บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่
ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตสะท้อนฐานะการเป็นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งลงทุนในกลุ่มธนชาต
ตลอดจนอำนาจการบริหารงานในธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ผ่านการถือหุ้น 50.96% และผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลที่
ได้รับอย่างสม่ำเสมอจากธนาคารธนชาต ในการจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ ระบบการบริหาร
ความเสี่ยงที่พัฒนาจนได้มาตรฐาน ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง รวมถึงการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและเงินทุนจากพันธมิตรคือ Bank
of Nova Scotia (BNS) นอกจากนี้ การที่ธนาคารธนชาตซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ยังช่วยเสริม
สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ทั้งสถานะทางการตลาด ธุรกิจที่หลากหลาย และฐานะทางการเงินในอนาคตอันเป็นผลจากการเติบโต
ของสินเชื่อ ฐานเงินรับฝาก และจำนวนสาขาของธนาคารด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีข้อจำกัดจากความอ่อนแอของ
คุณภาพสินทรัพย์ รวมถึงความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการโอนกิจการของธนาคารนครหลวงไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ
ธนาคารธนชาต อันดับเครดิตยังถูกจำกัดด้วยสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ และธุรกิจ
หลักทรัพย์ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศและสภาพเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวจำกัดความ
สามารถในการทำกำไรของกลุ่มและโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงความคาดหมายที่ธนาคารธนชาตซึ่งเป็นแหล่งรายได้ หลักของบริษัททุนธนชาตจะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นในช่วงเวลาของการรับโอนธุรกิจ และสามารถใช้จุดแข็งต่าง ๆ ของธนาคารธนชาต ธนาคารนครหลวงไทย และ BNS ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดของธุรกิจหลัก ของบริษัททุนธนชาตได้เป็นอย่างดี และจะส่งผลให้บริษัทมีรายได้ที่มั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป นอกจากนี้ การสนับสนุนด้านเงินทุน และความเชี่ยวชาญทางธุรกิจจากทั้ง BNS และบริษัททุนธนชาตจะช่วยให้ผลการดำเนินงานโดยรวมของธนาคารธนชาตดียิ่งขึ้น อีก ทั้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์ภายหลังการซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทยได้โดยเร็ว ทั้งนี้ ความแข็งแกร่งของฐานเงินทุนและความเพียงพอของสภาพคล่องยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่อาจเกิด ขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ทริสเรทติ้งรายงานว่า BNS กลายมาเป็นพันธมิตรธุรกิจของบริษัททุนธนชาตโดยมีสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารธนชาต
24.98% ในปี 2550 และเพิ่มขึ้นเป็น 48.99% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2552 บริษัทและ BNS ได้
เพิ่มทุนในธนาคารธนชาตอีกจำนวน 2,000 ล้านบาท และด้วยกลยุทธ์การเติบโตของธนาคารธนชาต บริษัทและ BNS ได้เพิ่มทุน
ในธนาคารธนชาตอีกครั้งจำนวน 35,790 ล้านบาทในเดือนเมษายน 2553 เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการซื้อหุ้นธนาคารนครหลวง
ไทยจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินและจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยอื่น ๆ เป็นผลให้ธนาคารนครหลวงไทยกลาย
เป็นบริษัทย่อยของธนาคารธนชาตซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 99.24% การซื้อธนาคารนครหลวงไทยช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่
ธนาคารธนชาต อีกทั้งยังเป็นการกระจายพอร์ตสินเชื่อซึ่งทำให้สัดส่วนระหว่างสินเชื่อภาคธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยของธนาคาร
ธนชาตดีขึ้น
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 บริษัททุนธนชาตมีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 (เพิ่มขึ้นจากอันดับ 8 ในปี 2551) ในหมู่
ธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของสินเชื่อที่ 9.3% และของเงินรับฝากที่ 7.9% บริษัทมีสินทรัพย์รวม
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 จำนวน 845,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.74% จากสินทรัพย์รวมในปี 2552 ที่มีจำนวน 459,965
ล้านบาท รายได้รวมสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2553 เป็นรายได้ที่มาจากธนาคารธนชาตและบริษัทย่อยจำนวน 94% ที่เหลือ
อีก 6% เป็นรายได้จากบริษัทและบริษัทย่อยอื่น ๆ (รวมทั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็น เอฟ เอส จำกัด และ บริษัท บริหาร
สินทรัพย์ แม๊กซ์ จำกัด)
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงฐานะการเงินของบริษัททุนธนชาตว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2552 จำนวน
5,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิสำหรับปี 2551 ที่มีจำนวน 2,768 ล้านบาท บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับ 9
เดือนแรกของปี 2553 จำนวน 4,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 ที่จำนวน 3,936 ล้านบาท
อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยในปี 2552 เท่ากับ 1.20% เพิ่มขึ้นจาก 0.77% ในปี 2551 อย่างไรก็ตาม อัตรา
ส่วนสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2553 เท่ากับ 0.65% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) เป็นผลจากการที่บริษัทมี
สินทรัพย์ขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 2 เท่าภายหลังการควบรวมกิจการกับธนาคารนครหลวงไทย อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัว
เฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 8.57% ในปี 2551 เป็น 12.81% ในปี 2552 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนสำหรับงวด 9 เดือนแรก
ของปี 2553 ลดลงไปอยู่ที่ 7.24% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
(BNS) ตามการเพิ่มทุนในธนาคารธนชาต
บริษัททุนธนชาตได้สร้างคณะผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถให้การสนับสนุนบริษัทย่อยเพื่อให้มีความ สามารถในการแข่งขันได้ อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวเพื่อพร้อมรับกับสภาวะทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง ได้เป็นอย่างดี บริษัทได้พัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การแข่งขัน ที่รุนแรงในธุรกิจธนาคารอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายธุรกิจและการทำกำไรของธนาคารธนชาตในอนาคต ทริสเรทติ้งกล่า ว — จบ