ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์” ที่ “AA-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 20, 2021 14:10 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?AA-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำในการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทยของบริษัท ตลอดจนสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเงินทุนหมุนเวียนที่มีการบริหารจัดการเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนลงจากวงจรที่ขึ้นลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยและอุปสงค์สินค้าเกี่ยวกับบ้านที่อ่อนตัวลงอันเนื่องมาจากผลกระทบที่ยาวนานจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผลกระทบจากการปิดเมืองเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะได้รับแรงกดดันจากผลกระทบที่เกิดจากมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะลดลงที่ระดับ 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมาอยู่ที่ระดับ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกิดจากยอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทที่ลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 บริษัทได้มีการปิดสาขาของห้างสรรพสินค้า ?โฮมโปร? เป็นการชั่วคราวจำนวน 29 แห่ง (คิดเป็น 31% ของจำนวนสาขาทั้งหมด) รวมทั้งได้ปิดสาขาของห้าง ?เมกาโฮม? จำนวน 2 แห่ง (21% ของจำนวนสาขาทั้งหมด) และปิดสาขาทั้งหมดของห้างโฮมโปรในประเทศมาเลเซียตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2564 อย่างไรก็ตาม รายได้จากการจำหน่ายภายในห้างที่ลดลงก็ได้รับการชดเชยบางส่วนจากการจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น

ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่ารายได้จากค่าเช่าของบริษัทจะลดลงประมาณ 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วโดยจะอยู่ที่จำนวน 600 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 และคาดว่าจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตที่ระดับ 62% ในปี 2565 และหลังจากนั้นจะเติบโตในระดับคงที่ในปี 2566

ผลกระทบจากโรคโควิด 19 ที่ยาวนานได้ส่งผลกระทบทำให้อุปสงค์ของสินค้าเกี่ยวกับบ้านภายในประเทศในปี 2564 ยังคงอ่อนตัว ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมจากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลง 1% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและจะเติบโตที่ระดับ 6%-7% ต่อปีในระหว่างปี 2565-2566

ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 25.9% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 จากระดับ 25.4% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเกิดจากการมีสัดส่วนการผสมผสานของผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นโดยสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงเป็นกลุ่มที่ขายดีที่สุด ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 จากผลของการที่ภาครัฐค่อย ๆ ยกเลิกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

รายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทและสินค้านำเข้าซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่านั้นมีสัดส่วนคิดเป็น 17%-19% ของยอดขายรวมของบริษัทในปี 2563 จนถึง 6 เดือนแรกของปี 2564 ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะรักษาสัดส่วนของสินค้าในกลุ่มนี้ให้อยู่ที่ระดับ19% ของยอดขายในปี 2564

อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทก็ขยายตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ด้วยเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นเป็น 16% จากระดับ 15.3% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นโดยส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ค่าตอบแทนพนักงาน และค่าใช้จ่ายทางการตลาด ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 15%-16% ในช่วงปี 2564-2566

ภาระหนี้มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น

หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้น 5.2 พันล้านบาทอันเนื่องมาจากสัญญาเช่าดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทย (TFRS) ฉบับที่ 16 มาใช้ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินรวมต่อเงินทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 41.4% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 จากระดับ 41.7% ณ สิ้นปี 2563

บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาของห้างสรรพสินค้าในทุกรูปแบบที่จำนวน 2-5 แห่งต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าโดยไม่เปลี่ยนแปลงไปจากแผนในช่วงระหว่างปี 2562-2563 ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบค่าใช้จ่ายลงทุนที่จำนวนทั้งสิ้น 3-5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 36%-39% ในระหว่างปี 2564-2566 จากเดิมที่ระดับ 41%-44% ในระหว่างปี 2562-2563 อันเนื่องมาจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่ลดลงและฐานเงินทุนที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นระดับ 1.5 เท่าในปี 2564 อันเนื่องมาจากผลกระทบของโรคโควิด 19 และหลังจากนั้นจะปรับตัวดีขึ้นเป็นระดับ 1.3-1.4 เท่าในระหว่างปี 2565-2566

มีสภาพคล่องที่ดี

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาสภาพคล่องที่ดีได้ต่อไปในช่วงระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีกำหนดการที่จะต้องชำระหนี้ที่จำนวน 2-5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566 ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานพื้นฐานว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 9.4 พันล้านบาทถึง 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยที่ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 3.2 พันล้านบาท

มีสถานะเป็นผู้นำทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน

บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทยเมื่อพิจารณาจากยอดขายรวมที่อยู่ในอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมมายาวนานมากกว่าทศวรรษ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมทั้ง 6 ราย ได้แก่ ?โฮมโปร? ?ซีอาร์ซี ไทวัสดุ? ?สยามโกลบอลเฮ้าส์? ?ดูโฮม? ?บุญถาวร? และ ?อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์?

รายได้รวมจากยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 5.8 หมื่นล้านบาทในปี 2563 จาก 2.4 หมื่นล้านบาทในปี 2553 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีที่ระดับ 9% ทั้งนี้ บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ในช่วงระหว่าง 14%-17% ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งถือว่าสูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่รายอื่นในอุตสาหกรรมที่มีอัตรากำไรโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 9%-10%

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน (สำหรับปี 2564-2566)

? รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะลดลง 1% ในปี 2564 และจะเติบโตที่ระดับ 6%-7% ในระหว่างปี 2565-2566

? อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 26%-27% และ 15%-16% ตามลำดับ

? ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566

? สมมติฐานอื่น ๆ เป็นไปตามแนวโน้มในอดีต

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทยได้ต่อไป อีกทั้งยังคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายธุรกิจก็ตาม

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตมีโอกาสที่จะได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นในขณะที่ยังคงสามารถรักษาความแข็งแกร่งของงบการเงินเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าคาดหรือหากระดับภาระหนี้ของบริษัทสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการขยายการลงทุนเชิงรุกหรือการมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลงก็ตาม

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO)

อันดับเครดิตองค์กร: AA-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ