ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. ไทยเบฟเวอเรจ ” เป็น “AA” จาก “AA+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 2, 2018 16:35 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 พร้อมทั้งประกาศลดอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทเป็นระดับ “AA” จาก “AA+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยการประกาศอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนถึงภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ซื้อหุ้นในสัดส่วน 53.59% ของ Saigon Beer-Alcohol-Beverage Joint Stock Corporation (Sabeco) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม โดยบริษัทใช้เงินทุนจากเงินกู้ยืมใหม่ทั้งหมดในการซื้อหุ้นดังกล่าว

บริษัทไทยเบฟเวอเรจมีเป้าหมายที่จะทยอยลดภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากด้วยการใช้กระแสเงินสดภายในของบริษัทชำระหนี้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ด้วยความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถลดภาระหนี้จำนวนมากได้ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทย ตลอดจนการมีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง และความพยายามที่ต่อเนื่องในการกระจายแหล่งที่มาของรายได้

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะแข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่มภายในประเทศ

บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นเวลานาน โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามปริมาณการขายสำหรับสุรามากกว่า 90% และสำหรับเบียร์ประมาณ 40% นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่มและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายสำคัญสำหรับเครื่องดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ ด้วย

มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง

บริษัทมีเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวางซึ่งครอบคลุมร้านค้าปลีกในประเทศไทยมากกว่า 400,000 ร้านโดยมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ 4 แห่งและมีรถขนส่งสินค้า 7,300 คัน บริษัทยังมีช่องทางการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายกว่า 300 รายและพนักงานขายมากกว่า 1,300 คน อีกทั้งยังขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนผ่านบริษัทในเครือที่สำคัญ ๆ ด้วย อาทิ Fraser and Neave Ltd. (F&N) ซึ่งมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดมาเลเซียและสิงคโปร์ นอกจากนี้ การซื้อกิจการอื่น ๆ อีกหลายแห่งล่าสุดยังช่วยเพิ่มเครือขายในการกระจายสินค้าในประเทศเมียนมาร์ และเวียดนามอีกด้วย

กฎระเบียบภาครัฐจำกัดการเติบโตในประเทศ

ภาครัฐมีการควบคุมดูแลการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่เข้มงวดด้วยการออกกฎระเบียบมาก อาทิ การจำกัดการโฆษณาและการทำกิจกรรมทางการตลาด การกำหนดเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ และการกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ เป็นต้น กฎระเบียบดังกล่าวทำให้การเพิ่มยอดขายและการทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ กระทำได้ยากแม้ว่าจะมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ การเก็บภาษีสรรพสามิตยังเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐนำมาใช้เพื่อลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยโดยมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตค่อนข้างบ่อย ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการขึ้นภาษีสรรพสามิตถึง 5 ครั้ง ในอดีตนั้นบริษัทสามารถรักษาอัตราการทำกำไรโดยการส่งผ่านภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้บริโภคซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการขายลดลงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาที่อยู่ในระดับต่ำ อัตราการทำกำไรหรือปริมาณการขายของบริษัทมีโอกาสที่จะสูงกว่าระดับปัจจุบันหากมีการขึ้นภาษีสรรพามิตที่ไม่บ่อยเกินไป

ความพยายามที่ต่อเนื่องในการเพิ่มแหล่งรายได้

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่งในการซื้อกิจการคือการเพิ่มแหล่งรายได้ใน 2 มิติคือทั้งในด้านประเภทของสินค้าและในด้านพื้นที่ทางการตลาด ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทมีการลงทุนที่สำคัญ 3 รายการทั้งในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยบริษัทได้ซื้อกิจการร้าน KFC มากกว่า 252 แห่งในประเทศไทยจาก Yum Restaurants International (Thailand) Co., Ltd. หลังจากนั้นบริษัทก็ได้ซื้อหุ้นจำนวน 75% ของกลุ่ม Grand Royal ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสุรารายใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมาร์ และล่าสุดได้ซื้อหุ้นในสัดส่วน 53.59% ใน Sabeco ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม

การซื้อกิจการดังกล่าวสร้างประโยชน์หลายประการให้แก่บริษัท เช่น เพิ่มกระแสเงินสด เพิ่มความหลากหลายของแบรนด์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท และขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน โดยรายได้จากต่างประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 3% ของยอดขายในปีงบประมาณ 2560 เป็น 20% ของยอดขายในปีงบประมาณ 2561 ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดภายในประเทศและช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ น้อยลง

ภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการครั้งล่าสุด

เงินกู้รวมของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 200,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2561 เมื่อเทียบกับระดับ 40,600 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2560 ส่วนอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5 เท่าในปีงบประมาณ 2561 จาก 1.1 เท่าในปีงบประมาณ 2560

สมมุติฐานจากประมาณการของทริสเรทติ้งยังไม่รวมถึงโอกาสของการผสานประโยชน์จากการซื้อกิจการครั้งล่าสุดหรือการปรับปรุงประสิทธิภาพของ Sabeco แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2563 เมื่อเทียบกับ 36,500 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2560 ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากในช่วง 3 ปีข้างหน้าเนื่องจากผู้บริหารของบริษัทต้องการลดภาระหนี้ ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ของบริษัทจึงคาดว่าน่าจะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าภายในปีงบประมาณ 2563

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในประเทศได้ต่อไปและยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ลดลงได้ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มได้หากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับลดต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าเดิมซึ่งอาจเป็นผลมาจากการทำกำไรที่ถดถอยลงอย่างมากหรือภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (ThaiBev)
อันดับเครดิตองค์กร: AA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ