บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ที่ ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทใน อุตสาหกรรมน้ำตาลทั้งในประเทศไทยและจีน ตลอดจนแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี กระบวนการผลิตน้ำตาลที่มี ประสิทธิภาพ การขยายกิจการสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำตาล และความสามารถในการรักษาโครงสร้างเงินทุนในระดับที่ยอมรับ ได้ นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงความ เสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำตาลและปริมาณผลผลิตอ้อยด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่ากลุ่มมิตรผลจะยังคงดำรงสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลทั้งในประเทศไทยและจีนต่อ ไป ด้วยประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจน้ำตาลและกระแสเงินสดที่มาจากหลายธุรกิจทั้งจากธุรกิจน้ำตาลและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องน่า จะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับความผันผวนของราคาน้ำตาลในตลาดโลกและมาตรการต่าง ๆ ที่มิอาจคาดการณ์ของทางการจีน ได้ และแม้จะมีแผนการใช้เงินลงทุนจำนวนมากในช่วงปี 2555 ถึง 2557 แต่ก็คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครง สร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 55% ต่อไปในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทน้ำตาลมิตรผลก่อตั้งในปี 2489 โดยตระกูลว่องกุศลกิจ ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจ อ้อยและน้ำตาลของไทยโดยมีตระกูลว่องกุศลกิจถือหุ้นเต็ม 100% ผ่าน บริษัท น้ำตาลมิตรสยาม จำกัด โรงงานน้ำตาลของกลุ่ม มิตรผลในประเทศไทยมี 5 แห่ง โดยมีกำลังการหีบอ้อยรวม 146,000 ตันอ้อยต่อวัน ในปีการผลิต 2553/2554 กลุ่มมิตรผลยัง คงเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีผลผลิตน้ำตาล 1.87 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 19.3% ของปริมาณน้ำตาลทั้ง ประเทศ ประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลของโรงงานที่ระดับ 106.10 กิโลกรัม (กก.) ต่อตันอ้อยนับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ อุตสาหกรรมที่ 101.33 กก. ต่อตันอ้อย นอกจากนี้ กลุ่มมิตรผลยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดด้านปริมาณอ้อยสูงสุดในสัดส่วน 18.5% ของปริมาณอ้อยทั้งประเทศ รองลงมาคือกลุ่มไทยรุ่งเรือง (17.2%) กลุ่มไทยเอกลักษณ์ (12%) กลุ่มวังขนาย (7.7%) และกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น (6.5%)
นอกเหนือจากธุรกิจน้ำตาลในประเทศแล้ว บริษัทยังเป็นเจ้าของและบริหารโรงงานน้ำตาล 7 แห่งในประเทศจีน ด้วย โดยมีผลผลิตน้ำตาล 1.03 ล้านตันในปีการผลิต 2553/2554 ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 9.80% ซึ่งถือเป็นผู้ผลิต รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศจีน ด้วยประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลที่ระดับ 124.21 กก. ต่อตันอ้อย รายได้รวมของกลุ่มมิตรผล ในปีการผลิต 2553 (พฤศจิกายน 2552-ตุลาคม 2553) อยู่ที่ 55,060 ล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ราคา และค่าตัดจำหน่ายรวม (EBITDA) อยู่ที่ 11,686 ล้านบาท ราคาน้ำตาลในประเทศจีนที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมากส่งผล ทำให้รายได้จากธุรกิจน้ำตาลในประเทศจีนมีสัดส่วน 39.8% ของรายได้รวมของกลุ่ม และคิดเป็น 51.5% ของ EBITDA รวม ของกลุ่ม
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทน้ำตาลมิตรผลยังขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำตาลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุด จากอ้อย ได้แก่ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ธุรกิจผลิตเอทานอล ธุรกิจผลิตแผ่นไม้อัด และธุรกิจผลิตกระดาษ โดยปัจจุบันโรงงานเอทานอ ลของบริษัทในประเทศไทยมีกำลังการผลิตที่ 690,000 ลิตรต่อวัน EBITDA ของธุรกิจเอทานอลเพิ่มขึ้นจาก 1,815 ล้านบาทในปี การผลิต 2552 เป็น 2,860 ล้านบาทในปีการผลิต 2553
ผลการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น โดยในปีการผลิต 2553 บริษัทมีรายได้รวม 55,060 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% จากปีการผลิต 2552 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาขายที่เพิ่มขึ้นของน้ำตาลและเอทานอล ในช่วง 9 เดือนแรกของปี การผลิต 2554 รายได้ของบริษัทสูงถึง 57,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.4% จาก 44,592 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีการ ผลิต 2553 รายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากราคาขายน้ำตาลทั้งในประเทศไทยและจีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อัตราส่วนกำไรจากการ ดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายดีขึ้นจาก 15.56% ในปีการผลิต 2552 เป็น 20% ในปีการ ผลิต 2553 อัตราส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปีการผลิต 2554 เท่ากับ 25.05% ใกล้เคียงกับ 25.23% ในช่วงเดียวกันของปี การผลิต 2553 กระแสเงินสดของบริษัทในช่วงปีการผลิต 2553 ถึง 9 เดือนแรกของปีการผลิต 2554 แข็งแกร่งขึ้น โดยมีอัตรา ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 41.28% ในปีการผลิต 2553 จาก 21.60% ในปีการผลิต 2552 และ เท่ากับ 37.15% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีการผลิต 2554 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 33.76% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงเดียวกันของปีการผลิต 2553 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้าง เงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 38.96% ในปีการผลิต 2553 จาก 50.85% ในปีการผลิต 2552 และ 55.71% ในปีการผลิต 2551
ปริมาณผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลในตลาดโลกมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ในปีการผลิต 2553/2554 ปริมาณผล ผลิตอ้อยของไทยที่ 95 ล้านตันอ้อย ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกอ้อย ราคาน้ำตาล ทรายดิบในตลาดโลกในเดือนมกราคม 2554 อยู่ในระดับสูงที่ 36.11 เซนต์/ปอนด์เนื่องจากผลผลิตที่ลดลงในประเทศ ออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ระดับราคาได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 28 เซนต์/ปอนด์ในเดือนตุลาคม 2554 จากผลผลิต น้ำตาลที่เพิ่มขึ้นของไทย ส่วนในประเทศจีนนั้น ราคาน้ำตาลมักเปลี่ยนแปลงไปตามอุปสงค์และอุปทานภายในประเทศ รวมทั้งตาม การบริหารจัดการของรัฐบาลจีน โดยราคาน้ำตาลของจีนปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณ 5,000 หยวนต่อตันในปีการผลิต 2552/2553 เป็นประมาณ 7,400 หยวนต่อตันในเดือนกันยายน 2554 ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ