง ข.|| |หักด้วย "ค่าความเสี่ยง" ตามช่อง ค. เป็นสินทรัพย์ || |สภาพคล่องสุทธิ || | || 5.1.3 ลูกหนี้พ้นกำหนดชำระ |ลูกหนี้ซื้อหลักทรัพย์ตามคำสั่งที่ไม่ชำระเงินค่าซื้อหลักทรัพย์ || มากกว่า 30 วัน |และพ้นกำหนดชำระเงินเกินกว่า 30 วัน เกินกว่า T + 3|| |+30) ให้แสดงมูลหนี้ในช่องก. และหลักประกันในช่อง ข.|| |โดยใช้เกณฑ์เดียวกับข้อ 5.1.2 แต่ไม่ให้คิดเป็นสินทรัพย์ || |สภาพคล่อง || | | | 5.2 ลูกหนี้บัญชีมาร์จิน |บัญชีของลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ และลูกหนี้ยืม || |หลักทรัพย์ (Margin Account) ของลูกค้าทั่วไปที่บันทึก || |ในบัญชีมาร์จิ้น แต่ไม่รวมลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้อง || |บังคับคดี ประนอมหนี้หรือผ่อนชำระ ให้คำนวณโดย || |เปรียบเทียบระหว่าง "มูลหนี้" กับ "หลักประกันหลังหักค่า|| |ความเสี่ยง" ของลูกค้าแต่ละราย ถ้าลูกค้ามีบัญชีมาร์จิ้นทั้ง|| |ในระบบเดิมและระบบใหม่ บริษัทอาจนำมูลหนี้และหลัก || |ประกันของทั้ง 2 บัญชีมาคำนวณรวมกัน หรือแยกคำนวณ || |ระหว่างบัญชีระบบเดิมกับระบบใหม่ก็ได้ แต่ต้องปฏิบัติ || |เช่นเดียวกับสำหรับลูกหนี้ทุกราย || | | | ก. มูลหนี้ |ยอดหนี้คงค้างของลูกค้าในบัญชีมาร์จิ้น ซึ่งประกอบด้วย || | 1.การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ กรณีเป็นบัญชีในระบบ || |credit balance ให้ใช้ยอดเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์|| |ณ วันที่รายงาน (ไม่ใช่ยอดที่สุทธิจากยอด cash || |balance ของลูกค้า) และในกรณีเป็นบัญชีมาร์จิ้นในระบบ|| |เดิม (P/N หรือ cash margin) ให้ใช้มูลหนี้ที่รวมกำไร|| |ขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ค่านายหน้าค้างรับ และ || |ดอกเบี้ยค้างรับตามบัญชีแล้ว ทั้งนี้ มูลหนี้ของลูกค้าในบัญชี || |ตามระบบเดิมจะนำมาใช้คำนวณสินทรัพย์สภาพคล่องได้จน || |ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2542 | | | 2.การยืมหลักทรัพย์เพื่อขายชอร์ต ให้คำนวณมูลหนี้โดย || |ใช้ราคาตลาดของหลักทรัพย์ที่ให้ยืม ณ วันรายงาน | | | || ข. หลักประกัน |มูลค่าหลักประกันที่เป็นประกันการชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย || |ในบัญชีมาร์จิ้นของลูกค้า ทั้งนี้ เฉพาะหลักประกันประเภท || |ที่สามารถนำมาคำนวณในบัญชีมาร์จิ้นได้ ตามประกาศ || |สำนักงานว่าด้วยการปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ยืมเงินเพื่อซื้อ || |หลักทรัพย์ และการให้ยืมหลักทรัพย์เพื่อขายชอร์ต (เฉพาะ|| |เงินสด P/N B/E NCD หรือ L/C ของสถาบันการเงิน || |พันธบัตร หรือหลักทรัพย์จดทะเบียน) การคำนวณมูลค่า || |หลักประกันของลูกหนี้บัญชีมาร์จิ้นให้ใช้เกณฑ์เดียวกับ || |ข้อ 5.1.2 ||_______________________________|__________________________________________| (ยังมีต่อ)