ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ใหม่ “บ. เอ็ม บี เค” ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Friday March 4, 2011 16:52 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของ บริษัท

เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A”

ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดใน

เดือนกรกฎาคม 2554 อันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นของบริษัทในธุรกิจให้เช่าพื้นที่ ตลอดจนการมี

กระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธนชาต รวมถึงความสามารถในการรักษาอัตรา

การก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และความยืดหยุ่นด้านการเงินที่ดีจากการลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวนมาก อย่างไรก็

ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากต้นทุนการดำเนินงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากสัญญาเช่าที่ดินและทรัพย์สินของศูนย์การค้าฉบับ

ใหม่ที่จะเริ่มในปี 2556 และการขยายสู่ธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอน

จากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกซึ่งจะช่วยชดเชยผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในธุรกิจโรงแรมได้ และคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับคุณภาพ

สินเชื่อรถจักรยานยนต์เอาไว้ในระดับที่ดีจากการมีขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวด ทั้งนี้ แผนราย

จ่ายฝ่ายทุนที่อยู่ในระดับปานกลางในปี 2553-2554 ทำให้คาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้าง

เงินทุนในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเอ็ม บี เค ก่อตั้งในปี 2517 ปัจจุบัน บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทใน

เครือเป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทในสัดส่วนรวม 20% บริษัทดำเนินธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า โรงแรม สนามกอล์ฟ พัฒนาโครงการที่

อยู่อาศัย โรงสีข้าว และธุรกิจการเงิน โดยเป็นเจ้าของและบริหารจัดการศูนย์การค้า “เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นศูนย์การ

ค้าที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะมีธุรกิจที่หลากหลาย แต่ผลประกอบการของบริษัทยังคงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์หลักอย่างศูนย์

การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และ “โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส” เป็นอย่างมาก ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวตั้งอยู่บนที่ดินเช่าติดกับย่าน

สยามสแควร์ในกรุงเทพฯ โดยในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ประมาณ 40% และกระแสเงินสดประมาณ 65% ให้

แก่บริษัท

เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของรายได้ บริษัทได้ขยายการลงทุนในธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วน

การลงทุน 31% ใน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและบริหารศูนย์การค้าในย่านสยามสแควร์ โดยบริษัทสยาม

พิวรรธน์เป็นผู้ถือหุ้น 100% ในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ (18,700 ตารางเมตร, ตร.ม.) และศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่

เซ็นเตอร์ (24,890 ตร.ม.) และถือหุ้น 50% ในศูนย์การค้าสยามพารากอน (186,010 ตร.ม.) นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุน

ระหว่างบริษัทและบริษัทสยามพิวรรธน์ในสัดส่วน 50% ยังได้ทำการปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ให้เช่าของ “ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค”

(เดิมชื่อ “ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์”) พื้นที่ 90,000 ตร.ม. จนแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม

2553 ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) แห่งแรกของบริษัทซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระราม 9

โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดดำเนินการในช่วงกลางปี 2554 ณ เดือนธันวาคม 2553 บริษัทบริหารพื้นที่ค้าปลีกสุทธิ 192,786 ตร.

ม. โดยพื้นที่จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยภายหลังการเปิดให้บริการศูนย์การค้าชุมชน การซื้ออาคารสำนักงานขนาด 8,223 ตร.ม. เมื่อ

เดือนมิถุนายน 2553 ส่งผลให้บริษัทมีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 48,921 ตร.ม.

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า นอกจากธุรกิจพื้นที่ให้เช่าแล้ว ในเดือนเมษายน 2553 บริษัทเอ็ม บี เคยังซื้อกิจการของ บริษัท

ที ลีสซิ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ด้วย โดย ณ เดือนธันวาคม 2553 บริษัทที ลีสซิ่ง มียอดสินเชื่อเช่าซื้อรถ

จักรยานยนต์คงค้าง 796 ล้านบาท จัดว่าเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดีจากการมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

ต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 3.55% อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อไปพร้อม ๆ กับการขยายขนาด

สินเชื่อนับเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับบริษัทเอ็ม บี เค

แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเหตุการณ์ความ ไม่สงบของการเมืองภายในประเทศ แต่บริษัทเอ็ม บี เคก็ยังมีผลประกอบการในระดับที่ยอมรับได้ โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5,800 ล้านบาทในช่วง 3 ปีบัญชีล่าสุด และในช่วง 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2553/2554 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2553) บริษัทมี รายได้เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 3,708 ล้านบาทภายหลังการเปิดศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์คและการเริ่มให้ บริการธุรกิจการเงิน และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 567 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไร จากการดำเนินงานของบริษัทลดลงเล็กน้อยจาก 29.84% ในปีบัญชี 2552/2553 เป็น 29.08% ในช่วง 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2553/2554 เงินทุนจากการดำเนินงานคงอยู่ที่ระดับ 1,700-1,800 ล้านบาทในช่วง 3 ปีบัญชีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 3,458 ล้านบาทในปีบัญชี 2552/2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการให้เช่าพื้นที่ระยะยาวในศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ใน ช่วงปลายปี 2552 ซึ่งทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงิน กู้รวมปรับตัวดีขึ้นจาก 22.53% ในรอบปีบัญชี 2551/2552 เป็น 45.47% ในปีบัญชี 2552/2553 แม้ว่าเงินกู้รวมของบริษัทจะ เพิ่มขึ้นจาก 7,604 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 เป็น 8,155 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 แต่อัตราส่วนเงินกู้ รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ เดือนธันวาคม 2553 ค่อนข้างคงที่ที่ระดับ 38.63% นอกจากนี้ ในปีบัญชี 2552/2553 บริษัทยังรับรู้ กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนจำนวน 2,233 ล้านบาทซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้มีมากขึ้น และ ณ เดือนธันวาคม 2553 บริษัทยังมีเงินลงทุนชั่วคราวอีกจำนวน 5,572 ล้านบาทด้วย ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) (MBK)
อันดับเครดิตองค์กร:	                             คงเดิมที่ A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
MBK117A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554	คงเดิมที่ A
MBK137A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556	คงเดิมที่ A
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2559
A
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                            Stable (คงที่)
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บ
ไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่า
ในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอ
แนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือ
ของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะ
อื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิ
ได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควร
ประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิต
นี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ
หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่
ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการ
กระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน
Website: http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ