ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ชุดปัจจุบันบางส่วน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง การคงความสามารถในการทำกำไรแม้ว่ารายได้ลดลง และรายได้เงินปันผลที่ค่อนข้างสม่ำเสมอจากการลงทุนในบริษัทร่วม รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็สะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนผลกระทบเชิงลบจากเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากบริษัทไม่มีการเปิดขายโครงการใหม่เลยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นอกจากนี้ จากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความกังวลเกี่ยวกับเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ส่งผลให้ผู้ซื้อบางส่วนเลื่อนระยะเวลาการซื้อออกไป บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายบ้านพร้อมที่ดินคิดเป็น 71% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม ส่วนรายได้ที่เหลือมาจากการจำหน่ายคอนโดมิเนียมและรายได้จากค่าเช่า บริษัทมีมูลค่าโครงการที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) เพียงเล็กน้อย ดังนั้น รายได้ในอนาคตของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างยอดขายใหม่ ในครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่าประมาณ 8.5 พันล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทได้เปิดโครงการแล้วทั้งสิ้น 3 โครงการมูลค่าประมาณ 3.7 พันล้านบาท และได้นำโครงการ “Q Sukhumvit” ออกสู่ตลาดอีกครั้งเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเพื่อกระตุ้นยอดขาย แม้ว่ารายได้ของบริษัทจะลดลง แต่บริษัทยังคงสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้อันเนื่องมาจากโครงการที่โอนมีอัตรากำไรสูง และมีการควบคุมต้นทุน อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ 17% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 เพิ่มจาก 11%-14% ในช่วงปี 2558-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 15%
บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุน ณ เดือนมิถุนายน 2562 อยู่ที่ 43% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับ ณ สิ้นปี 2561
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนนี้จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50% โดยพิจารณาจากแผนของบริษัทที่จะเปิดโครงการใหม่และซื้อที่ดิน ทั้งนี้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ ในขณะที่ ณ เดือนมิถุนายน 2562 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.73 เท่า
บริษัทยังคงมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า มูลค่า 9.7 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนมูลค่า 8.5 พันล้านบาทและส่วนที่เหลือเป็นตั๋วแลกเงิน บริษัทมีแผนจะชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนด้วยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่และจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท ส่วนตั๋วแลกเงินนั้นบริษัทจะต่ออายุบางส่วนและบางส่วนจะชำระด้วยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเช่นเดียวกัน ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทไม่มีปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแหล่งสภาพคล่องจากเงินสดในมือจำนวน 2.5 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2562 และมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 4.1 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามากกว่า 3 พันล้านบาท นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทได้รับแรงหนุนจากมูลค่าเงินลงทุนจำนวนมากในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทถือหุ้นในบริษัท 2 แห่งและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 2 แห่งซึ่งได้แก่ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทถือหุ้น 19.9%) บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (13.7%) กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ เฮ้าส์ (25.7%) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าควอลิตี้ เฮ้าส์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ (31.3%) โดย ณ เดือนมิถุนายน 2562 เงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 5.37 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย ในช่วงปี 2562-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง 15-16 พันล้านบาทต่อปี แม้การแข่งขันในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยจะทวีความรุนแรง แต่ก็คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 15% รวมทั้งจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 50% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ราว 4-5 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากจากระดับที่คาดไว้ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนสูงกว่า 60% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสูงกว่า 6 เท่าเป็นเวลานาน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถปรับเพิ่มผลการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกันสถานะทางการเงินของบริษัทไม่อ่อนแอลงอย่างมากจากระดับปัจจุบัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561