ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง” ที่ “BBB” หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ “BBB-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 21, 2019 13:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB-” ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ที่ต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นนั้นสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทที่อยู่สูงกว่าระดับ 20% ตามเกณฑ์การจัดอันดับของทริสเรทติ้ง

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในการให้บริการจัดหาอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า ตลอดจนประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรหรือบูรณาการในแนวดิ่ง (Vertical Integration) ผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของโครงการโรงไฟฟ้า และกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความเสี่ยงด้านการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าและระดับการก่อหนี้ของบริษัทที่จะเพิ่มสูงขึ้น

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจจัดหาอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาสถานะในการเป็นผู้ประกอบการรายสำคัญในธุรกิจดั้งเดิมทั้งการจัดหาและการผลิตอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า บริษัทจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ โดยที่สินค้าของบริษัทนั้นมีความหลากหลายครอบคลุมทุกขั้นตอนของระบบการส่งและจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งผลงานที่ยาวนานและการมีสินค้าที่หลากหลายช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัท ส่งผลให้ธุรกิจอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้ามีอัตรากำไรที่ค่อนข้างมั่นคงโดยอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธุรกิจดั้งเดิมที่แข็งแรงช่วยให้บริษัทสามารถรักษากำไรไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจระหว่างที่บริษัทมีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่น ๆ

บูรณาการในแนวดิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจ

บริษัทได้ประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรเนื่องจากธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มของบริษัทในปัจจุบันมีส่วนส่งเสริมซึ่งกันและกันโดยธรรมชาติ จากความแข็งแกร่งของธุรกิจดั้งเดิมในการจัดหาและผลิตอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า บริษัทได้ขยายกิจการสู่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจผลิตไฟฟ้าในปี 2553 ซึ่งในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าและผู้จัดหาอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้านั้น บริษัทสามารถให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-stop Service) แก่เจ้าของโครงการซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มยอดขายอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้าในทางอ้อม อีกทั้งยังทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้นด้วย

ขอบเขตงานก่อสร้างค่อนข้างจำกัด

งานรับเหมาก่อสร้างของบริษัทมีขอบเขตที่จำกัดเนื่องจากสัญญาจ้างส่วนใหญ่เป็นงานรับเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายแห่งในประเทศไทย ซึ่งขอบเขตงานก่อสร้างที่จำกัดดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การซื้อหุ้นใน บริษัท ฟิวเจอร์ อีเล็คทริคอล คอนโทรล จำกัด หรือ FEC ช่วยให้บริษัทสามารถขยายไปสู่งานรับเหมาก่อสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าแบบเหนือดิน เคเบิ้ลใต้ดิน และสถานีไฟฟ้าได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่ได้คาดหวังว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของบริษัทจะเติบโตเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง

โรงไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ

ทริสเรทติ้งมองว่าประสบการณ์ในการพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัทจะช่วยรักษาผลการดำเนินงานของธุรกิจผลิตไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทถือเป็นหนึ่งในกลุ่มแรก ๆ ของผู้ประกอบการที่เข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนจากการเริ่มพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิต 57 เมกะวัตต์ในปี 2553 และในช่วงที่ผ่านมานี้ บริษัทได้เร่งขยายโครงการโรงไฟฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ในการนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ที่ประมาณปีละ 150 เมกะวัตต์ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ผลงานในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัทเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปริมาณไฟฟ้ารวมที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทใกล้เคียงกับปริมาณไฟฟ้าที่คาดว่าจะผลิตได้ตามความน่าจะเป็นที่ 50% (ระดับ P50) ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมสามารถผลิตไฟฟ้าได้ใกล้เคียงกับปริมาณไฟฟ้าที่คาดว่าจะผลิตได้ตามความน่าจะเป็นที่ระดับ P75 ผลการดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมมีความผันผวนค่อนข้างมากจากความแปรปรวนของความเร็วลม ในช่วงปี 2559-2561 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทรงตัวอยู่เหนือระดับ 80% ในขณะที่อัตราส่วนดังกล่าวของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมทรงตัวอยู่เหนือระดับ 90% ทั้งนี้ ราคาขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมโดยเฉลี่ยแล้วสูงกว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อีกทั้งพลังงานลมยังสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในช่วงกลางคืนซึ่งต่างจากพลังงานแสงอาทิตย์ ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมสูงกว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

?

กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า

อันดับเครดิตของบริษัทได้รับแรงเสริมจากความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ของธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งปัจจุบันเป็นหัวใจของผลประกอบการของบริษัท ทั้งนี้ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าสร้างกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้อันเนื่องมาจากความเสี่ยงในการชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าและความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ

โรงไฟฟ้าของบริษัทส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ผลิตและผู้จ่ายกระแสไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งทั้ง กฟผ. และ กฟน. นั้นได้รับการจัดอันดับที่ระดับ “AAA” จากทริสเรทติ้ง ดังนั้น ความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าจึงอยู่ในระดับต่ำ เมื่อไม่นานมานี้บริษัทได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ภาคเอกชนนอกเหนือไปจากหน่วยงานภาครัฐด้านพลังงานไฟฟ้าด้วย สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาคเอกชนโดยทั่วไปแล้วนั้นมีความเสี่ยงในการชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตภายใต้รูปแบบสัญญาดังกล่าวคิดเป็นเพียงประมาณ 5% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัทเท่านั้น อีกทั้งผู้ซื้อไฟฟ้าภาคเอกชนส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสถานะด้านเครดิตในระดับที่ยอมรับได้

ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่ค่อนข้างต่ำโดยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นส่วนประกอบหลักประมาณ 70% ของกำลังการผลิตรวมของบริษัท ทั้งนี้ พลังงานแสงอาทิตย์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นพลังงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้าและสร้างกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้

ความเสี่ยงด้านการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้า

บริษัทยังคงมีความเสี่ยงด้านการดำเนินการเนื่องจากมีโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา โดยโครงการที่สำคัญ 3 แห่งของบริษัทเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศ (ในประเทศมาเลเซีย 1 แห่งและในประเทศญี่ปุ่นอีก 2 แห่ง) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศมาเลเซียมีกำลังการผลิตประมาณ 30 เมกะวัตต์และเป็นโครงการภายใต้กิจการร่วมทุนระหว่างบริษัทและพันธมิตรธุรกิจท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งในฐานะผู้ร่วมทุนบริษัทจะต้องออกเงินลงทุนจำนวน 209 ล้านบาทในโครงการนี้ โดยบริษัทคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถเริ่มดำเนินงานได้ในช่วงปลายปี 2562

โครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้แก่โครงการ Utsunomiya และ Iwakuni ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญารวมกันที่ 142 เมกะวัตต์ โครงการทั้ง 2 แห่งในประเทศญี่ปุ่นนี้ใช้เงินลงทุนเกือบ 18,000 ล้านบาทและใช้เวลาในการพัฒนาและก่อสร้างนานประมาณ 4 ปี อย่างไรก็ตาม เวลาก่อสร้างและพัฒนาที่ยาวนานอาจส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถคาดเดาและค่าใช้จ่ายที่เกินจากงบที่ตั้งเอาไว้ได้ ซึ่งในที่สุดก็อาจกระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน นอกจากนั้น บริษัทยังมีความเสี่ยงในเรื่องราคาจำหน่ายไฟฟ้าของโครงการ Iwakuni ที่อาจถูกปรับลดลงเหลือ 21 เยนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงจาก 32 เยนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงหากไม่ได้รับอนุมัติเชื่อมต่อสายส่งภายในเดือนสิงหาคม 2562 นี้อีกด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถจัดการให้ทันกับกำหนดเวลาดังกล่าวได้

รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนความสามารถในการทำกำไรยังคงแข็งแกร่ง

บริษัทอยู่ในช่วงของการเติบโตโดยได้รับแรงเสริมจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า ภายใต้การคาดการณ์ของทริสเรทติ้งในระยะ 3 ปี รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,500 ล้านบาทในปี 2564 จาก 6,500 ในปี 2561 โดยกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟแล้วจะเพิ่มขึ้นประมาณ 260 เมกะวัตต์ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 4,400 ล้านบาทในปี 2564 จาก 2,900 ล้านบาทในปี 2561 รายได้จากธุรกิจอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้ารวมกับรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างน่าจะแกว่งตัวอยู่ในช่วง 2,000-3,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทจะยังคงอยู่เหนือระดับ 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งมีกำไรสูงจะช่วยให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง อัตรากำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจผลิตไฟฟ้าน่าจะยังคงอยู่ในช่วง 80%-90% ในขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจอื่นน่าจะอยู่ในช่วง 10%-20% ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาทในปี 2564 จาก 3,400 ล้านบาทในปี 2561

ระดับการก่อหนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น

อันดับเครดิตของบริษัทลดทอนลงจากโครงสร้างเงินทุนที่มีการก่อหนี้จำนวนมาก ระดับการก่อหนี้น่าจะยังเพิ่มสูงขึ้นเมื่อพิจารณาถึงโครงการที่อยู่ในแผนและเป้าหมายของบริษัทที่จะเพิ่มกำลังการผลิต ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 5,000-7,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 72.4% ในปี 2564 จาก 68.4% ในปี 2561 และเนื่องจากหนี้เพิ่มขึ้นเร็วกว่ากำไร กระแสเงินสดเมื่อเทียบกับหนี้ของบริษัทจะลดลง ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะลดลงเหลือ 8.4% ในปี 2564 จาก 12% ในปี 2561 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 8 เท่าในปี 2564 จาก 6.1 เท่าในปี 2561 ทั้งนี้ การลดลงของกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับหนี้ในช่วงขยายการลงทุนถือเป็นปัจจัยกดดันต่ออันดับเครดิต

บริษัทน่าจะจัดการกับสภาพคล่องได้แม้ระดับการก่อหนี้ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ หนี้ของบริษัทประมาณ 6,600 ล้านบาทจะครบกำหนดในปี 2562 ขณะที่ ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกับเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดประมาณ 7,600 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอที่จะรองรับหนี้ที่ครบกำหนดได้ทั้งจำนวน

?

การปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินจะยากยิ่งขึ้น

ข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญของหุ้นกู้ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนไม่ให้เกิน 3 เท่า ซึ่งบริษัทปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดเนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวของบริษัท ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 2.5 เท่า อย่างไรก็ตาม การลงทุนจำนวนมากในอนาคตอาจเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าวได้อย่างน้อยในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทน่าจะสามารถจัดการส่วนทุนให้มีมากเพียงพอที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปได้

สมมติฐานพื้นฐาน

• กำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟแล้วจะเพิ่มขึ้นเป็น 630 เมกะวัตต์ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากประมาณ 370 เมกะวัตต์ ณ เดือนธันวาคม 2561

• รายได้จากการดำเนินงานรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,500 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า

• อัตรากำไรจากการดำเนินงานจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50%

• เงินลงทุนรวมจะอยู่ในช่วง 5,000-7,000 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมของบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจและสร้างกระแสเงินสดได้อย่างที่วางแผนไว้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างได้ตามแผนและจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ ส่วนธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทในฐานะผู้จัดหาอุปกรณ์ระบบไฟฟ้านั้นคาดว่าจะยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดในช่วงที่มีการลงทุนขยายงานจำนวนมาก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ต่ำกว่าที่คาดการณ์หรือเป้าหมายที่วางไว้ หรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากการที่บริษัทไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างเพียงพอ หรือมีการลงทุนโดยใช้เงินกู้จำนวนมาก หรือมีต้นทุนในการก่อสร้างที่สูงกว่าคาด

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
GUNKUL190B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,265.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BBB-
GUNKUL214A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,819 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ