ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “กรุงเทพมหานคร” ที่ “AA+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 29, 2018 09:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของกรุงเทพมหานครที่ระดับ “AA+” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานภาพของเขตกรุงเทพมหานครในฐานะเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ากรุงเทพมหานครจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางตลอดเวลา การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงแหล่งรายได้ที่แน่นอนของกรุงเทพมหานครซึ่งมาจากภาษีอากร รวมทั้งการบริหารงบประมาณภายใต้นโยบายงบประมาณแบบสมดุล และการดำรงเงินสะสมในระดับสูงด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณของกรุงเทพมหานครจากความต้องการในการลงทุนอย่างมากในระบบขนส่งมวลชนและโครงการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ อีกด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในฐานะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการปกครองของประเทศ

กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นเขตการปกครองที่ก่อให้เกิดผลผลิตแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าเขตการปกครองใดใด จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่ามูลค่าผลผลิตมวลรวมของกรุงเทพมหานครในปี 2559 เท่ากับ 4.73 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 32.5% ของมูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ

จากปี 2556 จนถึงปี 2559 เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครมีอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี 2559 เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครมีอัตราการขยายตัวที่แท้จริงเท่ากับ 3.8% ซึ่งสูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.3% ทริสเรทติ้งคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 4.5% ในปี 2561 หลังจากที่ขยายตัว 4.8% ในช่วงครึ่งแรกของปี ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการที่เศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัวตามที่คาดไว้นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ การขยายตัวที่แข็งแกร่งของภาคการส่งออก การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายในภาคครัวเรือน และการฟื้นตัวของการลงทุนในภาคเอกชน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศ

เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครมีความผันผวนน้อยกว่าเศรษฐกิจของจังหวัดอื่น ๆ เนื่องมาจากการกระจายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของกรุงเทพมหานครประกอบด้วยพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม บริการทางการเงินและประกันภัย ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งภาคเศรษฐกิจทั้ง 5 ประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 58% ของเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครตามข้อมูลของ สศช.

รายได้จากภาษีที่สม่ำเสมอ

รายได้ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานครมาจากภาษีอากรมากกว่า 90% ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งรายได้ที่มีความแน่นอนสูง โดยภาษีอากรแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ภาษีอากรที่กรุงเทพมหานครจัดเก็บเองและภาษีอากรที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้และนำส่งกรุงเทพมหานครหรือจัดสรรโดยรัฐบาลกลาง ตามปกติแล้วภาษีอากรที่กรุงเทพมหานครจัดเก็บเองคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่ภาษีอากรที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้หรือที่รัฐบาลกลางจัดสรรมีสัดส่วนประมาณ 77% ของรายได้ทั้งหมด โดยในช่วงระหว่างปีงบประมาณ 2556-2560 รายได้จากภาษีอากรของกรุงเทพมหานครมีอัตราการเติบโต 5.9% ต่อปี

รายได้หลักของกรุงเทพมหานครมาจากภาษีหลัก 4 ประเภทซึ่งได้แก่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหรือค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รวมถึงภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์หรือล้อเลื่อน โดยมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 83% ของรายได้ทั้งหมดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้ที่จัดเก็บจากภาษีทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลอาจปรับลดอัตราภาษีบางประเภทเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเป็นครั้งคราว ตัวอย่างเช่นในปีงบประมาณ 2559 ภาษีหรือค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมปรับตัวลดลง 23.6% เนื่องจากรัฐบาลมีการปรับลดอัตราภาษีเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น รายได้จากการจัดเก็บภาษีของกรุงเทพมหานครที่แม้จะมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตในระดับปานกลางทุกปี แต่การจัดเก็บก็อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลได้ด้วยเช่นกัน

นโยบายการคลังแบบสมดุล

กรุงเทพมหานครมีการจัดทำงบประมาณที่เหมาะสมภายใต้นโยบายการคลังแบบสมดุล ตามระเบียบกรุงเทพมหานครเรื่องวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2529 นั้น การจัดทำงบประมาณของกรุงเทพมหานครจะประมาณการรายจ่ายให้อยู่ภายในวงเงินงบประมาณรายได้ ดังนั้น การประมาณการรายได้ที่ค่อนข้างระมัดระวังจะส่งผลให้กรุงเทพมหานครมีประมาณการรายจ่ายที่เหมาะสมและไม่เกินตัว ในกรณีที่การจัดเก็บรายได้น้อยกว่าประมาณการ กรุงเทพมหานครสามารถปรับปรุงรายจ่ายด้วยการชะลอการดำเนินโครงการที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือที่ยังไม่มีภาระผูกพันออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณบางปีอาจมีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมระหว่างปีเมื่อมีความจำเป็นโดยต้องมีแหล่งรายได้ที่แน่นอน เช่น รายได้จากเงินสะสมของกรุงเทพมหานคร หรือรายได้จากรายรับที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ เป็นต้น

จัดเก็บรายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย

กรุงเทพมหานครยังคงมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดี ในปีงบประมาณ 2560 กรุงเทพมหานครมีรายได้รวม 79,271 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวม 75,577 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2560 เมื่อเทียบกับ 69,038 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2559 ส่งผลให้กรุงเทพมหานครมีดุลการคลังเกินดุลจำนวน 3,694 ล้านบาท และมีอัตราส่วนดุลการคลังต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.66% ในปีงบประมาณ 2560 จาก 3.80% ในปีงบประมาณ 2559

ในปีงบประมาณ 2561 กรุงเทพมหานครคาดว่าจะมีรายได้ทั้งหมดประมาณ 86,000 ล้านบาท ในขณะที่งบประมาณรายจ่ายของกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 78,500 ล้านบาท จึงส่งผลให้กรุงเทพมหานครจะมีดุลการคลังเกินดุลจำนวนประมาณ 7,500 ล้านบาท สำหรับปีงบประมาณ 2562 นั้น กรุงเทพมหานครตั้งงบประมาณรายได้และรายจ่ายไว้ที่ระดับ 80,000 ล้านบาท โดยในช่วงปีงบประมาณ 2563-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของกรุงเทพมหานครจะเพิ่มขึ้นในระดับปานกลางตามการเติบโตของเศรษฐกิจ

งบดำเนินการในระดับสูงส่งผลจำกัดงบประมาณการลงทุน

การมีค่าใช้จ่ายดำเนินการอยู่ในระดับสูงจะจำกัดงบประมาณของกรุงเทพมหานครในการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคอื่น ๆ ทั้งนี้ รายจ่ายของกรุงเทพมหานครแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ งบดำเนินการและงบลงทุน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายจ่ายของงบดำเนินการอยู่ที่ระดับประมาณ 75% ของรายจ่ายรวม โดยในปีงบประมาณ 2560 กรุงเทพมหานครมีค่าใช้จ่ายดำเนินการจำนวน 56,622 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.8% จากปีที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครมีรายจ่ายด้านบุคลากรซึ่งเป็นรายจ่ายดำเนินการที่สำคัญประเภทหนึ่ง โดยคิดเป็นสัดส่วน 32% ของรายจ่ายรวมในปีงบประมาณ 2560

ในช่วงปีงบประมาณ 2556-2560 กรุงเทพมหานครมีการใช้งบลงทุนมูลค่าประมาณ 15,000-19,000 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศและมีความหนาแน่นของประชากรสูงที่สุด จึงทำให้มีความต้องการการลงทุนด้านสาธารณูปโภคอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมของกรุงเทพมหานครให้เอื้อประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในการนี้ กรุงเทพมหานครอาจพิจารณาขอเงินอุดหนุนจากรัฐบาลได้ทางหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาและอนุมัติจากรัฐบาล อีกทั้งขั้นตอนการอนุมัติก็ยุ่งยากและใช้เวลานาน ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้ดำเนินงานผ่าน บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกในการทำสัญญาและจัดหาเงินกู้เพื่อนำไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ภาระหนี้ของบริษัทกรุงเทพธนาคมรวมเป็นภาระหนี้ของกรุงเทพมหานครด้วย

ณ เดือนกันยายน 2560 กรุงเทพมหานครมีภาระหนี้คิดเป็น 13,426 ล้านบาท ทริสเรทติ้งพิจารณาให้ภาระหนี้ของกรุงเทพมหานครรวมภาระต่าง ๆ ไว้ด้วย ดังนี้ (1) เงินกู้ของบริษัทกรุงเทพธนาคม (2) มูลค่าปัจจุบันของค่าจัดหาขบวนรถไฟฟ้าภายใต้สัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้า BTS (3) สินเชื่อคงค้างจาก บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ตามสัญญาการติดตั้งระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) และ (4) มูลค่าปัจจุบันของภาระผูกพันทางการเงินจากสัญญาเช่ารถยนต์และรถเก็บขยะมูลฝอยซึ่งมีอายุสัญญา 5 ปีและ 7 ปีตามลำดับ

ภาระหนี้อาจเพิ่มขึ้นเว้นแต่จะมีการตกลงในสัญญาสัมปทาน

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของกรุงเทพมหานครจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปีงบประมาณ 2562 เนื่องจากกรุงเทพมหานครจะต้องรับโอนโครงการรถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วนจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มูลค่าประมาณ 51,000 ล้านบาท และยังต้องลงทุนในการติดตั้งระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 20,000 ล้านบาทด้วย ทริสเรทติ้งเชื่อว่ากรุงเทพมหานครจะสามารถจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนต่าง ๆ ได้ โดยปัจจุบันกรุงเทพมหานครอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาทางเลือกแหล่งเงินทุนต่าง ๆ สำหรับการลงทุนดังกล่าว รวมถึงการให้สัมปทานการเดินรถไฟฟ้าแก่ผู้รับสัมปทานเพื่อแลกเปลี่ยนกับภาระหนี้ของโครงการดังกล่าว

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

สถานะสภาพคล่องของกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง กรุงเทพมหานครมีดุลการคลังเกินดุลจำนวน 3,694 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2560 จึงทำให้เงินสะสมของกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นเป็น 22,532 ล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2560 จากจำนวน 18,839 ล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2559

ทริสเรทติ้งคาดว่ากรุงเทพมหานครจะรักษาเงินสะสมในระดับสูงเพื่อสนับสนุนสภาพคล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามการคาดการณ์ ภายใต้ระเบียบในปัจจุบัน กรุงเทพมหานครจะต้องดำรงเงินสะสมขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครอยู่ในระหว่างการปรับแก้ไขระเบียบเพิ่มเงินสะสมขั้นต่ำเป็นไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท

การจัดทำงบการเงินที่ล่าช้า

งบการเงินของกรุงเทพมหานครมีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบ งบการเงินของกรุงเทพมหานครไม่ได้รวมผลการดำเนินงานของโครงการรถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายและของบริษัทกรุงเทพธนาคมไว้ด้วย ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้จัดทำงบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้วเสร็จถึงปีงบประมาณ 2558 ทั้งนี้ การจัดทำงบการเงินที่ล่าช้า 2 ปีอาจเป็นอุปสรรคต่อการจัดหาเงินทุนจากตลาดทุนในอนาคตเนื่องจากนักลงทุนอาจไม่สามารถวิเคราะห์สถานะการเงินของกรุงเทพมหานครได้อย่างเหมาะสม

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการมีแหล่งรายได้ที่แน่นอนและนโยบายการบริหารงบประมาณแบบสมดุลของกรุงเทพมหานคร ทริสเรทติ้งคาดว่ากรุงเทพมหานครจะยังคงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางตลอดเวลาต่อไป

ภายใต้สมมุติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของกรุงเทพมหานครจะอยู่ระหว่าง 80,000 ล้านบาทถึง 85,000 ล้านบาทในช่วงปีงบประมาณ 2562-2564 ทั้งนี้ ตามนโยบายการคลังแบบสมดุล ทริสเรทติ้งคาดว่ากรุงเทพมหานครจะไม่สร้างค่าใช้จ่ายเกินกว่ารายได้จัดเก็บ โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อรายได้ประจำของกรุงเทพมหานครจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 90% ในปีงบประมาณ 2562 เป็นต้นไปหากกรุงเทพมหานครรับโอนโครงการรถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วนจาก รฟม.

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของกรุงเทพมหานครอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกรุงเทพมหานครมีแผนการบริหารการเงินที่ชัดเจนสำหรับการลงทุนและการดำเนินงาน อีกทั้งมีการเปิดเผยงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วภายในเวลาที่เหมาะสม ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากกรุงเทพมหานครผ่อนปรนวินัยทางการเงิน หรือมีดุลการคลังขาดดุลอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่จำกัดการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลในทางลบต่ออันดับเครดิต

โครงสร้างองค์กร

กรุงเทพมหานครเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษและมีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมีระเบียบการบริหารราชการภายใต้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 (พ.ร.บ. กรุงเทพมหานคร) ซึ่งอยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานครมีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งแบ่งออกเป็น 50 เขต โดยกรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและยังเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม การศึกษา สังคม และเศรษฐกิจของประเทศด้วย

ภายใต้ พ.ร.บ. กรุงเทพมหานคร มาตรา 89 กำหนดให้กรุงเทพมหานครมีหน้าที่ดำเนินกิจการจำนวน 27 ภารกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการบริหารจัดการสาธารณูปโภค การรักษาความสงบเรียบร้อย การสาธารณสุข การศึกษา การพัฒนาสภาพแวดล้อม ตลอดจนสวัสดิการและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อให้กรุงเทพมหานครมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ

การบริหารราชการของกรุงเทพมหานครดำเนินการโดยคณะบุคคล 2 ส่วน ส่วนแรกคือสภากรุงเทพมหานคร ซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติและอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี ส่วนที่ 2 คือฝ่ายบริหาร ซึ่งนำโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มาจากการเลือกตั้งและอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจะแต่งตั้งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำนวน 4 คนเพื่อช่วยในการบริหารงาน ฝ่ายบริหารจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย โดยมีข้าราชการกรุงเทพมหานครภายใต้การกำกับดูแลของปลัดกรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินงานตามนโยบาย

หลังจากการทำรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 86/2557 เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตเป็นการชั่วคราว ซึ่งได้มีการสรรหาสมาชิกสภากรุงเทพมหานครจำนวน 30 คนให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมาชิกสภากรุงเทพมหานครจำนวน 61 คนที่ครบวาระในการดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 นอกจากนี้ คสช. ยังได้กำหนดห้ามมิให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวด้วย ต่อมาในเดือนตุลาคม 2559 คสช. ได้ผู้แต่งตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญการปกครองชั่วคราว

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- Rating Methodology for Local Government, 23 สิงหาคม 2560

กรุงเทพมหานคร (BMA)
อันดับเครดิตองค์กร: AA+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ