ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. น้ำตาลขอนแก่น” ที่ “BBB+” เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิต เป็น “Positive” จาก “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 19, 2022 13:43 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Positive? หรือ ?บวก? จาก ?Stable? หรือ ?คงที่?

การเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงแนวโน้มราคาน้ำตาลทั่วโลกและปริมาณอ้อยในประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอันเนื่องมาจากปริมาณน้ำฝนที่ดีขึ้นและพื้นที่ปลูกอ้อยที่มากขึ้น รวมถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ดีขึ้น

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในอุตสาหกรรมน้ำตาล รวมถึงการขยายกิจการไปสู่ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำตาล และประโยชน์ที่ได้รับจากกฎระเบียบที่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวก็ถูกลดทอนจากความผันผวนของราคาน้ำตาลและปริมาณอ้อย รวมถึงความเสี่ยงจากการที่บริษัทดำเนินธุรกิจโรงงานน้ำตาลในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ราคาน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่ดีทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น

ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปีบัญชี 2563 จนถึงปีบัญชี 2564 ได้รับแรงกดดันจากปริมาณอ้อยที่ลดลงอย่างมากอันเนื่องมาจากภาวะภัยแล้งที่รุนแรงและพื้นที่ปลูกอ้อยในประเทศไทยที่ลดลงซึ่งเป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.07 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17% ในปีบัญชี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีบัญชีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 10% อันเนื่องมาจากการราคาน้ำตาลที่ปรับตัวสูงขึ้น

ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 จากผลของราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและจากปริมาณอ้อยในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอันเกิดจากสภาพอากาศที่เหมาะสมในฤดูเก็บเกี่ยวปี 2564/2565 โดยบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 จาก 1.6 พันล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีบัญชี 2564 ในขณะที่บริษัทรายงานอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 23.2% โดยเทียบกับระดับ 21.7% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีบัญชีก่อนหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างเข้มงวดอีกด้วย ดังนั้น บริษัทจึงมีผลกำไรสุทธิที่จำนวน 1.3 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีบัญชีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิจำนวน 467 ล้านบาท

ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อไป แม้จะมีความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 55% มาอยู่ที่ระดับ 1.65 หมื่นล้านบาทในปีบัญชี 2565 และจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.43-1.6 หมื่นล้านบาทในช่วงปีบัญชี 2566-2567 เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มปริมาณฝนที่ดีและพื้นที่ปลูกอ้อยที่เพิ่มขึ้นในฤดูการผลิตต่อ ๆ ไป ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าราคาน้ำตาลโลกจะอยู่ที่ระดับประมาณ 20 เซนต์ต่อปอนด์ในปีบัญชี 2565 และจะยังคงอยู่ที่ระดับ 15-19 เซนต์ต่อปอนด์ในช่วงปีบัญชี 2566-2567 ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่า EBITDA Margin ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 21.5% ในปีบัญชี 2565 และจะอยู่ที่ระดับ 17%-19% ในช่วงปีบัญชี 2566-2567

กิจการในต่างประเทศยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

บริษัทดำเนินกิจการโรงงานน้ำตาลในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) และประเทศกัมพูชามาตั้งแต่ปีบัญชี 2553 โดยบริษัทมีรายได้ที่มาจาก สปป. ลาว และกัมพูชาในสัดส่วนรวมกันน้อยกว่า 5% ของรายได้รวม ปัจจุบันกิจการโรงงานน้ำตาลของบริษัทในประเทศกัมพูชาอยู่ในระหว่างขั้นตอนการขายเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำตาลที่ผลิตได้ใน สปป. ลาว ในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 ยังคงเป็นที่น่าพอใจจากผลของราคาจำหน่ายน้ำตาลและกากน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้นรวมถึงอัตรากำไรที่มากขึ้นจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีการคัดสรร ทั้งนี้ บริษัทย่อยในประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 2 แห่งดังกล่าวรายงานผลกำไรสุทธิรวมกันทั้งสิ้นที่จำนวน 49.5 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 โดยอยู่ในระดับคงที่เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีบัญชีก่อนหน้า

ภาระหนี้อยู่ในระดับปานกลาง

ภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทยังคงอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากบริษัทมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นแต่มีค่าใช้จ่ายลงทุนที่ปรับตัวลดลง อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 48% ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2564 เปรียบเทียบกับระดับ 49.2% ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ภาระหนี้สินรวมที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทปรับตัวลดลงเหลือ 1.8 หมื่นล้านบาท ณ เดือนกรกฎาคม 2565 หลังจากที่บริษัทมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่สูงมากในฤดูกาลหีบอ้อยในช่วงครึ่งแรกของปีบัญชี 2565 อย่างไรก็ตาม บริษัทวางแผนค่าใช้จ่ายลงทุนให้อยู่ที่ระดับประมาณ 150-300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปีบัญชี 2565-2567 โดยจะใช้เงินลงทุนส่วนใหญ่ไปในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและเป็นค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงประจำปี ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 37%-45% ในช่วงปีบัญชี 2565-2567 เมื่อเทียบกับระดับ 48%-49% ในช่วงปีบัญชี 2563-2564 ในขณะที่กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้นั้นคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 14%-16% ในช่วงปีบัญชี 2565-2567 จากระดับ 3%-7% ในช่วงปีบัญชี 2563-2564

การบูรณาการของธุรกิจปลายน้ำ

ธุรกิจปลายน้ำ (Downstream Businesses) ของบริษัทประกอบด้วยการผลิตไฟฟ้า เอธานอล และปุ๋ยซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลมาพัฒนาต่อยอด ทั้งนี้ ผลพลอยได้ที่สำคัญ ได้แก่ ชานอ้อย (Bagasse) กากหม้อกรอง (Filter Cake) และกากน้ำตาล (Molasses) โดยบริษัทนำชานอ้อยมาใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในโรงไฟฟ้า ส่วนกากหม้อกรองนั้นนำมาผลิตเป็นปุ๋ยเพื่อใช้ในการปลูกอ้อย ในขณะที่กากน้ำตาลนั้นนำมาใช้ผลิตเอทานอล อนึ่ง บริษัทได้เริ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำตาลมานานมากกว่า 10 ปีแล้ว

ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจปุ๋ยสร้างรายได้ให้แก่บริษัทคิดเป็นประมาณ 7%-11% ของรายได้รวม ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนของบริษัทในการผลิตเอทานอลนั้นเป็นการดำเนินงานผ่านการถือหุ้นในสัดส่วน 30% ใน บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทบีบีจีไอที่จำนวนปีละประมาณ 100 ล้านบาทในช่วงปีบัญชี 2565-2567

มีสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทน่าจะยังคงเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีภาระหนี้เงินกู้ยืมระยะยาวจำนวนประมาณ 4.9 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในปีบัญชี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระหนี้ที่จะต้องจ่ายชำระตามกำหนดรวมทั้งสิ้นอีกจำนวน 1.9-4.9 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปีบัญชี 2565-2567 อีกด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 1.8-2.8 พันล้านบาทในระหว่างปีบัญชี 2565-2567 ตามสถานการณ์ราคาน้ำตาลที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดทั้งสิ้นจำนวน 539 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกกว่า 1.44 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในช่วงปีบัญชี 2565-2567

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้รวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.65 หมื่นล้านบาทในปีบัญชี 2565 และจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.43-1.6 พันล้านบาทในช่วงปีบัญชี 2566-2567

? อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 22% ในปีบัญชี 2565 และจะอยู่ที่ระดับ 17%-19% ต่อปีในระหว่างปีบัญชี 2566-2567

? ค่าใช้จ่ายลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ระดับประมาณ 150-300 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปีบัญชี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Positive? หรือ ?บวก? สะท้อนแนวโน้มราคาน้ำตาลทั่วโลกและปริมาณอ้อยในประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอันเนื่องมาจากปริมาณน้ำฝนที่ดีขึ้นและพื้นที่ปลูกอ้อยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งประสิทธิภาพการดำเนินงานและการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ดีขึ้น

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฟื้นตัวอย่างมั่นคงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานต่อเนื่องในขณะที่บริษัทสามารถลดระดับภาระหนี้ลงได้ตามเป้าหมายโดยทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่อง

ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้หากทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA เกินกว่าระดับ 8 เท่าซึ่งอาจเกิดจากความผันผวนของกำไรอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่เลวร้ายหรือราคาน้ำตาลที่ปรับตัวลดลง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) (KSL)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

KSL27DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ