บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) เป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทที่ระดับ “BBB” ด้วย การปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัทที่อ่อนแอลงซึ่งเป็นผลจากต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นและฐานะการเงินที่อ่อนแอลงจากภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ปรับลดลงซึ่งเกิดจากผลการดำเนินงานและโครงสร้างเงินทุนที่อ่อนแอลง ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับกลับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากบริษัทแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทสามารถกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ ในทางตรงกันข้ามอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทใช้เวลาในการฟื้นฟูความได้เปรียบด้านต้นทุนและฐานะการเงินนานกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) ในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนของไทย รวมถึงการมีโรงงานที่มีประสิทธิภาพและมีการผลิตที่ครบวงจร ตลอดจนตราสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์กระดาษ “ดั๊บเบิ้ล เอ” อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนด้านราคาซึ่งเป็นลักษณะโดยธรรมชาติของอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อและกระดาษ ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงอุปสงค์ของกระดาษที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ การจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัทที่ยังไม่แล้วเสร็จและธุรกรรมบางรายการระหว่างบริษัทกับบริษัทที่เกี่ยวข้องที่ยังคงมีอยู่ในช่วงการจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัทยังคงเป็นข้อกังวลสำหรับอันดับเครดิตของบริษัท
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) เป็นผู้นำในการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษพิมพ์เขียนในประเทศไทยโดยเป็นเจ้าของโรงงานผลิตกระดาษจำนวน 3 โรงงานซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 473,000 ตันต่อปี และมีโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจำนวน 2 โรงงานซึ่งมีกำลังการผลิต 427,000 ตันต่อปี โดยประมาณ 85% ของเยื่อกระดาษที่ผลิตได้จะนำมาใช้ภายในเพื่อการผลิตกระดาษของบริษัท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารายได้จากการจำหน่ายกระดาษคิดเป็นประมาณ 90% ของรายได้รวมของบริษัท ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายเยื่อกระดาษคิดเป็น 10% ของรายได้รวม รายได้ของบริษัทมีการกระจายตัวในหลายภูมิภาค โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 รายได้ของบริษัทมาจากการจำหน่ายภายในประเทศ 33% อีก 67% มาจากการส่งออกซึ่งประกอบด้วยรายได้จากตลาดในภูมิภาคเอเซีย 52% และภูมิภาคอื่น ๆ 15%
ณ เดือนมีนาคม 2555 นายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วน 76.2% โดยบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) ได้ถอนการจดทะเบียนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2551 เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทและกลุ่มบริษัท โดยบริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาคในปี 2552 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยบริษัทจึงต้องเลื่อนแผนดังกล่าวออกไป ในระหว่างปี 2552-2554 กลุ่มบริษัทมีการโอนย้ายและขายสินทรัพย์ระหว่างกันหลายรายการ สำหรับแผนการปรับโครงสร้างของกลุ่มบริษัทนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้งและใช้ระยะเวลานานกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้
ผลการดำเนินงานของบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) ในปี 2554 อ่อนแอลง แม้ว่าบริษัทจะมีรายได้ค่อนข้างคงที่ที่ 18,317 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก บริษัทรายงานผลขาดทุนจำนวน 105 ล้านบาทสำหรับปี 2554 การเพิ่มขึ้นของราคาชิ้นไม้สับและเยื่อใยยาวซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตกระดาษ ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอลง
ในปี 2554 บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) มีปริมาณจำหน่ายทั้งกระดาษและเยื่อกระดาษค่อนข้างคงที่ที่ประมาณ 500,000 ตันและ 73,000 ตันตามลำดับ เนื่องจากประมาณ 70% ของรายได้ของบริษัทมาจากการส่งออก ดังนั้นการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐจึงมีผลต่อรายได้รวมของบริษัท โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 7.5% และ 3.8% ในปี 2553 และ 2554 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์กระดาษนั้น บริษัทเน้นที่กระดาษพิมพ์เขียนโดยเฉพาะกระดาษรีมเล็กเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เมื่อเทียบราคากระดาษพิมพ์เขียนกับราคาเยื่อกระดาษ ราคากระดาษพิมพ์เขียนจะมีราคาที่ค่อนข้างคงที่กว่าโดยเฉพาะภายใต้ตราสินค้า “ดั๊บเบิ้ล เอ” ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่ายประมาณ 60% ของปริมาณการจำหน่ายกระดาษทั้งหมดของบริษัท ตราสินค้า “ดั๊บเบิ้ล เอ” ที่แข็งแกร่งช่วยให้บริษัทสามารถคงราคาขายได้ในปี 2554 ดังนั้นบริษัทจึงมีรายได้ลดลงเพียง 0.8% เหลือ 18,317 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 บริษัทมีรายได้ 10,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระดาษ และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งสามารถชดเชยราคาจำหน่ายของเยื่อกระดาษที่ลดลงได้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 บริษัทมีปริมาณจำหน่ายเยื่อกระดาษได้เพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่รายได้จากผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษนี้ลดลง 6.8% เหลือ 881 ล้านบาท ส่วนยอดขายกระดาษนั้นมีปริมาณเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้จากผลิตภัณฑ์นี้เพิ่มขึ้น 4.3% เป็น 9,400 ล้านบาท
อัตรากำไรของบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 เป็นต้นมาเมื่อบริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพิ่มมากขึ้นสำหรับการเปิดตลาดใหม่ในทวีปอาฟริกาและยุโรปตะวันออกเพื่อรองรับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อโรงผลิตกระดาษที่ 3 (PM#3) ของบริษัทเริ่มดำเนินงาน ซึ่งโรงงานผลิตกระดาษแห่งที่ 3 นี้จะเป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในกลุ่มด้วยกำลังการผลิตกระดาษขนาด 220,000 ตันต่อปี โดยมีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 6,400 ล้านบาท นอกจากนี้ อัตรากำไรของบริษัทยังถูกกดดันจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นโดยเฉพาะราคาชิ้นไม้สับและเยื่อใยยาว ทั้งนี้ ราคาชิ้นไม้สับเพิ่มขึ้น 11.4% ในปี 2554 และ 5.6% ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทยเมื่อช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ทำให้ค่าใช้จ่ายในการจัดหาไม้และค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาของบริษัทจึงลดลงจาก 14.0% ในปี 2553 เหลือ 8.2% ในปี 2554 สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 อัตรากำไรดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 10.1% จากการลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดของบริษัท อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรของบริษัทยังคงต่ำกว่าในอดีตที่บริษัทเคยทำได้ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 15.0% ระหว่างปี 2547 ถึงปี 2551
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) น่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตหากกลยุทธ์การจัดหาวัตถุดิบของบริษัทประสบความสำเร็จ และหากโรงงานกระดาษแห่งใหม่ของบริษัทเริ่มดำเนินงาน ปัจจุบันบริษัทเริ่มจัดหาไม้ตามกลยุทธ์ใหม่โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต้นกระดาษบนคันนาและบริษัทรับซื้อไม้โดยตรงจากผู้ปลูก กลยุทธ์นี้คาดว่าจะสามารถช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทและช่วยให้มั่นใจได้ถึงปริมาณไม้ที่เพียงพอกับความต้องการของบริษัทในระยะยาว ประโยชน์ดังกล่าวนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นผลได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลดการใช้เยื่อใยยาวโดยจะใช้เฉพาะเยื่อใยสั้นสำหรับการผลิตกระดาษหลังจากที่โรงงานกระดาษแห่งที่ 3 ของบริษัทเริ่มดำเนินงานในช่วงปลายปี 2555
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) อ่อนแอลงในช่วงปี 2553-2555 ภาระหนี้เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 13,754 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 เป็น 18,777 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 โดยหนี้ส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้สำหรับการสร้างโรงงานกระดาษแห่งที่ 3 ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ในปี 2554 บริษัทบันทึกส่วนเกินทุนจากการตีราคาที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ของกลุ่มบริษัทที่ประมาณ 3,400 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังอยู่ที่ระดับประมาณ 58% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ