ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม “บ. พีทีจี เอ็นเนอยี” ที่ “BBB/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 29, 2016 18:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประวัติการดำเนินงานของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันสำเร็จรูป รวมถึงประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่าย และการมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันที่มีอัตรากำไรต่ำ ตลอดจนความเสี่ยงจากการพึ่งพิงผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ (Supplier) และการแทรกแซงจากภาครัฐในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเอาไว้ได้ และคาดว่าบริษัทยังคงสามารถบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงการขยายธุรกิจได้

ปัจจัยหลักที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้แก่ กรณีที่ค่าการตลาดของบริษัทลดลงเป็นระยะเวลานาน หรือ กรณีที่บริษัทไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงการขยายธุรกิจ นอกจากนี้ การลงทุนจำนวนมากที่ทำให้อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น สูงเกินกว่า 2 เท่าอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นปัจจัยเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทอีกด้วย

ในขณะที่ปัจจัยเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้แก่ กรณีที่กระแสเงินสดจากการดำเนินการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือ กรณีที่บริษัทประสบความสำเร็จในการกระจายแหล่งรายได้

บริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี ก่อตั้งในปี 2531 ภายใต้ชื่อ บริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด โดยประกอบกิจการศูนย์จำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูป ต่อมาในปี 2535 บริษัทได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันสำเร็จรูปโดยการเปิดสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า “PT” บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2556 โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประกอบด้วยกลุ่มครอบครัวรัชกิจประการ (33.7%) นายศักดิ์อนันต์ วิจิตรธนารักษ์ (16.0%) และกลุ่มครอบครัววชิรศักดิ์พานิช (8.9%) โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทบริหารสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า “PT” ทั่วประเทศจำนวน 1,095 แห่ง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 5% ของจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั้งหมดในประเทศไทย

สถานะทางธุรกิจของบริษัทเป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทซื้อน้ำมันสำเร็จรูปจากโรงกลั่นภายในประเทศเพื่อนำมาจำหน่ายต่อผ่านช่องทางจำหน่ายของบริษัท ปัจจุบันบริษัทซื้อน้ำมันสำเร็จรูปเกือบทั้งหมดจาก บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูป ณ สถานีบริการน้ำมัน “PT” ผ่าน 2 ช่องทาง โดยช่องทางแรกเป็นสถานีที่บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการเอง (Company owned company operated -- COCO) และช่องทางที่ 2 เป็นสถานีที่ตัวแทนจำหน่ายเป็นเจ้าของและดำเนินการ (Dealer owned dealer operated -- DODO) บริษัทยังจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปโดยตรงให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอีกด้วย บริษัทเน้นการขยายเครือข่ายบริการผ่านสถานีบริการ COCO ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่อื่น ๆ

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปในปริมาณรวมทั้งสิ้น 1,645 ล้านลิตร โดยประมาณ 74% ของปริมาณที่จำหน่ายดำเนินการผ่านสถานีบริการ COCO ในขณะที่ประมาณ 13% จำหน่ายผ่านสถานีบริการ DODO ส่วนที่เหลืออีก 13% จำหน่ายโดยตรงให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทมาจากระบบการจัดการการขนส่งน้ำมันและการบริหารสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทเป็นเจ้าของรถบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่รวมทั้งสิ้น 352 คัน และมีศูนย์ส่งน้ำมันสำเร็จรูป (คลังน้ำมัน) จำนวน 9 แห่ง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558

บริษัทยังคงแผนการขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 บริษัทมีสถานีบริการทั้งสิ้น 1,150 แห่ง เพิ่มขึ้น 199 แห่ง จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นสถานีบริการที่บริษัทเป็นเจ้าของ บริษัทมีกลยุทธ์ในการส่งเสริมการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปให้เพิ่มขึ้นผ่านระบบบัตรสมาชิก PT MAX Card โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีจำนวนสมาชิก PT MAX Card ทั้งสิ้น 3.4 ล้านราย ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ลดลงส่งผลให้อุปสงค์ในการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยมีจำนวน 29,363 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นผนวกกับการขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมันของบริษัทส่งผลให้บริษัทจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปได้ถึง 1,645 ล้านลิตร ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 24.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่บริษัทยังคงรักษาระดับค่าการตลาดโดยรวมไว้ได้ที่ 1.60 บาทต่อลิตรแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงก็ตาม ส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1,150 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 21.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง บริษัทเน้นการเช่าสถานีบริการน้ำมันที่มีอยู่เดิมแทนการสร้างใหม่ อย่างไรก็ตาม การขยายสถานีบริการ COCO อย่างรวดเร็วทำให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีเงินกู้รวม 1,365 ล้านบาท หรือ 3,052 ล้านบาทเมื่อปรับปรุงด้วยภาระผูกพันจากการเช่าสถานีบริการ ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (ปรับปรุงแล้ว) สูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 44.9% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 จาก 36.5% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 แม้ว่าจะมีภาระหนี้เพิ่ม แต่บริษัทก็ยังคงมีสภาพคล่องและกระแสเงินสดรองรับการชำระหนี้ในระดับที่ดี บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวม (ปรับปรุงด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) เท่ากับ 45.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2555-2557 ซึ่งอยู่ที่ 30%-60% อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ในระดับ 9.3 เท่า (ปรับปรุงแล้ว) ใกล้เคียงกับในช่วงปี 2555-2557 ที่อยู่ระดับ 8.9-10.9 เท่า

ในช่วงปี 2559-2561 บริษัทมีแผนการขยายสถานีบริการ COCO จำนวน 300-400 แห่งต่อปี คาดว่าค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนสำหรับธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันจะอยู่ที่ 2,800-3,500 ล้านบาทต่อปี บริษัทได้ขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยในปี 2558 มีการลงทุนในโครงการปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร (Palm Complex) และในปี 2559 บริษัทมีแผนการลงทุนใน

บริษัท อาม่า มารีน จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจบริษัทขนส่งของเหลวขนาดใหญ่มูลค่า 622 ล้านบาท และจะลงทุนใน บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด มูลค่า 398 ล้านบาท การลงทุนดังกล่าวจะทำให้เงินลงทุนรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างระมัดระว้ง สามารถควบคุมให้อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่า ในระยะกลางถึงระยะยาว

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ