บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บริษัท ไทคอน อินดัส
เทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” เช่นกัน
โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า ตลอดจนกระแส
เงินสดที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าโรงงานและคลังสินค้า อย่างไร
ก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและกระทบภาคการลงทุนทั่วโลกถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออันดับเครดิตของบริษัท ในขณะที่แนวโน้มอันดับ
เครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าได้ต่อ
ไป สัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิต รวมถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจคลังสินค้าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัท
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่นเป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในประเทศไทย โดยก่อตั้งใน
ปี 2533 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่การให้บริการคลังสินค้าให้เช่าตั้งแต่ปี 2548 โดย
ณ เดือนมิถุนายน 2555 บริษัทมีโรงงานให้เช่าจำนวน 110 แห่ง และมีคลังสินค้าให้เช่าจำนวน 76 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมสำคัญของ
ประเทศ รวมเป็นพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้น 584,067 ตารางเมตร (ตร.ม.) ในช่วงปี 2548-2553 รายได้หลักของบริษัท (65%) มาจากการขาย
สินทรัพย์ของบริษัทเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ 27% ของรายได้รวมมาจากค่าเช่าโรงงานและคลังสินค้า ในระหว่างปี 2548-2553
บริษัทมีรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทีพาร์คโลจีสติคส์ (TLOGIS)
ประมาณ 1,500-2,200 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลดลงเหลือ 944 ล้านบาทในปี
2554 หรือ 47% ของรายได้รวม เนื่องจากผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ เดือนมิถุนายน 2555 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่นยังคงเป็น บริษัท สวนอุตสาหกรรม
โรจนะ จำกัด (มหาชน) (21.5%) กลุ่มผู้บริหารของบริษัท (7.4%) และกลุ่มซิตี้เรียลตี้ (6.4%) ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจาก
ผลงานการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ รวมทั้งความสามารถในการก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปตามมาตรฐานในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งจากการ
ใช้ทีมงานก่อสร้างของบริษัทเอง ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานสำเร็จรูปให้เช่ากระจายตัวในทำเลต่าง ๆ 10 แห่งและคลังสินค้าให้เช่าอีก 7 แห่ง
รายงานของ CB Richard Ellis (CBRE) ระบุว่าบริษัทยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศไทย ณ เดือน
มีนาคม 2555 บริษัทและ TFUND มีส่วนแบ่งทางการตลาดของพื้นที่โรงงานให้เช่ารวม 62.2% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งรายอื่นเป็นอย่างมาก โดยคู่แข่ง
สำคัญประกอบด้วย บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) (13.5%) บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (10.7%) บริษัท ไทยพัฒนา
โรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 (7.1%) และ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) (6.5%)
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงงานให้เช่าของบริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่นอ่อนตัวลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย อัตราการย้ายออกของผู้เช่าในพื้นที่ดังกล่าวมีสัดส่วนที่สูง หากไม่รวมการขายโรงงานให้เช่าพื้นที่รวม
35,725 ตร.ม. เข้า TFUND ในเดือนมีนาคม 2555 พื้นที่โรงงานให้เช่าของบริษัทจะลดลงในอัตรา 12% จาก 387,515 ตร.ม. ณ สิ้นปี
2554 เป็น 342,165 ตร.ม. ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ในทางตรงกันข้าม ความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าเติบโตอย่างมาก โดยพื้นที่คลัง
สินค้าให้เช่าของบริษัทเติบโต 35% จาก 205,352 ตร.ม. ณ สิ้นปี 2554 เป็น 277,627 ตร.ม. ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 โดยเป็นผล
มาจากการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ หากไม่นับรวมการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมในเดือนมีนาคม
2555 บริษัทมีพื้นที่ให้เช่ารวมเพิ่มขึ้นสุทธิ 5% หรือเพิ่มขึ้น 26,925 ตร.ม. ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ
ธุรกิจคลังสินค้าช่วยลดผลกระทบจากธุรกิจโรงงานให้เช่าที่อ่อนตัวลง
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 บริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่นมีรายได้รวม 1,303 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี
ก่อน 116% ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 762 ล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2555
รายได้ค่าเช่ารวมของบริษัทยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแม้บริษัทจะสูญเสียรายได้ค่าเช่าจำนวน 73 ล้านบาทใน
ช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 จากเหตุอุทกภัย ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลง
จาก 67% ในครึ่งแรกของปี 2554 เป็น 51% ในครึ่งแรกของปีนี้โดยมีสาเหตุหลักมาจากโครงสร้างรายได้ที่แตกต่างกัน โดยในช่วงครึ่งแรกของ
ปี 2555 รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีอัตรากำไรที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากการให้เช่า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีต้นทุนการให้เช่าเพิ่มขึ้นจำนวน 52 ล้านบาทจากค่าซ่อมแซมโรงงานและคลังสินค้าที่ประสบอุทกภัย
ภาระหนี้รวมของบริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่นเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการขยายกิจการของบริษัท โดยเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก
6,176 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 เป็น 10,476 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 การเพิ่มขึ้นของภาระหนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความต้องการ
เงินทุนในการขยายกิจการของบริษัทเพื่อรองรับความต้องการโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออก ทำให้อัตราส่วน
เงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 63.9% ณ เดือนมิถุนายน 2555 จาก 52.5% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครง
สร้างเงินทุนดังกล่าวคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหากบริษัทสามารถขายสินทรัพย์มูลค่าประมาณ 3,500-3,700 ล้านบาทเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
และเพิ่มทุนประมาณ 976 ล้านบาทได้สำเร็จในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555
หลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่ มีหลายสัญญาณบ่งชี้การฟื้นตัวของภาคการผลิต เช่น มูลค่าโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนัก
งานคณะกรรมส่งเสริมการลงทุนมีมูลค่ารวมสูงถึง 478.5 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 เพิ่มขึ้นถึง 98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี
ก่อน และการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างประเทศมายังประเทศไทย โดยประเทศไทยยังคงน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างประเทศสำหรับการ
เป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมหลากหลายประเภทโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทั่วโลกอาจ
ส่งผลลบต่อการลงทุนในประเทศไทย ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ