Daily Forecast Distribution On Feb 23, 2011

ข่าวทั่วไป Thursday February 24, 2011 07:50 —กรมอุตุนิยมวิทยา

อัตราแลกเปลี่ยน
สกุลเงิน 23 ก.พ.54 (ล่าสุด) 22 ก.พ.54 (ปิด) USD/THB 30.60 30.60 USD/JPY 82.72 82.73 EUR/USD 1.3706 1.3653

เงินบาททรงตัว ขณะที่ เงินยูโรแข็งค่าขึ้น หลังจากที่การแสดงความกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อของเจ้าหน้าที่ ECB กระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ECB

ราคาทองและน้ำมัน
ราคา 23 ก.พ.54 (ล่าสุด) 22 ก.พ.54 (ปิด) น้ำมัน NYMEX($ /บาร์เรล) 96.11 93.57 ทองคำโลก ($ /ออนซ์) 1,401.45 1,400.51

ราคาน้ำมันตลาดล่วงหน้าสหรัฐฯปรับขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงในลิเบียซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกน้ำมัน ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ

ประเด็นเด่นวันนี้

เวียดนามปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Refinancing Rate เป็นร้อยละ 12 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ธนาคารกลางเวียดนาม (The State Bank of Vietnam: SBV) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Refinancing Rate จากร้อยละ 11.0 เป็นร้อยละ 12.0 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อที่แตะระดับร้อยละ 12.17 ในเดือนมกราคม 2554 สูงสุดในรอบ 23 เดือน ประกอบกับการปรับลดค่าเงินด่องถึงร้อยละ 8.5 ไปเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 ที่อาจมีผลต่อทิศทางเงินเฟ้อของเวียดนาม ทำให้ล่าสุดทางการเวียดนามต้องเข้ามาควบคุมเงินเฟ้ออย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Refinancing Rate ซึ่งน่าจะช่วยดูดซับสภาพคล่องได้พอสมควร ขณะเดียวกันก็อาจส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของธุรกิจต่างๆ สูงขึ้น และชะลอการเติบโตของสินเชื่อในประเทศเวียดนามได้ อันน่าจะมีส่วนช่วยชะลอการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามลงระดับหนึ่ง ทั้งนี้ เป็นที่คาดว่าทางการเวียดนามอาจมีมาตรการต่างๆ เพิ่มเติมตามมาอีก เพื่อให้การควบคุมเงินเฟ้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

(โทรศัพท์ติดต่อ 02 273 1276)

เหตุประท้วงในลิเบียทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่โมร็อกโกได้ออกมาประท้วงเช่นเดียวกัน ความวิตกกังวลจากเหตุประท้วงที่ลุกลามในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางดันราคาน้ำมันสูงต่อเนื่อง ทั้งตลาดไนเม็กซ์ (NYMEX) นิวยอร์ก โดยระดับราคาน้ำมันปรับขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรลอีกครั้งหลังจากเหตุประท้วงในอียิปต์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ตลาดลอนดอน พุ่งสูงกว่า 105 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล (22 ก.พ. 54) สูงสุดนับตั้งแต่ 22 ก.ย. 2551

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า แม้หลายฝ่ายคาดว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่แพร่กระจายในหลายพื้นที่ของ แอฟริกาและตะวันออกกลาง อันได้แก่ ตูนีเซีย อียิปต์ จิบูติ บาห์เรน อิหร่าน และประเทศล่าสุดโมร็อกโก ซึ่งอยู่ในภูมิภาคแอฟริกาเหนือ อาจไม่รุนแรงนักเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่สถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าว ก็นับว่าสร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุนพอสมควรว่าจะเกิดการลุกลามเลียนแบบการประท้วงเช่นเดียวกันไปยังซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกและใกล้ชิดกับบาห์เรน อีกทั้งการประท้วงที่ยืดเยื้อก็อาจส่งผลกระทบต่อระดับราคาน้ำมันโลกได้ เนื่องจากภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาผลิตน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36 ของการผลิตน้ำมันโดยรวม โดยลิเบียก็เป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่สำคัญแถบแอฟริกาเหนือ และมีปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 44.3 พันล้านบาร์เรล (ปี 2552) มากที่สุดในแอฟริกา (โทรศัพท์ติดต่อ 02 273 1874)

ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบ 22 เดือนจากการส่งออกที่ชะลอตัวลง โดยมูลค่าการส่งออกเดือน ม.ค. 2554 บันทึกยอดที่ 4.971 ล้านล้านเยน เติบโตร้อยละ 1.4 (YoY) ชะลอลงหลังจากที่ได้เร่งตัวขึ้นติดต่อกันในดือน พ.ย.-ธ.ค. 2553 ที่ผ่านมา โดยมูลค่าการส่งออกไปยังเอเชียซึ่งครองสัดส่วนกว่าครึ่งของการส่งออกของญี่ปุ่น ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.4 (YoY) และการส่งออกไปยังจีนขยายตัวเพียงร้อยละ 1.0 (YoY) เท่านั้น ในขณะที่การนำเข้าบันทึกยอดได้ 5.442 ล้านล้านเยน ขยายตัวร้อยละ 12.4 (YoY) ส่งผลให้ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2552 ด้วยมูลค่า 4.714 แสนล้านเยน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งออกของญี่ปุ่นที่ชะลอตัวลงเป็นผลจากการที่ประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะจีน และเกาหลีใต้ มีการระงับกิจกรรมการผลิตในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทำให้การสั่งซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นชะลอตัวลงตามไปด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศคู่ค้าเหล่านั้นแล้ว คาดว่าจะมีการสั่งนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นตามปกติได้ในเดือนถัดไป ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกของญี่ปุ่นกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่ควรจับตามองเศรษฐกิจญี่ปุ่นนับจากนี้ ได้แก่ เสถียรภาพของพรรครัฐบาล และการผลักดันการปฏิรูประบบภาษี ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการแก้ไขปัญหาการคลังรัฐบาลที่กำลังย่ำแย่ นอกจากนั้นยังมีปัญหาเดิมที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคในประเทศที่อ่อนแอ จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น การว่างงานที่ยังสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตปี 2551 และภาวะเงินฝืด ซึ่งนับเป็นความท้าทายของรัฐบาลญี่ปุ่นพอสมควร (โทรศัพท์ติดต่อ 02 273 1276)

เศรษฐกิจของเม็กซิโกปี 2553 ขยายตัวร้อยละ 5.5 (YoY) สูงสุดในรอบ 10 ปี หลังจากที่หดตัวร้อยละ 6.1 ในปี 2552 โดยในไตรมาส 4/2553 ขยายตัวร้อยละ 4.6 (YoY) สำหรับภาคการผลิตในปี 2553 ขยายตัวร้อยละ 6.0 การก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 4.3 และภาคการบริการขยายตัวร้อยละ 4.2 ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจของเม็กซิโกในปี 2554 จะเติบโตร้อยละ 4.5

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า เม็กซิโกเป็นประเทศในกลุ่มละตินอเมริกาที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากบราซิล ซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายหลังจากประสบภาวะถดถอยดังกล่าว นับเป็นสัญญาณบวกสะท้อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคละตินอเมริกา อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นตามระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมันและวัตถุดิบอาหาร ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบความต้องการบริโภคในประเทศเม็กซิโกได้ เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศนับเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเม็กซิโกในปี 2554 ที่จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงมากขึ้น นอกเหนือจากภาคการผลิตเพื่อการส่งออกที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจเม็กซิโกในปี 2553 ที่ผ่านมา

(โทรศัพท์ติดต่อ 02 273 1874)

Thai Meteorological department (02) 398-9874


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ