ประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย                              เรื่อง การห้ามผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องขายหุ้น                                   และหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ.2544           อาศัยอำนาจตามความในข้อ 29 แห่งข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การรับหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน พ.ศ. 2544 ลงวันที่ 22 มกราคม 2544 คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดไว้ดังต่อไปนี้           ข้อ 1 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไป                                  ผลบังคับใช้          ข้อ 2 ในประกาศนี้                                                                      นิยาม          "หลักทรัพย์" หมายความว่า ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หุ้นกู้แปลงสภาพ หรือหลักทรัพย์อื่นที่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้           "สถาบันการเงิน"   หมายความว่า  ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และให้หมายความรวมถึงสถาบันการเงินอื่นใดที่คณะกรรมการประกาศกำหนด           "ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน"  หมายความว่า  ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีหน้าที่จัดหาหุ้นส่วนเกินเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้ได้รับการจัดสรรหรือส่งคืนให้แก่ผู้ให้ยืมตามข้อผูกพันในการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน           "จัดสรรหุ้นส่วนเกิน"  หมายความว่า  การจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อเกินกว่าจำนวนหุ้นที่จัดจำหน่ายโดยการจัดสรรหุ้นเกินจำนวนดังกล่าวได้กระทำไปพร้อมกับการเสนอขายหุ้นที่จัดจำหน่าย           "ขาย"  หมายความว่า  ขาย  จำหน่าย  จ่าย  โอน  แลกเปลี่ยน หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการจำหน่ายหุ้นหรือหลักทรัพย์ออกจากการครอบครอง หรือกระทำการใด ๆ ซึ่งจะมีผลเป็นการจำหน่ายหุ้นหรือหลักทรัพย์ออกจากการครอบครองเป็นการล่วงหน้า เว้นแต่โดยทางมรดกหรือได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์เพื่อการให้ยืมหุ้นแก่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ว่าด้วยการจัดสรรหุ้นเกินกว่าจำนวนที่จัดจำหน่าย           "ผลกำไร" หมายความว่า ผลต่างของราคาหุ้นหรือราคาหลักทรัพย์ที่เกิดจากราคาขายที่สูงกว่าราคาซื้อซึ่งคำนวณจากราคาหุ้นหรือราคาหลักทรัพย์ ณ วันที่บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายได้มา ซึ่งไม่รวมค่านายหน้าหรือประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง  และให้คำนวณแยกเป็นแต่ละรายการโดยไม่นำมาหักลบกัน โดยในการคำนวณราคาซื้อหรือราคาขายให้ถือตามราคาซื้อหรือราคาขายที่เกิดขึ้นจริง แต่ทั้งนี้ ราคาขายต้องไม่ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของหุ้นหรือหลักทรัพย์ดังกล่าวที่ปรากฏตามรายงานการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ในวันที่มีการซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้น           *ข้อ 3 ให้ผู้ยื่นคำขอสั่งห้ามบุคคลดังต่อไปนี้ นำหุ้นของตนซึ่งมีจำนวนรวมกันเป็น จำนวนร้อยละ               การหุ้นนำหุ้น65 ของทุนชำระแล้วหลังวันที่ผู้ยื่นคำขอเสนอขายหุ้นต่อประชาชนแล้วเสร็จและหลักทรัพย์อื่นที่อาจแปลงสภาพ                หรือหลักทรัพย์แห่งสิทธิเป็นหุ้นตามอัตราส่วนของหุ้นที่บุคคลดังกล่าวถูกสั่งห้ามขาย ออกขาย   ภายในกำหนดเวลาตามข้อ 4               ออกขายภายใน                        (1) ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารของผู้ยื่นคำขอ                                         ระยะเวลาที่                    (2) ผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ในกรณีที่บุคคลตาม (1) มีจำนวนหุ้นรวมกันต่ำกว่าจำนวน                กำหนดที่กำหนดข้างต้น           (*ความในข้อ 3 เดิมถูกยกเลิกและใช้ความใหม่นี้แทน โดยประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การห้ามผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องขายหุ้นและหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2547 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2547)           *ข้อ 3/1     -                     (*ยกเลิกความในข้อ 3/1 โดยประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การห้ามผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องขายหุ้นและหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2547 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2547)          *ข้อ 4 การห้ามขายตามข้อ 3 ให้มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี 6 เดือนนับแต่วันที่หุ้นของผู้ยื่นคำขอ               ระยะเวลากการทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ครบกำหนดระยะเวลาทุก ๆ  6 เดือน ให้บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายตามข้อ 3 สามารถ           ห้ามขายหุ้นหรือทยอยขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ถูกสั่งห้ามขายได้ในจำนวนร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นหรือหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกสั่งห้าม             หลักทรัพย์ขายตามข้อ 3 และข้อ 5            ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขออาศัยคุณสมบัติเรื่องการลงทุนในโครงการที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานในการยื่นคำขอให้รับหุ้นของผู้ยื่นคำขอเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ การห้ามขายตามข้อ 3 ให้มีกำหนดระยะเวลาดังต่อไปนี้                     (1) กรณีผู้ยื่นคำขอมีรายได้เชิงพาณิชย์จากการประกอบธุรกิจหลักก่อนยื่นคำขอให้รับหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ให้ระยะเวลาการห้ามขายมีกำหนดตั้งแต่วันที่หุ้นของผู้ยื่นคำขอเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จนถึงวันที่หุ้นของผู้ยื่นคำขอทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ครบ 3 ปี                     ภายหลังจากวันที่หุ้นของผู้ยื่นคำขอทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ครบ 1 ปี ให้บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายตามข้อ 3 สามารถทยอยขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ถูกสั่งห้ามขายได้ในจำนวนร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นหรือหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกสั่งห้ามขายตามข้อ 3 และข้อ 5 และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาทุก ๆ 6 เดือน ให้บุคคลดังกล่าวสามารถทยอยขายในจำนวนร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นหรือหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกสั่งห้ามขายดังกล่าว           2) กรณีผู้ยื่นคำขอไม่มีรายได้เชิงพาณิชย์จากการประกอบธุรกิจหลักก่อนยื่นคำขอให้รับหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ให้ระยะเวลาการห้ามขายมีกำหนดตั้งแต่วันที่หุ้นของผู้ยื่นคำขอเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จนถึงวันที่ผู้ยื่นคำขอมีรายได้เชิงพาณิชย์จากการประกอบธุรกิจหลักครบ 3 ปี           ภายหลังจากผู้ยื่นคำขอมีรายได้เชิงพาณิชย์จากการประกอบธุรกิจหลักครบ 1 ปี ให้บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายตามข้อ 3 สามารถทยอยขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ถูกสั่งห้ามขายได้ในจำนวนร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นหรือหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกสั่งห้ามขายตามข้อ 3 และข้อ 5 และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาทุก ๆ 6 เดือน ให้บุคคลดังกล่าวสามารถทยอยขายในจำนวนร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นหรือหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกสั่งห้ามขายดังกล่าว           (*ความในข้อ 4 เดิมถูกยกเลิกและใช้ความใหม่นี้แทน โดยประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การห้ามผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องขายหุ้นและหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2546 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2546)           *ข้อ 5 ในกรณีที่มีเหตุดังต่อไปนี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาการห้ามขายตามข้อ 4 ให้ผู้ยื่นคำขอสั่ง              การห้ามขายหุ้นห้ามบุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายตามข้อ 3 นำหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ได้รับการจัดสรรหรือการแปลงสภาพออกขายตามอัตรา             หรือหลักทรัพย์ที่ส่วนของหุ้นหรือหลักทรัพย์ของบุคคลดังกล่าวที่ถูกห้ามขายและระยะเวลาการห้ามขาย ที่เหลืออยู่ตามข้อ 4                  ได้รับจากการจัด                                                                                             สรรหรือแปลง                    (1) ผู้ยื่นคำขอมีการเพิ่มทุนและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม                          สภาพจากหุ้นที่                     (2) ผู้ยื่นคำขอมีการออกและจัดสรรหลักทรัพย์ใด ๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม                       ถูกสั่งห้ามขาย                    (3) ผู้ถือหุ้นเดิมมีการใช้สิทธิแปลงสภาพหลักทรัพย์เป็นหุ้น           (*ความในข้อ 5 เดิมถูกยกเลิกและใช้ความใหม่นี้แทน โดยประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การห้ามผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องขายหุ้นและหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2546 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2546)           ข้อ 6 บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายใดประสงค์จะให้ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินยืมหุ้นของตนเพื่อการจัดสรรหุ้นส่วน             การดำเนินการเกินต้องได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ โดยให้บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายยื่นคำขออนุญาตต่อตลาดหลักทรัพย์ผ่านผู้ยื่น             ในกรณีที่ให้คำขอหรือบริษัทจดทะเบียน แล้วแต่กรณี                                                                 ผู้จัดหาหุ้น          การยืมหุ้นเพื่อจัดสรรหุ้นส่วนเกินตามวรรคหนึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันแรกที่หุ้นที่ออก               ส่วนเกินยืมหุ้นใหม่ของผู้ยื่นคำขอหรือของบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์           ข้อ 7 ให้ผู้ยื่นคำขอหรือบริษัทจดทะเบียนนำหุ้นหรือหลักทรัพย์ของบุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายมาฝากไว้กับ             การนำหุ้นหรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ก่อนที่คณะกรรมการจะพิจารณาหุ้นของผู้ยื่นคำขอเพื่อซื้อขายในตลาด            หลักทรัพย์มาฝากหลักทรัพย์ หรือก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณารับหุ้นเพิ่มทุนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือภายใน 3 วันนับ             ไว้กับศูนย์ฝากแต่วันที่ผู้ยื่นคำขอได้แจ้งสิทธิหรือได้รับชำระเงินค่าซื้อหลักทรัพย์ แล้วแต่กรณี           ข้อ 8 เมื่อมีเหตุจำเป็นทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามที่กำหนดในข้อ 3  ข้อ 4  หรือข้อ 7 ให้             การขอผ่อนผันตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจพิจารณาผ่อนผัน โดยให้ผู้ยื่นคำขอหรือบริษัทจดทะเบียนแจ้งขอผ่อนผันเป็นหนังสือและชี้แจงเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้           ในกรณีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณารับหุ้นของผู้ยื่นคำขอเพื่อซื้อ     ขายในตลาดหลักทรัพย์ ให้ผู้ยื่นคำขอแจ้งผ่อนผันพร้อมกับการยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณารับหุ้นของผู้ยื่นคำขอเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์           ข้อ 9  ตลาดหลักทรัพย์อาจผ่อนผันการฝากหุ้นหรือหลักทรัพย์ตามข้อ 7 ได้ในกรณี  ดังต่อไปนี้                เหตุแห่งการ                    *(1) บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายได้นำหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ห้ามขายไปจำนำหรือวางเป็น               ผ่อนผันหลักประกันการกู้ยืมกับสถาบันการเงินไว้แล้วก่อนที่คณะกรรมการจะสั่งรับหุ้นของผู้ยื่นคำขอเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์           (*ความใน (1) ของข้อ 9 ถูกยกเลิกและใช้ความใหม่นี้แทน โดยประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การห้ามผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องขายหุ้นและหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2545)                     (2) บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายจะนำหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ห้ามขายไปจำนำหรือวางเป็นหลักประกันการกู้ยืมกับสถาบันการเงินหรือให้ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินยืมเพื่อการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน           ให้บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายทำสัญญากับสถาบันการเงิน โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามสถาบันการเงินบังคับจำนำหรือบังคับชำระหนี้จากหุ้นหรือหลักทรัพย์จำนวนดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนดห้ามขาย หรือทำสัญญากับผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินโดยกำหนดเวลาส่งคืนหุ้นให้บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายภายในระยะเวลาที่กำหนดตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการจัดสรรหุ้นเกินกว่าจำนวนที่จัดจำหน่าย           ข้อ 10 ในกรณีที่บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายนำหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ห้ามขายไปจำนำหรือ วางเป็นหลัก                การดำเนินการประกันการกู้ยืมกับสถาบันการเงิน  ให้ผู้ยื่นคำขอหรือบริษัทจดทะเบียนกำหนดให้สถาบัน  การเงินทำหนังสือ                ในกรณีที่นำหุ้นรับรองการทำสัญญา ซึ่งมีเงื่อนไขห้ามสถาบันการเงินบังคับจำนำหรือบังคับชำระหนี้จากหุ้นหรือหลักทรัพย์จำนวน              วางเป็นหลักประกันดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนดห้ามขาย และส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ก่อนที่คณะกรรมการจะพิจารณารับหุ้นของ              กับสถาบันการเงินผู้ยื่นคำขอเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณารับหุ้นเพิ่มทุนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้ทำสัญญา แล้วแต่กรณี  ทั้งนี้ หนังสือรับรองการทำสัญญาต้องระบุจำนวนหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่จำนำหรือวางเป็นหลักประกันการกู้ยืมด้วย           ข้อ 11 ในกรณีที่มีการไถ่ถอนจำนำหรือการวางเป็นหลักประกันการกู้ยืมหรือการส่งคืนหุ้นที่ยืม                 การดำเนินการและยังอยู่ในช่วงระยะเวลาการห้ามขายตามที่กำหนดไว้ในข้อ 4 ให้ผู้ยื่นคำขอนำหุ้นหรือ หลักทรัพย์ดังกล่าว                ในกรณีที่มีการมาฝากไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 7 ภายในระยะเวลาดังต่อไปนี้ต่อไปจนครบกำหนด                 ไถ่ถอนจำนำหรือระยะเวลาการห้ามขายตามที่กำหนดไว้ในข้อ 4                                                           วางเป็นหลักประกัน                    (1) ภายใน 3 วันทำการนับแต่วันที่ได้มีการไถ่ถอนจำนำหรือการวางเป็นหลัก                 และยังอยู่ในระยะประกันการกู้ยืม                                                                                  เวลาการห้ามขาย                    (2) ภายใน 5 วันทำการนับแต่วันที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินจัดหาหุ้นเพื่อส่งคืนให้แก่บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายได้ครบถ้วนหรือวันสิ้นสุดระยะเวลาที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินต้องจัดหาหุ้นเพื่อส่งคืนให้แก่บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการจัดสรรหุ้นเกินกว่าจำนวนที่จัดจำหน่าย ทั้งนี้ แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน ในกรณีผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินจัดหาหุ้นเพื่อส่งคืนหุ้นที่ยืมโดยวิธีการใช้สิทธิซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมหรือซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์                     (3) ภายใน 12 วันทำการนับแต่วันที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินจัดหาหุ้นเพื่อส่งคืนให้แก่บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายได้ครบถ้วนหรือวันสิ้นสุดระยะเวลาที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินต้องจัดหาหุ้นเพื่อส่งคนให้แก่บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ว่าด้วยการจัดสรรหุ้นเกินกว่าจำนวนที่จัดจำหน่าย ทั้งนี้ แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน ในกรณีผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินจัดหาหุ้นเพื่อส่งคืนหุ้นที่ยืมโดยวิธีการใช้สิทธิซื้อหุ้นจากผู้ยื่นคำขอ หรือบริษัทจดทะเบียน           ข้อ 12 ในกรณีที่บุคคลที่ถูกสั่งห้ามได้ขายหุ้นหรือหลักทรัพย์อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศฉบับนี้ ให้ผู้ยื่น              การฝ่าฝืนการคำขอหรือบริษัทจดทะเบียนปรับบุคคลดังกล่าวเป็นจำนวนเงินเท่ากับผลกำไรจากการขายหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นและ             ห้ามขายนำส่งค่าปรับให้ตลาดหลักทรัพย์ภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีการฝ่าฝืนหรือวันที่ผู้ยื่นคำขอหรือบริษัทจดทะเบียนทราบการฝ่าฝืนดังกล่าว           ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอหรือบริษัทจดทะเบียนไม่นำหุ้นมาฝากไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามข้อ 11 (2) และ(3)  อันเนื่องมาจากการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการของบุคคลที่ถูกสั่งห้ามขาย  ให้ถือว่าบุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายได้ขายหุ้นอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศฉบับนี้    และให้ผู้ยื่นคำขอหรือบริษัทจดทะเบียนปรับบุคคลดังกล่าวเป็นจำนวนเงินเท่ากับผลต่างของราคาเสนอขายหุ้นที่จัดจำหน่ายกับราคาหุ้นที่ให้ยืมซึ่งคำนวณจากราคาหุ้น ณ วันที่บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายได้มา แต่ทั้งนี้เงินค่าปรับต้องไม่น้อยกว่า 2 แสนบาท และนำส่งค่าปรับให้ตลาดหลักทรัพย์ภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีการฝ่าฝืนหรือวันที่ผู้ยื่นคำขอหรือบริษัทจดทะเบียนทราบการฝ่าฝืนดังกล่าว           ข้อ 13 ในกรณีที่ระยะเวลาการห้ามขายของบุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายตามประกาศคณะกรรมการตลาด             การไม่นำหุ้นหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  เรื่อง  หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการห้ามผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้อง             มาฝากไว้กับขายหุ้นและหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ 1)  พ.ศ.2542  ลงวันที่ 13 มกราคม  2542 ยัง              ศูนย์รับฝากไม่ครบกำหนดระยะเวลาก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้ระยะเวลาดังกล่าวยังคงมีอยู่ต่อไปจนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาการห้ามขายของบุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยดังกล่าว                ประกาศ ณ วันที่  22  มกราคม  2544                                                    (ลงนาม) อมเรศ  ศิลาอ่อน                                                      (นายอมเรศ  ศิลาอ่อน)                                                         ประธานกรรมการ                                                    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย