ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา” เป็น “A-” จาก “A”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 27, 2021 10:31 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ไปอยู่ที่ระดับ ?A-? จาก ?A? การลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งต่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่มีความรุนแรงมากขึ้นในประเทศไทยประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลให้การฟื้นตัวของธุรกิจและความเข้มแข็งทางการเงินของบริษัทมีความล่าช้าออกไปจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วในระดับที่สูงต่อเนื่องในปีนี้และจะอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 4 เท่าจนถึงปี 2567 ซึ่งไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตระดับ ?A?

แนวโน้มอันดับเครดิตที่ยังคงเป็น ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในระดับสูงในพัฒนาการของโรคโควิด 19 จำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนตลอดจนประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งจะส่งผลให้ภาวะการดำเนินธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวยยืดเยื้อออกไปและสถานะการเงินของบริษัทอ่อนแอมากขึ้น

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมล่าช้าออกไป

ยอดผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและการกระจายวัคซีนที่ล่าช้าในประเทศไทยจะส่งผลให้มาตรการจำกัดการเดินทางและอุปสงค์ต่อห้องพักโรงแรมที่อยู่ในระดับต่ำจะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งคาดว่าการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมของบริษัทไปสู่ระดับก่อนการเกิดโรคโควิด 19 จะใช้เวลายาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า

ธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างสูงในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้าจากการที่โรงแรมของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในประเทศไทย ซึ่งอยู่ในภาวะที่การแพร่ระบาดของโรคมีความรุนแรง ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะลดลงประมาณ 80% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งลดลงในระดับที่มากกว่าปี 2563 ที่ระดับ 71% และคาดว่า RevPAR จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2562 อยู่ประมาณ 40% โดยทริสเรทติ้งมองว่ามาตรการจำกัดการเดินทางต่าง ๆ จะยังคงมีอยู่ต่อไปอีกหลายไตรมาสจนกว่าจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนในประเทศไทยจะมากพอที่จะทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565

ในมุมมองของทริสเรทติ้ง นโยบายสนับสนุนธุรกิจโรงแรม เช่น Phuket Sandbox และ Samui Plus อาจส่งผลจำกัดต่อภาพรวมของธุรกิจโรงแรมของบริษัทอย่างน้อยก็ในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า ข้อจำกัดที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทาง เช่น จำนวนครั้งในการตรวจหาเชื้อ หรือการที่นักท่องเที่ยวอาจจะต้องกักตัวเมื่อเดินทางกลับประเทศ จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความต้องการเดินทาง ทริสเรทติ้งมองว่าอุปสงค์ต่อห้องพักโรงแรมจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงกลางปี 2565 เป็นต้นไป จากสมมติฐานว่าการกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างทั่วถึง และโรคระบาดอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ทั้งในประเทศไทยและในหลายภูมิภาคของโลก ส่งผลให้เกิดการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ

การคาดการณ์ของทริสเรทติ้งได้รวมมุมมองการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์ แม้จะเกิดอุปสรรคอยู่บ้างในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ จากการที่สถานการณ์ของการแพร่ระบาดในเอเชียใต้มีความรุนแรง

ทริสเรทติ้งประมาณการว่า RevPAR ในปี 2565 จะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในปี 2562 อยู่ประมาณ 15%-20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด 19 จากมุมมองว่ากลุ่มลูกค้าการจัดประชุมสัมมนาจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ และบางส่วนอาจถูกทดแทนด้วยการประชุมออนไลน์

ธุรกิจอาหารเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง

ธุรกิจอาหารของบริษัทที่แม้จะมีความยืดหยุ่นกว่าธุรกิจโรงแรม ก็คาดว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดในการฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 จากสถานการณ์การระบาดของโรคที่รุนแรงขึ้นในประเทศไทย และภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจอาหารของบริษัทจะลดลง 7%-9% ในปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยจะลงมาอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท เทียบกับ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดในการรับประทานอาหารในร้านจากมาตรการของรัฐในการควบคุมโรคระบาด อย่างไรก็ดี ความสามารถของบริษัทในการรองรับแพลทฟอร์มเดลิเวอรี่จะช่วยลดทอนผลกระทบจากข้อจำกัดในการรับประทานอาหารในร้านได้บางส่วน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของธุรกิจอาหารของบริษัทจะอยู่ที่ 1.05-1.25 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566 โดยจะได้รับการสนับสนุนจากการขยายสาขาใหม่เป็นหลักเนื่องจากระดับของยอดขายต่อสาขาจะยังคงได้รับแรงกดดันจากทั้งการแข่งขันที่รุนแรงและภาวะการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อ่อนแอต่อเนื่อง นอกจากนี้ การขยายสาขายังจะถูกจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแออีกด้วย ทริสเรทติ้งมองว่าแบรนด์หลักของบริษัทอย่างเช่น ?เคเอฟซี? ซึ่งทั้งรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจอาหารของบริษัทมากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากร้านเคเอฟซี จะเป็นแบรนด์หลักในการสนับสนุนการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารของบริษัท

รายได้ยังอยู่ในระดับต่ำในปี 2564

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 1.15 หมื่นล้านบาทก่อนจะปรับดีขึ้นเป็น 1.7 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 2.1 หมื่นล้านบาทในปี 2566 ขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในระดับ 15%-17% ในปี 2564 ก่อนจะปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 24%-28% ในปี 2565-2566 จากสัดส่วนของรายได้และต้นทุนคงที่ที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1.8 พันล้านบาทในปี 2564 ประมาณ 4 พันล้านบาทในปี 2565 และ 5.6 พันล้านบาทในปี 2566 ความพยายามในการควบคุมต้นทุนของบริษัทจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักต่อรายได้จากการดำเนินงานในภาวะที่ธุรกิจกำลังฟื้นตัว

ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะคงอยู่ในระดับสูงในปี 2564 และจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่องยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าทั้งจากรายได้ที่ถูกกดดันและแผนการลงทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวม 2.07 หมื่นล้านบาทและมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 13.5 เท่า (ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ 2.3 เท่าในปี 2562 ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ประมาณ 13.5 เท่าในปี 2564 และจะลดลงและจะคงระดับอยู่ที่ประมาณ 6-6.5 เท่าในปี 2565-2566 และคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 4 เท่าได้หลังปี 2567 โดยสมมติฐานของทริสเรทติ้งได้รวมการคาดการณ์งบลงทุนของบริษัทที่ระดับ 3-4 พันล้านบาทต่อปีในปี 2564-2566

ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนจำนวน 3.6 พันล้านบาทจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมดจำนวน 1.42 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับกำรชำระคืนก่อนเทียบกับหนี้สินรวมประมาณ 25% ซึ่งต่ำกว่ำระดับเพดานที่ 50% ทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าเจ้าหนี้ของบริษัทที่ไม่มีหลักประกัน ไม่ได้มีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ตามข้อกำหนดทางการเงินของเงินกู้และตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่านั้น ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.26 เท่าซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งประเมินสถานะสภาพคล่องของบริษัทว่าอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ แหล่งสภาพคล่องหลักของบริษัทมาจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือจำนวนประมาณ 2.8 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 วงเงินสินเชื่อที่ยังไม่เบิกใช้ประมาณ 8 พันล้านบาท และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 5.4 พันล้านบาท รวมทั้งยังมีภาระผูกพันในสัญญาเช่าดำเนินงานอีกประมาณ 2 พันล้านบาท และมีแผนการลงทุนอีกประมาณ 3-4 พันล้านบาท ทั้งนี้

ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทยังคงสำรองเงินสดและรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอที่จะรับมือกับภาวะความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูงในระหว่างที่ธุรกิจยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะลดลงประมาณ 80% ในปี 2564 ลดลงประมาณ 40% ในปี 2565 นั้น และลดลงประมาณ 15%-20% ในปี 2566

? รายได้จากธุรกิจอาหารจะอยู่ที่ประมาณ 9.1พันล้านบาท และ1.05-1.25 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566

? รายได้รวมของบริษัทในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 1.15 หมื่นล้านบาท 1.7 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 2.1 หมื่นล้านบาทในปี 2566

? กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 1.8 พันล้านบาทในปี 2564 ประมาณ 4 พันล้านบาทในปี 2565 และ 5.6 พันล้านบาทในปี 2566

? แผนการลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ 3-4 พันล้านบาทต่อปีในปี 2564-2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? ถึงสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในระดับสูงในพัฒนาการของโรคโควิด 19 ระดับการฉีดวัคซีนตลอดจนประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งจะส่งผลให้ภาวะการดำเนินธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวยยืดเยื้อออกไปและสถานะการเงินของบริษัทอ่อนแอมากขึ้น

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเปลี่ยนมาเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? หากสถานการณ์ของโรคโควิด 19 อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ความเสี่ยงที่การดำเนินธุรกิจอาจย่ำแย่ลงไปอีกลดลง และบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อันจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียง 6 เท่าหรือต่ำกว่า อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และ/หรือสถานะสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีสาระสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

CENTEL218A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 980 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A-

CENTEL229A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

CENTEL239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

CENTEL24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

CENTEL269A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ