ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท “บ. เมืองไทย ลิสซิ่ง” ที่ระดับ “BBB/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 10, 2016 13:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาทของ บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB” ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานในการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันและการมีคณะผู้บริหารที่มากประสบการณ์ การจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการเติบโตที่รวดเร็วของสินเชื่อของบริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรในระดับที่น่าประทับใจ ระดับฐานทุนที่เพียงพอ และเครือข่ายสาขาที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ตลอดจนเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทที่มีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและมีผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อเอาไว้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ด้วยเช่นกัน

การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทสามารถขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและคงผลการดำเนินงานในระดับที่น่าพอใจ ในขณะเดียวกันก็สามารถดำรงคุณภาพสินทรัพย์ในระดับสูงเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ในปี 2535 ครอบครัวเพ็ชรอำไพ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปัจจุบันของบริษัทเมืองไทย ลิสซิ่ง ได้เริ่มธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่และรถจักรยานยนต์ใช้แล้ว โดยบริษัทได้เริ่มให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ในปี 2541 บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ในปี 2546 และบริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันในปี 2549 อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ยกเลิกธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไปในปี 2544 จนกระทั่งในปี 2557 บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคือครอบครัวเพ็ชรอำไพ โดยถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 70%

บริษัทมีกลยุทธ์ในการขยายพื้นที่ทางการตลาดให้ครอบคลุมโดยการเพิ่มจำนวนสาขาเพื่อสามารถเข้าถึงและให้บริการกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งนี้ บริษัทเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แถบชานเมืองและในระดับตำบลของจังหวัดต่าง ๆ จำนวนสาขาของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 343 สาขา ณ สิ้นปี 2554 เป็น 940 สาขา ณ สิ้นปี 2558 สินเชื่อของบริษัทก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มจาก 3,945 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 12,630 ล้านบาทในปี 2558 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 33.8% ณ สิ้นปี 2558 สินเชื่อที่มีรถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นหลักประกันยังคงเป็นสัดส่วนหลักของสินเชื่อคงค้างของบริษัท โดยคิดเป็น 59.6% ตามมาด้วยสินเชื่อที่มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกเป็นหลักประกัน (30.6%) และสินเชื่อที่มียานพาหนะที่ใช้ในการเกษตรเป็นหลักประกัน (4.3%) ในขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันคิดเป็น 2.7% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2558 ด้วย ได้แก่ สินเชื่อที่มีที่ดินเป็นหลักประกันและสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ณ สิ้นปี 2558 สินเชื่อที่มีที่ดินเป็นหลักประกันมีสัดส่วนคิดเป็น 2% ของสินเชื่อคงค้าง ในขณะที่สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์คิดเป็น 0.9% ของสินเชื่อคงค้าง สินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 20,513 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำแม้จะอยู่ในช่วงที่อุตสาหกรรมโดยรวมประสบกับภาวะยากลำบาก รวมทั้งยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวด้วย ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 2% ณ สิ้นปี 2556 ลงมาอยู่ที่ระดับ 0.9% ณ สิ้นปี 2558 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1% สิ้นเดือนกันยายน 2559 โดยคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีของบริษัทเป็นผลมาจากการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานที่ระมัดระวังและการมีระบบการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพของบริษัทเป็นสำคัญ

ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 107 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 351 ล้านบาทในปี 2556 กำไรสุทธิเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 54.8% มาอยู่ที่ระดับ 544 ล้านบาทในปี 2557 และเพิ่มขึ้นอีก 51.6% เป็น 825 ล้านบาทในปี 2558 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 4% ในปี 2554 เป็น 7.1% ในปี 2555 แต่ลดลงเล็กน้อยเป็น 6.5% ในปี 2556 อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีกเป็น 7.4% ในปี 2557 และ 7.6% ในปี 2558 บริษัทมีกำไรสุทธิ 981 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 เพิ่มขึ้น 67.8% จากช่วงเดียวกันของปี 2558 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเท่ากับ 7.6% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว)

ผลกำไรที่สม่ำเสมอตลอดช่วงที่ผ่านมาทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น ประกอบกับหลังจากการเสนอขายหุ้นแก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2557 ก็ทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 32.2% ณ สิ้นปี 2556 เป็น 58.2% ณ สิ้นปี 2557 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเป็น 43.2% ณ สิ้นปี 2558 และ 29.3% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 จากการขยายสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าอัตราส่วนจะลดลง แต่นับว่าฐานทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับรองรับการขยายสินเชื่อในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับ 2.4 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559

บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับความเสี่ยงสูงและค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในทางลบของภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น นโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดของบริษัท ตลอดจนกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพและฐานทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยจำกัดและดูดซับความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งมีความเสี่ยงสูงดังกล่าวได้

บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (MTLS)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2562 BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ