แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถดำเนินงานได้ตามแผน และคาดว่าบริษัทจะสามารถสร้าง EBITDA ได้ในระดับ 800-1,000 ล้านบาทต่อปี
อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้ถ้าหากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายกำลังการผลิตและส่งผลให้ฐานของกระแสเงินสดขยายใหญ่ขึ้น ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลประกอบการของโครงการ Solar PV ต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือหากสถานะการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุนโดยใช้เงินกู้จำนวนมาก
บริษัทไทยโซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ ก่อตั้งในปี 2551 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย โดยบริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ (Solar Thermal) แห่งแรกในปี 2554 จากนั้นก็ได้ขยายไปสู่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ภายใต้ระบบ Photovoltaic (Solar PV) ในปี 2556 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ในปี 2557 บริษัทได้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า Solar PV ผ่านกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GSPC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่ม ปตท. ในสัดส่วน 60:40 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ในเดือนตุลาคม 2557 โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้แก่ ดร. แคทลีน มาลีนนท์ โดยถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 63% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมทั้งสิ้น 98.5 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โครงการ Solar Thermal 4.5 เมกะวัตต์ โครงการ Solar PV 80 เมกะวัตต์ และโครงการ Solar Rooftop จำนวน 14 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ประมาณ 90% ของรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทมาจากโครงการ Solar PV
สถานะทางธุรกิจของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยบริษัทมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากการขายไฟฟ้าให้แก่ กฟภ. และ กฟน. โครงการ Solar PV ได้รับ PPA ที่มี Adder ที่ระดับ 6.5 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 10 ปี ในขณะที่โครงการ Solar Rooftop ได้รับ PPA ที่มี Feed-in-tariff (FIT) ที่ราคา 6.16 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 25 ปี บริษัทมีความเสี่ยงในเรื่องความเข้มแสงและการดำเนินงานที่ต่ำ สำหรับโครงการ Solar PV นั้น บริษัทเลือกใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ทำจากซิลิคอนชนิดหลายผลึก (Multicrystalline) ซึ่งจำหน่ายโดยผู้รับเหมาที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Conergy จากประเทศเยอรมัน และ SunEdison จากประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้ง Conergy และ SunEdison มีสัญญารับประกันปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาที่โครงการของบริษัทได้รับ Adder การรับประกันดังกล่าวช่วยเสริมความมั่นคงของรายได้จากโครงการ Solar PV อย่างไรก็ตาม สัญญารับประกันนั้นยังมีความไม่แน่นอน โดยพิจารณาจากสถานะการเงินในปัจจุบันที่อ่อนแอของผู้ให้การรับประกัน
ความเข้มแข็งทางธุรกิจของบริษัทนั้นถูกลดทอนลงจากประวัติการดำเนินงานที่สั้นและการลงทุนโดยการกู้ยืมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจาก 98.5 เมกะวัตต์ (หรือ 66.5 เมกะวัตต์ตามกำลังการผลิตในสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้น) เป็นประมาณ 246.5 เมกะวัตต์ในปี 2561
ในปี 2557 บริษัทผลิตไฟฟ้าทั้งหมดจำนวน 134 กิกะวัตต์ชั่วโมง (ล้านหน่วย) โดยประมาณ 96% ของปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดมาจากโครงการ Solar PV ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจริงของโครงการ Solar PV นั้นมากกว่าจำนวนที่รับประกันไว้ประมาณ 8.7% ในขณะที่โครงการ Solar Rooftop ผลิตไฟฟ้าได้เพียง 1.1 ล้านหน่วย เท่านั้นเนื่องจากมีเพียง 5 โครงการจากทั้งหมด 14 โครงการที่เริ่มดำเนินงานในปี 2557 ในส่วนของโครงการ Solar Thermal นั้น ผลประกอบการยังคงไม่ดีตั้งแต่เริ่มดำเนินการเนื่องจากปัญหาทางด้านเทคนิคที่ยืดเยื้อเกี่ยวกับระบบให้ความร้อน โครงการ Solar Thermal สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียง 1.5-2 ล้านหน่วยในระหว่างปี 2556-2557 ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องตั้งด้อยค่าสินทรัพย์เป็นจำนวน 250 ล้านบาทในปี 2557
ในระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2558 ปริมาณไฟฟ้าที่บริษัทผลิตได้เท่ากับ 129.4 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โครงการ Solar PV ผลิตไฟฟ้าจำนวน 119.3 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 30.3% สะท้อนผลการดำเนินงานของโครงการอย่างเต็มที่ โครงการ Solar Rooftop ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 9.3 ล้านหน่วยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นเมื่อโครงการที่เหลือเริ่มจำหน่ายไฟฟ้า ทริสเรทติ้งคาดว่าโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดของบริษัทจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้จำนวนรวมประมาณ 170-190 ล้านหน่วยต่อปี
กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) หลังหักรายการพิเศษต่าง ๆ เท่ากับ 621 ล้านบาทในปี 2557 และ 657 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 อัตรากำไร EBITDA ของโครงการ Solar PV นั้นค่อนข้างสูง โดยอยู่ที่ประมาณ 90% จากราคา Adder ที่อยู่ในระดับดี ในขณะที่อัตรากำไร EBITDA ของโครงการ Solar Rooftop นั้นอยู่ในระหว่าง 75%-80% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีหนี้สินรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 3,110 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 3,159 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2557 ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3,924 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 จาก 933 ล้านบาทในปี 2556 เนื่องจากบริษัทได้มีการเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ (IPO) ในเดือนตุลาคม 2557 ณ เดือนกันยายน 2558 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุนที่ค่อนข้างต่ำโดยมีค่าอยู่ที่ 44.2% จากการประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุนของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 65%-70% อีกครั้งหากบริษัทดำเนินการได้ตามแผนการลงทุนที่วางไว้
บริษัทวางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 180 เมกะวัตต์ หรือเป็น 246.5 เมกะวัตต์ในช่วง 3 ปีข้างหน้า มูลค่าการลงทุนทั้งหมดคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 14,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นที่มีกำลังผลิตรวมขนาด 23 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการเหล่านี้คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ทั้งหมดในช่วงครึ่งแรกของปี 2560